ทั้งสองเล่าเรื่องส่วนตัวตงฟางชิงฉีขึ้นเบาๆ อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ตู้หมิ่นหังได้ฟังถึงกับตะลึงอึ้งไป เฉินหมิ่นเจวี๋ยกลับขมวดคิ้วลูบเครา ฉู่เหล่ยนิ่งเงียบเป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าผู้น้อยไม่ควรข้องเกี่ยว วาจาวันนี้คิดเสียว่าไม่ได้ยิน เสวียนจี ซือเฟิ่ง พวกเจ้าก็เหมือนกัน”
เสวียนจีถอนหายใจ “ศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกมาพวกนั้นจะทำอย่างไร”
ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าออกหน้าเอง พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งอีก” กล่าวจบยังกล่าวว่า “สายมากแล้ว ไปแจ้งขอเข้าเกาะก่อน งานชุมนุมปักบุปผาเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจเสียเวลา”
เสวียนจีรีบต่ออีกประโยคว่า “เรื่องโซ่หมุดทะเลนั่นเล่า”
ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่กำลังเจ้าและข้าคนธรรมดาจะข้องเกี่ยวขัดขวางได้ ฝืนเข้ายุ่งเกี่ยวก็คงมีภัยถึงชีวิต ทิ้งไว้ชั่วคราวก่อน ใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหวเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
เหตุใดท่านพ่อก็ว่าใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหว ผู้ใหญ่พวกนี้ราวกับไม่ค่อยอยากหารือเรื่องโซ่หมุดทะเล หรือว่ายังคงไม่เชื่อ?
อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางเหมือนกำลังคิด ก็แอบแตะไหล่นางกระซิบว่า “รอพวกหมิ่นเหยียนมากัน พวกเราค่อยไปตรวจสอบกันเอง”
นางยิ้มกว้างสดใส ดังคาด ยังคงเป็นซือเฟิ่งดีที่สุด
ฉู่เหล่ยได้พบสหายเก่าแก่ย่อมครึกครื้นดังคาด ตงฟางชิงฉีเห็นที่เอวเสวียนจีแขวนกระบี่ล้ำค่าเล่มใหม่สีฟ้าคราม อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ก่อนหน้ายังว่าน้องฉู่ลำเอียง เสวียนจีไม่มีอาวุธที่เหมาะสักอย่าง ที่แท้พอเจ้ามอบให้ก็เป็นกระบี่เปิงอวี้เลย ตอนนี้กระบี่สองเล่มนี้ล้วนมีเจ้าของแล้ว เจ้าหุบเขาหรงก็คงดีใจกระมัง”
ฉู่เหล่ยต่อหน้าเขาแต่ไรมาก็มีเพียงรอยยิ้ม ยามนั้นจึงได้ยิ้มกล่าวว่า “น่าละอาย เด็กสองคนนี้พลังวัตรอ่อนด้อย ไม่อาจเปล่งพลังเทพศาสตราออกมาได้ ได้แต่ค่อยๆ ฝึกฝนแล้ว”
แม้ว่าตอนนั้นเจ้าหุบเขาหรงมอบกระบี่ด้วยการอ้างถึงบุตรสาวทั้งสองของฉู่เหล่ย แต่เด็กน้อยยังเล็ก ไหนเลยจะเล่นอาวุธมีดดาบ ก่อนหน้าก็เป็นเหอตันผิงใช้กระบี่ต้วนจินมาตลอด เขาเองก็ใช้กระบี่เปิงอวี้ ผู้ใดจะรู้ว่ากระบี่สองเล่มแม้ว่าล้วนมาจากหุบเขาเตี่ยนจิง แต่คุณสมบัติถึงกับต่างกัน วิชากระบี่เหอตันผิงนับว่าอยู่อันดับต้น ใช้กระบี่ต้วนจินได้คล่องแคล่วราวพยัคฆ์ติดปีก กระบี่เปิงอวี้เล่มนั้นในมือฉู่เหล่ยกลับไม่รู้ทำไม เหมือนมีอันใดไม่ถูกต้องนัก
ที่ว่าไม่ถูกต้องนักก็คือไม่เหมาะมือ กระบี่เล่มนี้คมส่วนคม แต่กลับไม่อาจส่งพลังเข้ากระบี่ได้ เขาเพียงแค่ส่งพลังเข้าไป กระบี่ก็เหมือนกับฟองน้ำก้อนหนึ่ง ซับเอาพลังเขาเข้าไปราวกับซับน้ำ ไม่ว่าอย่างไรก็สำแดงเดชไม่ออก ไม่อาจปล่อยพลังกระบี่ ถึงกับเป็นเทพศาสตาคมกริบที่ใช้งานไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาก็คิดเพียงว่าทำผิดวิธี ยังไปขอคำแนะนำเจ้าหุบเขาหรง ต่อมาหลังจากได้คำแนะนำมา จึงได้รู้ว่าพลังตนไม่เหมาะกับกระบี่นี่ ก็หมายความว่า กระบี่ต้วนจินเป็นอาวุธที่ผู้ใดใช้งานก็ได้ แต่กระบี่เปิงอวี้กลับเลือกนาย หากพลังไม่เข้ากัน แม้เจ้ามีความสามารถเทียมฟ้า กระบี่นั่นก็เป็นได้แค่ของไร้ค่า
เขาไม่รู้ทำเช่นไร จึงได้แต่ผนึกกระบี่เปิงอวี้ไว้ รอว่าสักวันจะหาเจ้าของที่เหมาะสมได้
“เสวียนจี เจ้าจะใช้กระบี่นี่ได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าวาสนาต้องกันไหมแล้ว” ฉู่เหล่ยถอนหายใจเบาๆ เมื่อครู่เห็นบุตรสาวปลอดภัย ในใจเขาตื่นเต้นยินดี ลืมบอกไป ยามนี้เพิ่งนึกได้จึงกำชับออกไป “เจ้าลองเคลื่อนพลังวัตรดู ดูว่าเปล่งพลังกระบี่ออกมาได้หรือไม่”
เสวียนจีเพิ่งได้กระบี่ที่ชอบ พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ สีหน้าก็อดสลดลงไม่ได้ ที่แท้ให้นางแล้วยังไม่ได้หมายความว่าเป็นของนางแท้จริง นางเดินออกไปจากห้องโถง ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมากุมไว้ในมือ รวมสมาธิเคลื่อนพลังวัตร พลันพลิกข้อมือ ค่อยๆ วาดครึ่งวงกลมกลางท้องฟ้า จุดหมายก็คือต้นไผ่เขียวสองสามต้นตรงข้ามโถงกลาง
ทุกคนจ้องมองไม่วางตา รออยู่เป็นนาน ไร้เสียง ไร้ลำแสงกระบี่ อันใดก็ไม่มี ต้นไผ่ตรงข้ามยังคงตรงนิ่ง แม้แต่ใบก็ไม่ร่วง
“เฮ้อ…” เสวียนจีผิดหวังในทันที หรือว่านางใช้กระบี่เปิงอวี้ไม่ได้ดังคาด?
ฉู่เหล่ยแอบถอนหายใจในใจ ดังคาด เสวียนจีก็ไม่ใช่เจ้านายที่เหมาะสม เขาเห็นสีหน้าผิดหวังของบุตรสาวก็ทนไม่ได้เข้าไปลูบศีรษะนาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เอาเถอะ ครั้งหน้าพ่อจะเลือกกระบี่ดีให้เจ้าเอง”
ตงฟางชิงฉียิ้มแก้สถานการณ์ “เสวียนจีอย่าได้เสียใจไป ใต้หล้ามีกระบี่ล้ำค่ายิ่งกว่ากระบี่เปิงอวี้อีกมาก! อย่างไรก็ต้องหาที่เหมาะได้”
เสวียนจีได้แต่พยักหน้า ยังคงตัดใจไม่ลง มองกระบี่เปิงอวี้ในมือ มันงดงามเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกต้องใจกระบี่เล่มหนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าดอกไม้มีใจร่วง แต่สายน้ำไหลช่างไร้ใจ…นางยกสุภาษิตมากล่าวมั่วซั่ว สุภาษิตนี้ใช้กับแอบรักฝ่ายเดียวแท้ๆ นางหันหลังเดินกลับเข้าห้องโถงกลางไปกับทุกคน
พลันได้ยินเฉินหมิ่นเจวี๋ยตกใจร้องดัง “เดี๋ยวก่อน! ดูนั่นเร็ว!”
ทุกคนหันกลับไป เห็นต้นไผ่เขียวสองสามต้นตรงหน้า กลางลำต้นค่อยๆ หักสะบั้น ส่งเสียงดังตามมา ล้มลงกับพื้นไปหมด ฉู่เหล่ยรีบก้าวเข้าไป ยกมือขึ้นลูบคลำรอยตัดนั่นเงาวับราวกับกระจก และ…ไอเย็นเยียบ มีความเย็นกรุ่นกำจายอยู่กระแสหนึ่ง
เขาหันหลังกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองดูเสวียนจีที่ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน พึมพำกล่าวว่า “เสวียนจี เจ้าถึงกับเป็นเจ้านายกระบี่เปิงอวี้ได้”
“อ๋า? อ้อ…อืม…” เสวียนจีส่งเสียงเหมือนยังอาจตั้งสติได้ ยกกระบี่เปิงอวี้มาตรงหน้าเพ่งมองอีกครา นางใช้ได้แล้ว นี่ใช่เรียกว่ากระบี่ดีควรกลับไปกินหญ้าที่ผ่านมา…
นางยังคงยกสุภาษิตมากล่าวมั่วซั่วไปมาอีก จริงๆ ภาษิตกกล่าวว่า วัวดีไม่กินหญ้าที่เดินผ่านมา หมายถึงทิ้งไปแล้วย่อมไม่เอาอีก ฉู่เหล่ยตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าใช้มันได้จริงๆ! เป็นเรื่องดียิ่ง! คิดไม่ถึงกระบี่เปิงอวี้ที่แม่เจ้ากับพ่อเจ้าใช้ไม่ได้ กลับเป็นเจ้าที่เปล่งพลังกระบี่ออกมาได้!”
ยามนี้นางได้เป็นเจ้านายกระบี่เปิงอวี้แท้จริงแล้ว ศิษย์พี่กับตงฟางชิงฉีข้างๆ รวมทั้งบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ต่างพากันกล่าวแสดงความยินดี เสวียนจีได้แต่ยิ้มเซ่อมองกระบี่เปิงอวี้นิ่งอึ้งไป
ยามนี้หนึ่งกระบี่หนึ่งคน ก็เรียกว่าคู่เทพเซียนล่องยุทธภพได้แล้ว นางใช้สุภาษิตมั่วซั่วอีก ในใจรู้สึกพึงพอใจมาก
วาจาสัพเพเหระกล่าวจบ บรรดาผู้น้อยก็ขอตัวออกไป เกาะฝูอวี้ศิษย์นำแต่ละคนไปยังห้องพัก ฉู่เหล่ยกับตงฟางชิงฉีอยู่คุยเรื่องกำหนดรายชื่อศิษย์ร่วมงานชุมนุมปักบุปผาต่อ แต่ละสำนักรายงานรายชื่อศิษย์ตนที่อายุได้เกณฑ์ออกมาหารือคัดเลือกกัน
สุดท้ายสองสำนักกำหนดออกมาสิบสองคน รายชื่อสำนักเส้าหยางเห็นชัดว่าส่วนใหญ่เป็นศิษย์รุ่นอักษรหมิ่น
“หา? หมิ่นเหยียนก็ร่วมด้วย?” ตงฟางชิงฉีมองรายชื่อที่ฉู่เหล่ยส่งให้ รู้สึกตกใจเล็กน้อย
ฉู่เหล่ยพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้เขาอายุสิบแปดแล้ว เข้าร่วมประลองได้พอดี ได้ประลองฝีมือกับศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักอื่น จะได้รู้กำลังตนเอง”
“เขาไม่ใช่ว่าลงเขาไปฝึกฝนตนหรือ ก่อนหน้ารู้ว่าตนเองต้องเข้าร่วมประลองไหม”
ฉู่เหล่ยยิ้มกล่าวว่า “ไม่ ข้าไม่ได้บอกเขา เด็กผู้นี้ภายนอกสีหน้าแย้มยิ้ม แต่จริงๆ ในใจนั้นหยิ่งทะนง หากบอกเขาแต่แรก ลงเขาฝึกฝนตนครานี้ เขาย่อมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในเรื่องกระบวนท่า ศิษย์รุ่นเยาว์รุ่นนี้ฝึกได้คล่องแล้ว ขาดแต่ประสบการณ์ ลงเขาก็คือกระบวนการเรียนรู้”
ตงฟางชิงฉียิ้มเห็นด้วย “ระยะนี้วิธีการสอนศิษย์เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย”
ฉู่เหล่ยได้แต่ยิ้มไม่กล่าวอันใด จริงๆ แล้วเรื่องเสวียนจีส่งผลต่อเขาอย่างมาก ตนเองคิดมาตลอดว่าบุตรสาวที่เป็นดังไม้ที่ไม่อาจสลักได้ ถึงกับถูกฉู่อิ่งหงสั่งสอนจนก้าวมาโดดเด่นเหนือผู้ใด ทำให้เขาสงสัยตนเองอยู่นานว่าตนเองยึดมั่นเถรตรงเกินไปหรือไม่ ทำให้สูญเสียศิษย์มากสามารถไปหรือไม่ เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจนิสัยศิษย์แต่ละคน สอนตามลักษณะ ในรุ่นอักษรหมิ่นมีศิษย์คนรองเฉินหมิ่นเจวี๋ยที่เขามองข้ามมาตลอด น่าจะเป็นคนที่ได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้มากที่สุด
ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน เขาถึงกับเรียนวิชาห้าธาตุขั้นพื้นฐานได้ ทำให้ฉู่เหล่ยดีใจอย่างมาก มักจะทอดถอนใจกับการดื้อรั้นของตนก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามีศิษย์เช่นเฉินหมิ่นเจวี๋ยที่ทนอาจารย์เย็นชาใส่ไม่ได้ต้องจากไปเท่าไร
“เมื่อครู่ได้รับแจ้งจากบรรดาศิษย์ว่า ตำหนักหลีเจ๋อกับหุบเขาเตี่ยนจิงมีจดหมายมา สองสามวันนี้จะมาถึงแล้ว ส่วนสำนักเซวียนหยวน ตอนนี้ยังไร้ข่าวคราว ช่างน่าปวดหัวจริง”
ตงฟางชิงฉีคลึงขมับ เผยแววเหนื่อยล้าออกมา ขอบตาดำใต้ตาทั้งดำทั้งลึก ทั้งคนราวแก่ลงไปมากในชั่วพริบตา
“หากไม่เห็นงานชุมนุมปักบุปผาอยู่ในสายตา พวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาแล้วกัน สำนักเซวียนหยวนนี่ชอบเอาแต่เป็นปรปักษ์กับผู้อื่น น่ารังเกียจจริง”
ฉู่เหล่ยได้ยิน ได้แต่ยิ้มบาง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าดูท่าจะไม่ค่อยดีนะ น่าจะไม่เกี่ยวกับสำนักเซวียนหยวนกระมัง”
ตงฟางชิงฉีสะดุ้งทันที ถ้วยชาในมือพลิกคว่ำในบัดดล ราดรดเสื้อผ้าเปียกเป็นวงใหญ่
“โอย แก่แล้วจริงๆ แม้แต่แก้วยังยกไม่อยู่” เขาหัวเราะตนเอง
ฉู่เหล่ยวางแก้วลง กล่าวเบาๆ ว่า “ชิงฉี ศิษย์ที่ถูกเจ้าขับไล่ไปพวกนั้น เกิดอันใดขึ้น”
ตงฟางชิงฉีมองไปข้างหน้าอย่างรู้สึกสับสน เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เคราะห์กรรมแท้…วันนั้นไม่ได้ฟังคำตักเตือนเจ้าหุบเขาหรงกับเจ้า…น่าขันที่ตอนนี้ข้ายังคงตัดใจไม่ได้…”