มุ่งตรงมาถึงหอซีไผ ใบหน้าแดงซ่านของเสวียนจียังคงไม่จางหายไป มือหนึ่งของนางจับดอกซ่อนกลิ่นที่ส่งกลิ่นหอมละมุนเอาไว้ ในใจเหมือนกระจ่างหากก็ไม่กระจ่าง ในความเบิกบานนั้นยังมีความตื่นเต้นน่าประหลาดอยู่กระแสหนึ่ง ราวกับว่าในชั่วพริบตาเหมือนเข้าใจอันใดขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ว่าคืออันใดนั้น นางก็ไม่อาจกล่าวได้กระจ่าง
พลันรู้สึกถึงมืออวี่ซือเฟิ่งที่กุมมือตนอยู่ ในใจนางวูบไหว เงยหน้ามองเขาท่าทางกลัวๆ กล้าๆ เขายิ้มเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนทะนุถนอมราวกับสายน้ำวสันต์ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “งดงามมาก”
ใบหน้านางยังคงแดงซ่าน เพราะวาจานี้ของเขายิ่งทำให้เห่อร้อนขึ้นมาอีก แม้แต่ลำคอก็พลอยแดงระเรื่อไปด้วย
“เอ่อ…นี่ คือว่า…” นางพูดไม่เป็นภาษา ไม่รู้ว่าตนเองควรกล่าวอันใด ดีที่เขาไม่ได้ฟังนางอยู่ พลันผินหน้าหันกลับไปมองด้านหน้า
เสวียนจีแอบลอบถอนหายใจโล่งอก นับว่าไม่ขัดเขินเท่าไร มองตามสายตาเขาไปด้านหน้า ก็เห็นจวนเก่าสองชั้นหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงท้ายถนน ถนนทั้งสายมีเพียงบ้านหลังนี้ที่สร้างสูงที่สุด และมีเพียงบ้านหลังนี้ที่มีชายคากระเบื้องงาม แม้ว่าเก่ามากแล้ว แต่ความสง่างามยังคงอยู่
คิดว่าที่นี่น่าเป็นเรือนเก่าหอซีไผที่เถ้าแก่ร้านผู้นั้นกล่าวถึง หากต้องการไปเกาะฝูอวี้ก็ต้องมาแจ้งที่นี่ก่อน เสวียนจีเห็นด้านหน้าหอมีคนสวมชุดขาวขลิบแดงยืนอยู่หลายคน นั่นเป็นชุดของศิษย์เกาะฝูอวี้ อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “พวกเราเข้าไปถามกันเถอะ ดูว่าจะไปแจ้งให้หน่อยได้ไหม”
อวี่ซือเฟิ่งดึงนางไว้ “เดี๋ยวก่อน คนพวกนั้นเหมือนกำลังคุยกัน”
เขาดึงเสวียนจีหลบเข้าไปในตรอกหนึ่ง เงี่ยหูฟังว่าพวกเขาคุยอันใดกัน ได้ยินแต่มีคนกำลังร้องไห้ ร้องไห้ไปกระซิบกระซาบไปว่า “วันนี้หย่งชิงกับซูเฟิงถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนักแล้ว…ดูท่าครั้งนี้อาจารย์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะขับไล่พวกเราไป จะกลับคืนสำนักเกรงว่าคงได้แต่เพ้อฝันแล้ว”
วาจานี้พูดจนทุกคนพากันทอดถอนใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง อีกคนก็สะอื้นกล่าวว่า “อาจารย์และอาจารย์หญิงเลี้ยงดูพวกเราเติบใหญ่ ยังไม่ทันได้ตอบแทนคุณ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ได้…พวกเจ้าว่าแท้จริงผู้ใดเป็นคนก่อเรื่องทำให้อาจารย์โมโหกัน ทำเอาทุกคนพลอยเดือดร้อนโดนหวาดระแวงกันไปด้วย”
คนหนึ่งกระซิบว่า “ศิษย์พี่ชื่อเฟิงเป็นคนแรกที่โดนขับไล่…แต่เขาทำอะไรล่ะ”
ทันใดก็มีคนร้อนใจกล่าวว่า “อย่ากล่าวเหลวไหล! ข้าไหนเลยทำเรื่องลบหลู่อาจารย์! วันนั้นก็แค่ฝึกยุทธ์อยู่เลยเวลาอาหารค่ำ กลับไปอาจารย์ก็ขับไล่ข้าออกมา! ข้า…ข้าทำเรื่องผิดต่ออาจารย์ที่ไหนกัน!”
“แต่ตั้งแต่เจ้ามาก็มีศิษย์ถูกขับไล่ไม่หยุด เจ้าลองคิดให้ดีๆ แท้จริงแล้ววันนั้นทำอะไรลงไป คิดสาเหตุได้ พวกเราก็กลับไปรับผิดกับอาจารย์ได้ ขอให้อาจารย์คืนคำสั่ง”
หนุ่มน้อยที่ชื่อเฟิงหน้าแดงก่ำ พลันรู้สึกอัดอั้นเหมือนโดนใส่ความ แต่พอเห็นทุกคนจ้องมองมาที่ตน ก็ได้แต่พยายามนึกย้อนกลับไป กล่าวว่า “วันนั้นอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดเคล็ดกระบี่จิงหงให้ข้า ข้าฝึกอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์อยู่นานมากไม่ทันรู้ตัวก็มืดแล้ว ข้ากลัวว่ากลับไปช้าอาจารย์จะเป็นห่วง ดังนั้นจึงใช้ทางลัดออกไปทางสวนด้านหลัง จากนั้นก็ไปพบอาจารย์หญิงเข้า นางก็ถามว่าข้าฝึกยุทธ์ถึงไหนแล้ว ไม่ได้คุยกันเท่าไรอาจารย์ก็มา สีหน้าไม่ดีอย่างมาก โบกมือให้ข้าไป ข้าคิดว่าอาจารย์โมโหที่ข้ากลับไปช้า ดังนั้นรีบกลับไปห้องพัก ผู้ใดจะรู้ว่า…วันรุ่งขึ้น…อาจารย์ก็มีคำสั่ง…ขับข้า…ออกจากสำนัก…”
เล่าถึงตรงนี้ เขาก็ได้แต่ลำคอตีบตันยากเอ่ยต่อ ทุกคนไม่รู้จะหาคำพูดใดมากล่าวปลอบเขา ได้แต่พากันทอดถอนใจ
เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งได้ยินถึงตรงนี้ ในใจก็พอจะเข้าใจแล้ว ดูท่าเจ้าเกาะตงฟางต้องรู้เรื่องภรรยาตนแล้ว แต่บางทียังไม่รู้ว่าคนรักนางแท้จริงคือผู้ใด ดังนั้นจึงโมโหหุนหันพลันแล่น เห็นผู้ใดเข้าใกล้ภรรยาตนก็จะขับไล่ผู้นั้นไป
เขาขับไล่คนส่งเดชเช่นนี้ ไม่เพียงแต่แพร่ออกไปดูไม่ดี แต่ยังทำร้ายจิตใจบรรดาศิษย์ได้ง่าย เห็นได้ชัดว่าคนเราพอโมโหขึ้นมา สติก็ล้วนไม่อาจใช้การได้
ทั้งสองสบตากันพยักหน้า ก่อนเดินออกไปพร้อมกัน อวี่ซือเฟิ่งก้าวออกไปประสานมือกล่าวว่า “คารวะทุกท่าน”
ศิษย์เหล่านั้นรีบพากันเช็ดน้ำตา คารวะตอบ “เกรงใจๆ ขอถามทั้งสองท่านคือ…?”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ข้าน้อยอวี่ซือเฟิ่ง ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ท่านนี้แม่นางฉู่เสวียนจี ศิษย์สำนักเส้าหยาง พวกเราลงเขามาฝึกฝนตน ระหว่างทางได้เงื่อนงำสำคัญมา ไม่อาจหาทางแก้ไขได้ จึงได้มาขอพบเจ้าเกาะตงฟาง รบกวนทุกท่านโปรดแจ้งขอเข้าพบ”
ศิษย์พวกนั้นบางคนรู้ว่าเสวียนจีคือบุตรสาวฉู่เหล่ย ต่างไม่กล้าเสียมารยาท รีบกล่าวว่า “น่าละอาย…ตอนนี้แจ้งได้อย่างไร ตอนนี้พวกข้าถูก…ขับไล่ออกจากเกาะฝูอวี้แล้ว”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ทุกท่านไม่ต้องเสียใจไป เจ้าเกาะตงฟางแต่ไรมาเป็นวีรบุรุษที่จิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่ คิดว่าการขับไล่ออกจากสำนักเป็นเพียงวาจายามโมโห อีกสองวันก็คงคืนคำสั่ง”
คนเหล่านั้นส่ายหน้า กล่าวอย่างเสียใจว่า “เจ้าไม่รู้ ครั้งนี้อาจารย์แน่วแน่แล้ว…”
เสวียนจีเห็นพวกเขาพยายามกลั้นน้ำตา ในใจก็อดเห็นใจไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “อย่าเสียใจไปเลย หากมีอันใดช่วยได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าขอร้องท่านอาตงฟางเอง ขอให้เขาอย่าขับไล่พวกเจ้า…”
คนเหล่านั้นซาบซึ้งกล่าวว่า “หากแม่นางขอให้อาจารย์คืนคำสั่งได้ บุญคุณครั้งนี้พวกข้าจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต!”
“เอ่อ…อย่า ไม่ใช่บุญคุณอันใด…” เสวียนจีไม่เคยพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้ รีบโบกมือลนลาน “ข้า…ข้าจะพยายามขอร้องให้”
ส่วนสำเร็จหรือไม่ ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ชายหยิ่งทะนงเช่นเขาถูกหยามเกียรติ คิดไม่ตกก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา จะปล่อยวางได้อย่างไรก็คงต้องขึ้นกับจิตใจส่วนลึกของเขาเอง
ยามนั้นบรรดาศิษย์จึงพาเขาทั้งสองคนเข้าไปในหอกรอกแบบขอเข้าเยี่ยมเยือน ขอให้ศิษย์พี่ที่เฝ้าหอพาพวกเขาไปเกาะฝูอวี้
เสวียนจีมองพวกเขาที่มาส่งถึงริมทะเล แต่ละคนไม่อาจตัดใจ จึงกล่าวว่า “วางใจเถอะ ท่านอาตงฟางต้องรับพวกเจ้ากลับไปแน่ อย่าไปไหนไกล รออยู่ที่นี่”
คนเหล่านั้นประสานมือส่งพวกนาง มองจ้องพวกเขาเหินกระบี่ไป พริบตาก็กลายเป็นจุดดำหลายจุดลับหายไป พวกเขายังคงไม่อาจตัดใจจากไป ราวกับพวกเสวียนจีไปครั้งนี้เป็นเพียงความหวังเดียวของทุกคน
เสวียนจีมาเกาะฝูอวี้ครั้งแรก ก่อนหน้าเคยได้ยินหลิงหลงเล่าว่าที่นี่มีดอกไม้ประหลาดอยู่มากมาย ทิวทัศน์งดงามเหนือจินตนาการอย่างที่สุด นางรู้สึกอยากมาเยือน ตอนนี้พอได้มาเหยียบบนผืนแผ่นดินนี้จริงๆ ก็รู้ว่าเป็นทิวทัศน์งดงามเหนือจินตนาการที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำใดได้จริง
ตอนนี้พวกเขาเหยียบอยู่บนแท่นหินอ่อนสีขาวอลังการ ด้านหน้าเป็นประตูใหญ่เกาะฝูอวี้ หน้าประตูมีเสาศิลาสลักงดงามตั้งตระหง่านสองต้น ด้านบนมีลายมังกรทองพันรอบพร้อมเมฆมงคล รอบๆ เป็นทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา กว้างไกลสุดสายตา แสงอาทิตย์สีทองเคลือบทาท้องฟ้า สาดส่องลงมาไร้สิ่งบดบัง แสงทองนับหมื่นสายส่องประกาย ภาพเช่นนี้ไม่อาจบรรยายออกมาได้ด้วยวาจาใดจริงๆ
เสวียนจีรู้สึกแสบตา มิน่าท่านพ่อท่านแม่มักบอกว่าให้ออกมาดูโลกภายนอกให้มากๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในเจ็ดยอดเขาแรกอรุณก็จะมองไม่เห็นความงามหลากสีสันของโลกภายนอก
“ทั้งสองท่านเชิญเข้าไปได้ พวกข้าส่งถึงแค่นี้” ศิษย์ที่นำทางประสานมือคำนับเขาสองคน กล่าวอย่างมีมารยาทว่า “เข้าประตูไปเลี้ยวขวาผ่านลานดอกไม้ ก็จะถึงโถงกลาง รอสักครู่ เจ้าสำนักก็จะมาถึงในทันที”
กล่าวจบก็เหินกระบี่กลับหมู่บ้านฝูอวี้ อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีจ้องมองเสาศิลาหน้าประตูอย่างตกตะลึง อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ข้างในต้องยิ่งงามกว่านี้ ล้วนกล่าวกันว่าทิวทัศน์เกาะฝูอวี้งดงามมาก ตอนนี้ยังแค่หน้าประตูนะ”
เสวียนจีพยักหน้า เดินเข้าประตูไปกับเขา หน้าประตูมีศิษย์หกคนยืนเรียงเฝ้าอยู่ ประสานมือคำนับพร้อมกันให้พวกเขาเข้าไปด้านใน เสวียนจีเห็นถนนปูลาดด้วยหินอ่อนสีขาวด้านในยาวไปจรดที่ที่มองไม่เห็น สองข้างทางปลูกต้นไม้หลากพันธุ์เต็มทั่วไปหมด บนเกาะไม่มีฤดูหนาวร้อน ทั้งปีอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นโลกภายนอกถึงฤดูหนาวที่หิมะน้ำแข็งจับพื้นดิน ที่นี่ถึงกับเขียวขจี ดอกไม้บานสะพรั่ง ทำให้คนจิตใจเบิกบาน
เส้นทางใหญ่ลาดหินอ่อนแยกออกไปเป็นเส้นทางสายเล็กมากมาย ล้วนปูลาดด้วยหินไข่ห่านก้อนกลมมนลื่นวาว ทั้งสองเลี้ยวไปตามคำบอก เดินไปพักหนึ่ง ก็เห็นลานดอกไม้ผืนใหญ่สวยงามหลากสีสัน ผีเสื้อมากมายบินระบำไปมา ภาพแห่งความมั่งคั่งอุดมเช่นนี้ไม่เหมือนสำนักบำเพ็ญเซียน แต่มีกลิ่นอายเหมือนพวกคหบดีใหญ่อยู่สักหน่อย
ผ่านลานดอกไม้ไปก็จะเห็นอาคารที่สวยงามสร้างอย่างประณีตตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ หลังคากระเบื้องสีเทาเลียนแบบโบราณ กำแพงขาวราวหิมะ หน้าประตูยังมีแท่นดอกไม้สองแถวบานสะพรั่งไปด้วยดอกเสาเย่าหลากสีสัน งดงามฉูดฉาด เสวียนจีดูจนตาแทบลาย ดีที่อวี่ซือเฟิ่งนำทาง ไม่อย่างนั้นนางยังไม่รู้ว่าตัวคนเดียวจะเดินไปทางไหนดี
หน้าโถงมีศิษย์เฝ้าอยู่สองคน เห็นพวกเขามาก็ประสานมือเปิดทางเชิญเข้าไปด้านใน คนหนึ่งไปรายงานเจ้าสำนัก อีกคนไปยกน้ำชามาสองแก้ว
เสวียนจีเห็นแก้วชาสลักจากแก้วผลึกทั้งก้อน แวววาวโปร่งใส น้ำชาในแก้วมีสีแดงอ่อนๆ ราวเปลือกไม้ พอลองดมดูถึงกับได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ดื่มไปคำหนึ่งไม่ขมเลย รู้สึกเพียงแค่กลิ่นหอมอบอวลในปาก อดดื่มรวดเดียวหมดไม่ได้ ก่อนกลิ้งแก้วผลึกใสในฝ่ามือเล่นไปมา
ศิษย์ผู้นั้นเห็นเสวียนจีท่าทางชื่นชอบ ก็ยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูฉู่ชอบชาดอกไม้เกาะฝูอวี้เรา?”
เสวียนจีพยักหน้า กล่าวว่า “ชาดอกไม้ข้าเคยดื่ม แต่ไม่เคยได้กลิ่นหอมเช่นนี้มาก่อน ใช้ดอกอะไรหรือ”
ศิษย์ผู้นั้นกล่าวเหมือนเป็นเรื่องปกติว่า “เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ปลูกได้ในเกาะฝูอวี้เท่านั้น ชื่อว่าดอกอวี้ถวนเสวี่ย ดอกไม้นี้แต่ไรมาไม่มีผล ปีหนึ่งบานสามรอบ ปลายปีก็จะโรยราไปเอง ปีต่อมายังบานอีก เดิมบรรดาศิษย์รู้สึกว่าดอกไม้นี้มีกลิ่นหอมหวาน แต่ไรไม่เคยคิดตากแห้งเอามาทำชา แต่หลังจากฮูหยินเจ้าสำนักมาก็สอนพวกเราให้นำดอกไม้นี้มาชงดื่ม กลิ่นหอมชื่นใจ”
นางเห็นเสวียนจีสองตาเป็นประกายไร้เดียงสา อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ ชาดอกไม้นี้ได้มาไม่ง่ายแขกปกติมาก็แค่คนละแก้ว เขากลับอดเทให้เสวียนจีอีกแก้วไม่ได้ กำลังคิดสนทนากับนางอีกสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู เขารีบคำนับกล่าวเสียงดังกังวานว่า “ศิษย์คารวะเจ้าสำนัก”
ตงฟางชิงฉียิ้มหัวเราะร่าเดินเข้ามา โบกมือให้ศิษย์ถอยออกไป เห็นชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้า คนหนึ่งหล่อเหลาราวเทพบุตร คนหนึ่งงดงามราวหยก อดทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “เสวียนจีกับซือเฟิ่งหรือ ไม่เจอกันสี่ปี เด็กน้อยเติบโตแล้ว!”
ทั้งสองก้มกายคำนับพร้อมกัน กล่าวว่า “คารวะเจ้าเกาะตงฟาง”
“เกรงใจอันใด ตอนเด็กยังเรียกข้าท่านอาตงฟาง!” เขายิ้ม นั่งอยู่ตรงหน้า พลันมองซ้ายมองขวา กล่าวอย่างแปลกใจว่า “หลิงหลงกับหมิ่นเหยียนไม่ได้มาด้วยกันหรือ พวกเจ้าไม่ใช่ว่าลงเขามาฝึกฝนตนด้วยกันหรือ”
ทั้งสองอึ้งไป อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เรื่องนี้…ว่าไปแล้วก็ยาว”