ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption – ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

ตงฟางชิงฉีนำพาบรรดาศิษย์รีบเร่งมาดูสถานการณ์ มาเห็นเด็กหลายคนสภาพดูไม่ได้ ก็รีบเข้าไปประคองไว้ พลางถามว่า “ผู้ใดมาก่อกวน”

พวกลู่เยียนหรานหลายคนออกไปฝึกฝนตนเพิ่งกลับมา เข้ามาคารวะเขาก่อนจะกล่าวว่า “พวกเราเพิ่งกลับมาถึง เห็นคนแปลกหน้ามากมายล้อมอยู่ที่นี่ก็เข้าไปสอบถาม ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บุกโจมตีก่อน ศิษย์ทั้งหลายไม่ทันระวัง ถูกพวกเขาล้อมไว้ตรงกลาง ต่อมาศิษย์พี่จงกับพี่รั่วอวี้มาถึง ยังรับมือไม่ไหว หากไม่ใช่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีเข้าช่วย เกรงแต่ว่า…”

ตงฟางชิงฉีได้ยินเสียงระเบิดดังก็รีบตามออกมา แหกระบี่บนเกาะฝูอวี้กันได้แค่สิ่งมีชีวิต แต่ไม่อาจกันสิ่งไม่มีชีวิต จุดอ่อนนี้เขาเองก็รู้ดี เพียงแต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าถึงกับมีคนกล้าเอาระเบิดจำนวนมากมาปาใส่จริงๆ มาปากันราวกับยอมมาตาย

“ผู้ก่อกวนเล่า?”

ลู่เยียนหรานมองเสวียนจี รู้สึกชื่นชมเลื่อมใสกล่าวว่า “เสวียนจีใช้มังกรเพลิงจุดระเบิดใส่พวกเขา คิดว่าระเบิดหมดสิ้นไม่เหลือแล้ว”

ตงฟางชิงฉีทั้งตกใจและดีใจ “เด็กน้อยนี่วู่วามเกินไปแล้ว! ดีที่บนท้องฟ้า เกิดบาดเจ็บมา ก็ตายแน่แล้ว!”

เสวียนจีได้แต่ยิ้มเซ่อซ่า ทุกคนไม่ใช่ว่าล้วนอยู่ดีกันอยู่หรือ ล้วนหลบกันไวอยู่นี่

ตงฟางชิงฉีเห็นจงหมิ่นเหยียนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด เลือดตรงหน้าผากยังคงไหลไม่หยุด รีบสั่งให้ศิษย์เอายามา ตรวจบาดแผลให้เขาด้วยตนเอง พันแผลเสร็จ พลันเห็นด้านหลังเขาแบกคนมาคนหนึ่ง เป็นชายอายุราวสามสิบได้ หลับตาแน่น สีหน้าซีดขาว เลือดสดไหลย้อยลงจากตางไม่หยุด กำลังหมดสติ อดไม่ได้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ผู้นี้คือใคร”

จงหมิ่นเหยียนเจ็บจนต้องกัดฟันฝืนยิ้มกล่าวว่า “พี่ชายท่านนี้บอกว่ามาหาญาติที่เกาะฝูอวี้ ข้าเห็นเขาร่างกายอ่อนแอขี้โรคมาก ไม่น่าเดินทางไกลได้ จึงได้พาเขามาด้วยตลอดทางมา เขาดูแลพวกเราดีมาก…เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าคลื่นระเบิดนี่ เขาจะทนไหวไหม”

ทุกคนมีบาดแผลคนมากบ้างน้อยบ้าง ที่นี่ไม่ใช่ที่สนทนา ตงฟางชิงฉีสั่งศิษย์พาทุกคนขึ้นเกาะ ตนเองยังไปสำรวจรอบทิศก่อน ดูว่ามีใครหลุดรอดอยู่ไหม

พวกฉู่เหล่ยยืนมองออกมานอกประตูอย่างร้อนใจอยู่นานแล้ว ในที่สุดก็เห็นพวกเสวียนจีกลับมา แม้ว่าบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงชีวิต ทุกคนก็พากันเบาใจ ฉู่เหล่ยเดิมคิดปั้นหน้าตำหนิเสวียนจีที่ก่อเรื่อง เมื่อครู่ถึงกับฉวยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัวเตรียมหนีออกไป แต่พอเห็นบุตรสาวสร้างความชอบใหญ่ ยังถูกรมจนดำมืดราวก้อนถ่าน วาจาตำหนิมากมายเพียงใดก็หยุดไว้ที่มุมปาก กลายเป็นปลอบใจแทนว่า “…ไม่เป็นไรใช่ไหม ระเบิดดังไม่น้อย มีตรงไหนไม่สบายไหม”

เสวียนจีส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร แต่พวกศิษย์พี่หกล้วนบาดเจ็บ”

จงหมิ่นเหยียนเห็นอาจารย์และศิษย์พี่เขา ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนร่างกาย ตื่นเต้นปรี่เข้าไปคุกเข่า “ศิษย์คารวะอาจารย์ ศิษย์พี่!”

ฉู่เหล่ยรีบประคองเขาขึ้นมา มองบาดแผลอย่างละเอียด มั่นใจว่าไม่เป็นไร จึงได้ปลอบใจสองสามคำ พลันเห็นเขามาคนเดียว ในใจอดตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “หลิงหลงไม่ได้มากับเจ้าหรือ”

จงหมิ่นเหยียนอึ้งไปทันที “พวกเสวียนจีก็หาหลิงหลงไม่พบหรือ”

ได้ยินวาจาโต้ตอบนี้ ในใจทุกคนเย็นวาบทันที ผู้ใดก็หาหลิงหลงไม่พบ นางเด็กหญิงตัวคนเดียวโดดเดี่ยว คิดว่าคงเกิดเรื่องกับนางแล้ว

ฉู่เหล่ยสีหน้าซีดเผือด กล่าวไม่ออกสักคำ พวกเสวียนจีเองก็นิ่งอึ้งไปราวกับไก่ไม้ ลู่เยียนหรานข้างๆ แม้ว่าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่นางเองก็รู้สึกได้ว่าหลิงหลงไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดว่าคงเกิดอันตรายเข้าแล้ว คิดถึงตอนนั้นที่คืนดีกับนางได้ นัดกันแล้วว่าจะมาเจอกันที่เกาะฝูอวี้ ผู้ใดจะรู้ว่าถึงกับเป็นเช่นนี้ไปได้ นางพลันอดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้

จงหมิ่นเหยียนกำหมัดแน่น ไม่กล่าวอันใด ไม่สนใจความเจ็บปวดของบาดแผล หันหลังจะออกไป อวี่ซือเฟิ่งรีบดึงเขาไว้ “เจ้าจะทำอะไร!”

“ไปหาหลิงหลง”

จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้ลำบากมาตลอดทาง กว่าจะมาถึงเกาะฝูอวี้ หวังเพียงว่าพวกอวี่ซือเฟิ่งหาหลิงหลงพบ ผู้ใดจะคิดว่าอีกฝ่ายก็หวังว่าตนเองจะพาหลิงหลงมาด้วย…หลิงหลง หลิงหลง ทำไมทำนางหายไปคนเดียว?!

อวี่ซือเฟิ่งดึงเขาไม่อยู่ ได้แต่ปล่อยมือ ฉู่เหล่ยนิ่งอึ้งไปเป็นนาน พลันกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผู้ใดก็ห้ามไป!”

จงหมิ่นเหยียนร้อนใจหันกลับไป ในดวงตาเริ่มมีน้ำตารื้นแล้ว แต่เขาฝืนกัดฟันกลั้นความขื่นขมเอาไว้ กล่าวเสียงแผ่วเบายิ่งว่า “อาจารย์ ศิษย์ไม่ได้ดูแลศิษย์น้องให้ดี ตายก็ไม่อาจชดใช้!”

ฉู่เหล่ยโบกมือเหนื่อยล้า “ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้า! ไปโถงกลางกัน เล่าเรื่องทั้งหมดมา!”

ที่แท้จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้คืนนั้นเจอกับปีศาจชุดดำกลุ่มนั้นเข้า คนพวกนั้นดูท่าแล้วเหมือนว่าเป็นกลุ่มที่มีเอกภาพ สวมชุดดำเหมือนกัน ที่เอวยังมีห่วงเหล็กขาวแขวนอยู่ หัวหน้าปีศาจตนนั้นก็พานกปี้ฟางขาเดียวมาด้วย

“ปี้ฟางเป็นมารปีศาจโบราณ พวกเขาถึงกับจับมาช่วยงานได้มากมายเพียงนี้?!” ฉู่เหล่ยเองอดตกใจไม่ได้

จงหมิ่นเหยียนขยี้ขมับ กล่าวต่อว่า “ข้ากับรั่วอวี้ถูกทำร้ายบาดเจ็บ ไม่มีทางหนี ได้แต่โดดลงทะเลสาบหงเจ๋อ ถูดกระแสน้ำใต้ทะเลสาบพัดออกไปไกล วันรุ่งขึ้นจึงได้ฝืนทนกลับขึ้นฝั่ง มารักษาอาการบาดเจ็บที่บ้านชาวบ้านใจดี…อ้อ ก็คือบ้านของพี่ชายท่านนี้”

เขาชี้ไปยังชายที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงหน้าผู้นั้น คนผู้นั้นยังคงไม่ได้สติ จมูกยังมีเลือดไหลไม่หยุด ศิษย์เกาะฝูอวี้สองสามคนกำลังดูแลเขาอยู่

“รอให้บาดแผลใกล้หายดี พวกเราก็เริ่มค้นหาเขาเกาซื่อซานกับบริเวณโดยรอบ คิดหาร่องรอยของเสวียนจีและหลิงหลง แต่หาอยู่สองสามวันก็ไม่พบ ต่อมาพวกเราจึงคิดว่าบางทีพวกเขาอาจพาหลิงหลงไปเกาะฝูอวี้กันก่อน พี่ชายท่านนี้ได้ยินว่าพวกเราจะไปเกาะฝูอวี้ จึงได้ขอตามมาด้วยกัน บอกว่าเขามีน้องชายทำงานที่เกาะฝูอวี้ ไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนี้มารดาพวกเขาป่วยตายจากไปแล้ว ตนเองสุขภาพอ่อนแอขี้โรค ไม่มีคนดูแล ได้แต่มาพึ่งพาน้องชายที่เกาะฝูอวี้ ดังนั้นจึงได้พามาด้วยกัน…เพียงแต่ต้องรบกวนพี่ชายทุกท่าน หาน้องชายของพี่ชายท่านนี้ให้หน่อย จะได้ให้พวกเขาพี่น้องได้พร้อมหน้า”

จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ เล่าจนจบ รู้สึกเหนื่อยมาก กุมศีรษะฝืนทนแทบไม่อยากกล่าวอันใดอีก

รั่วอวี้ข้างๆ ตบบ่าเขา ถอนหายใจ ผู้ใดก็คิดไม่ถึง ไปยุ่งเรื่องเขาเกาซื่อซาน สิ่งที่ต้องแลกไปก็คือทำหลิงหลงหาย หากรู้เช่นนี้ ภูเขานั่นแม้ว่ามีเซียนหญิงแปดคนสิบคน ทุกปีรับผู้ชายไปร้อยคน พวกเขาก็ไม่ยุ่งเด็ดขาด

ทุกคนพากันเงียบงัน ไม่รู้กล่าวอันใดดี เสวียนจีนิ่งอึ้งไปเป็นนาน ก่อนจะกล่าวว่า “หลิงหลงย่อมถูกปีศาจชุดดำพวกนั้นจับตัวไปแน่! เป้าหมายพวกเขาก็คือทำลายโซ่หมุดทะเล! ท่านพ่อ ท่านรู้อยู่ว่าโซ่หมุดทะเลคืออะไรใช่หรือไม่ ผู้ใหญ่เช่นพวกท่านล้วนรู้! เหตุใดไม่พูดกัน พวกเราควรรีบไปช่วยหลิงหลงกลับมา!”

ฉู่เหล่ยสีหน้าบึ้งตึง ไม่กล่าวอันใด เจ้าหุบเขาหรงข้างๆ ถอนใจกล่าวว่า “คุณหนูฉู่เสียใจเกินไปแล้ว เรื่องโซ่หมุดทะเลไม่แน่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพี่สาวเจ้า นับประสาอันใดกับพวกเราเองก็ไม่กระจ่างจริงๆ…”

“โกหก” เสวียนจีจ้องมองเขาเขม็ง กล่าวเบาๆ ว่า “พวกท่านรู้ แต่ไม่อยากบอก”

เจ้าหุบเขาหรงถูกนางโต้กลับ ก็ไร้วาจาไปชั่วขณะ

“เสวียนจี อย่าเหลวไหล!” ฉู่เหล่ยตำหนิเสียงหนัก เขามองดูแล้วอ่อนกำลังอย่างยิ่ง ถอนใจกล่าวว่า “หากหลิงหลงเป็นคนมีวาสนา ก็น่าจะพ้นจากวิบากอันตรายได้…มากังวลกันตรงนี้ก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าล้วนบาดเจ็บ ไปพักผ่อนก่อน อย่าได้กล่าวไร้สาระกันอีก”

เสวียนจีลอบมองเขาแวบหนึ่ง หันกายจากไป พลันได้ยินคนผู้นั้นที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวข้างๆ ส่งเสียงครางขึ้น ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ อย่างงุนงง พึมพำกล่าวว่า “นี่…ที่นี่คือ?”

จงหมิ่นเหยียนเห็นคนผู้นั้นฟื้นขึ้นมา รีบเข้าไป “พี่โอวหยาง พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม ที่นี่คือเกาะฝูอวี้ พวกเรามาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังไหว้วานพวกเขาหาน้องชายท่านอยู่”

ที่แท้คนผู้นี้แซ่โอวหยาง! ในใจเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งพากันสะดุ้งไหว หรือว่าเป็นพี่ชายสุขภาพอ่อนแอขี้โรคที่พ่อบ้านโอวหยางพูดถึงผู้นั้น

คนผู้นั้นยิ้มอ่อนแรง กุมมือจงหมิ่นเหยียน กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้า…เหตุใดทำจนตัวเปื้อนเลือดไปหมดเช่นนี้ ต้องระวังให้มากหน่อยนะ” เขายกมือใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่คางจงหมิ่นเหยียน ท่าทางเหมือนผู้อาวุโสที่เมตตาอารี

จงหมิ่นเหยียนขอบตาแดง เสียงสั่นเทากล่าวว่า “พี่โอวหยาง…หลิงหลงนาง…ข้ายังหาหลิงหลงไม่เจอ!”

คนผู้นั้นมองเขาอย่างสงสารเห็นใจ ถอนหายใจตบมือเขา กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าได้กังวลไป ไม่เป็นอะไรหรอก รักษาตัวเองให้หายดีก่อนค่อยไปหา ขอเพียงไม่ละทิ้งความหวัง ก็ย่อมได้พบกันในสักวัน”

จงหมิ่นเหยียนถึงกับฟังคำปลอบของเขา พยักหน้าทันที กลั้นน้ำตาคืนกลับไป ตนเองใช้ผ้าเช็ดหน้าบิดหมาดเช็ดคราบเลือดที่จมูกให้เขา

ศิษย์ตรงข้ามได้ยินว่าคนผู้นี้แซ่โอวหยาง ก็ไปแจ้งพ่อบ้านโอวหยางก่อนหน้านี้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อบ้านโอวหยางก็รีบมาถึง พอเห็นคนที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวผู้นั้น ก็ตะลึงงันไปก่อนจะส่งเสียงตามมาเสียงหนึ่ง “พี่ใหญ่…ท่านมาได้อย่างไร”

ดังคาด เป็นพี่ชายพ่อบ้านโอวหยาง!

เขาเข้ามาประคองคนผู้นั้นลุกขึ้น เห็นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเลือด ก็รีบหันกลับไปขอถุงน้ำแข็งจากศิษย์ด้านหลัง

คนผู้นั้นกล่าวเบาๆ ว่า “หากข้าไม่มา เจ้าก็คิดจะไม่กลับบ้านชั่วชีวิต ใช่หรือไม่”

พ่อบ้านโอวหยางตะลึงอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ากำลังจะจัดการงานที่เกาะนี้ให้เสร็จแล้วก็จะกลับบ้าน”

“เจ้าไม่ต้องกลับไปแล้ว…” คนผู้นั้นหลับตาลง สีหน้าซีดขาว “ท่านแม่จากไปแล้ว ก่อนตายก็ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าครั้งสุดท้าย”

พ่อบ้านโอวหยางกัดฟัน สีหน้าเศร้าสลด ไม่รู้จะกล่าวอันใดดี คนผู้นั้นยังกล่าวอีกว่า “ข้าเดิมก็ไม่คิดมา แต่ท่านแม่สั่งเสียให้ข้ามาดูเจ้าแทนนางว่าระยะนี้มีชีวิตเป็นอย่างไร ข้าเห็นเจ้าสีหน้าแข็งแรงดี คิดว่าคงไม่ได้ลำบาก ท่านแม่คงวางใจแล้ว เจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ต้องกลับบ้านแล้ว”

พ่อบ้านโอวหยางลังเลครู่หนึ่ง “เช่นนั้น…พี่ใหญ่ล่ะ?”

คนผู้นั้นยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าย่อมมาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นสิ ไม่รบกวนให้เจ้าลำบาก”

โอวหยางขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ค่อยวางแผนกันต่อ แต่ในเมื่อท่านแม่ก็จากไปแล้ว เช่นนั้นวันหน้าก็มีเพียงเราสองคนพี่น้อง พี่ใหญ่สุขภาพไม่ดี ข้าควรดูแล ท่านรักษาตัวให้หายดีก่อน เรื่องอื่นยังไม่ต้องคิดมาก”

คนผู้นั้นตะลึงมองเขา เป็นนานก่อนจะพึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เปลี่ยนไปไม่น้อย หลายปีมานี้เหตุใด…”

สีหน้าโอวหยางพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กำลังจะกล่าวอันใดก็พลันได้ยินด้านนอกมีคนผิวปากเบาๆ เขาลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่ก็รักษาบาดแผลให้หายดี อย่าได้คิดเหลวไหล คืนนี้ข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก ดูแลตัวเองให้ดี”

กล่าวจบเขาก็ออกไป ทิ้งให้คนผู้นั้นยืนงงอยู่คนเดียว จงหมิ่นเหยียนเหมือนขัดหูขัดตา กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ทำไมเขาเป็นแบบนี้! พี่ชายบาดเจ็บ ยังเดินทางรอนแรมตั้งไกลมาเยี่ยมเขา มีเรื่องด่วนอันใดวางลงก่อนไม่ได้กันนะ!”

คนผู้นั้นส่ายหน้า รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง กล่าวเบาๆ ว่า “เขาเปลี่ยนไปมาก…หมิ่นเหยียน ข้าเหนื่อยมาก อยากนอนพักสักครู่ เจ้าไปคุยกับศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ้าเถอะ”

จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาหลับตาพักใจก็ไม่อยากรบกวนเขาต่อ หันกลับไปเห็นพวกอวี่ซือเฟิ่งกำลังจ้องมองตน จึงได้แย้มปากเขาหัวเราะเฝื่อนๆ กวักมือให้พวกเขาออกไปด้วยกัน

“อย่างไรก็ต้องหาหลิงหลงให้พบ”

จงหมิ่นเหยียนนั่งยองอยู่หน้าแท่นดอกไม้นอกห้องโถง ใช้นิ้วมือแกะก้อนเลือดที่แข็งตัวอยู่ตรงคางออก เขานิ่งสุขุมมากกว่าเมื่อก่อนมาก วาจายังคงหนักแน่นเหมือนเดิม ดูแล้วยิ่งทำให้คนไม่กล้าปฏิเสธ

“ยามนี้พวกอาจารย์ยุ่งกับการตรวจสอบเหตุโจมตีเกาะฝูอวี้ น่าจะไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา พวกเรารีบรักษาตัวให้หาย หาสักวันแอบหนีออกไป กลับไปเขาเกาซื่อซานหาหลิงหลงอีกที”

เขากล่าวไปพลางนั่งลง ผู้ใดจะรู้ว่าแท่นดอกไม้นั่นถูกระเบิดเป็นหลุมเป็นหย่อม มือเขายืดไม่มั่น พอหย่อนก้นลงไปก้นจ้ำเบ้า สภาพน่าอนาถมาก ทุกคนคิดจะหัวเราะก็ไม่กล้า ดีที่ระเบิดนั้นระเบิดเพียงแต่พื้นที่ใกล้หน้าประตูใหญ่ พื้นที่ด้านในไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นย่อมเสียดายทิวทัศน์งดงามเช่นนี้

“นี่…มารดาเจ้าสิ…” จงหมิ่นเหยียนเดิมคิดผรุสวาทวาจาด่าทอระบายอารมณ์โมโหสักหน่อย ติดที่ที่นี่มีสองแม่นางอย่างพวกเสวียนจีอยู่ ได้แต่อู้อี้ด่า “ปีศาจพวกนั้นแท้จริงทำอะไรกันนี่! ทำลายโซ่หมุดทะเลก็ทำไป ยังจับหลิงหลงไปอีก โจมตีพวกเราไม่ได้ จึงได้แล่นมาก่อเรื่องที่เกาะฝูอวี้! ใช่ว่าพวกเราก่อเรื่องหรือนี่!”

อวี่ซือเฟิ่งลากเข้าลุกขึ้น กล่าวว่า “เรื่องนี้เกรงแต่ว่าไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ข้าเห็นบรรดาเจ้าสำนักพยายามเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้ คิดว่าต้องมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่…”

กล่าวถึงตรงนี้ ในสมองเขาพลันแวบขึ้นมาราวกับประกายไฟ มีความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา

“ความลับซ่อนเร้นอันใด” จงหมิ่นเหยียนร้อนใจถามทันที

เขาส่ายหน้า หันไปถามเสวียนจี “เจ้ามีแผนที่ติดตัวไหม เอาออกมาดูหน่อย”

เสวียนจีกางแผนที่ลงบนพื้น ทุกคนล้อมวงเข้ามา เห็นนิ้วมืออวี่ซือเฟิ่งชี้กะขนาดบนแผนที่เป็นนาน จากหุบเขาเตี่ยนจิงทางเหนือ วาดลงมา มาหยุดที่สำนักเซวียนหยวนแห่งเขาหนานซานทางใต้

“พวกเจ้าดูสิ พวกเราห้าสำนักใหญ่ล้วนมาอยู่ในวงล้อมนี่” เขาควักเอาถ่านดำออกมาแท่งหนึ่ง วาดวงใหญ่ลงไปบนนั้น ลากโยงเหนือใต้ออกตกสี่ทิศไว้ ตรงกลางก็คือสำนักเส้าหยางบนเขาแรกอรุณ

“หมายความว่าอย่างไร?” รั่วอวี้กับลู่เยียนหรานมองอยู่เป็นนานก็ไม่เข้าใจ จงหมิ่นเหยียนกลับรู้ขึ้นลางๆ รีบใช้มือชี้ไปตามวงเอ่ยสถานที่ตนเองไปมา “หมู่บ้านวั่งเซียน เขาไห่หวั่นทางตะวันออกเฉียงใต้ เมืองจงหลี เขาเกาซื่อซานทางตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือคือเกาะฝูอวี้ ทางเหนือก็คือหุบเขาเตี่ยนจิง…”

เขายิ่งพูดเสียงยิ่งเบา ทุกคนเข้าใจความหมายเขาในทันที เขาไห่หวั่นและเขาเกาซื่อซานเป็นที่ฝังโซ่หมุดทะเล และโซ่หมุดทะเลยังเป็นแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดที่สวรรค์สร้างขึ้น หมายความว่าสี่ด้านแปดทิศล้วนฝังอยู่เส้นหนึ่ง ตะวันออกเฉียงเหนือคือเกาะฝูอวี้ ดูจากร่องรอยเคลื่อนไหวของมารปีศาจพวกนี้ โซ่หมุดทะเลเส้นที่สามต้องอยู่ที่เกาะฝูอวี้นี่แล้ว! มิน่าบรรดาผู้อาวุโสพอกล่าวถึงเรื่องโซ่หมุดทะเลก็หลบเลี่ยงกันเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้เรื่องเรื่องนี้แน่! บางทีโซ่หมุดทะเลก็คือสัตว์เทพที่บรรพชนหลายรุ่นของเราต้องการจองจำไว้ ดังนั้นทุกคนจึงได้ระมัดระวังรอบคอบกันมาก ไม่กล่าวถึงโดยง่าย

“ครั้งนี้สำนักเซวียนหยวนไม่ส่งคนมาร่วมหารืองานชุมนุมปักบุปผา และยังปิดประตูใหญ่แน่น ไม่มีคนเข้าออก พวกเจ้าว่าเป็นไปได้ไหมว่าจะถูกมารปีศาจพวกนั้น…”

เสวียนจีคิดถึงสำนักเซวียนหยวนทันที ผลที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือสำนักเซวียนหยวนถูกมารปีศาจที่ร้ายกาจและไม่รู้รวมตัวกันมาจากที่ใดทำลายล้างสำนักไปแล้ว โซ่หมุดทะเลก็ถูกทำลาย ดังนั้น…จึงส่งศิษย์มากมายเช่นนั้นไปเฝ้าหน้าประตูใหญ่เกาะฝูอวี้ ดังนั้น…พวกท่านพ่ออยู่เกาะฝูอวี้กันนานหลายวันเช่นนี้ ดังนั้นคนเหล่านั้นก็ย่อมมาโจมตีเกาะฝูอวี้ เป้าหมายพวกเขาก็คือทำลายโซ่หมุดทะเลเกาะฝูอวี้!

คิดถึงตรงนี้ ทุกคนสบตากันอย่างตกใจ กล่าวเช่นนี้ ไม่เพียงเกาะฝูอวี้ แม้แต่หุบเขาเตี่ยนจิง ตำหนักหลีเจ๋อเองก็ย่อมไม่อาจพ้นอันตรายนี้!

“แต่…สำนักเส้าหยางอยู่ตรงกลาง…ก็ไม่ได้อยู่ในแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปด ที่นั่นน่าจะไม่มีโซ่หมุดทะเลกระมัง”

เสวียนจีชี้เขาแรกอรุณบนแผนที่ พึมพำขึ้น

อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง “เป็นไปได้ไหมว่า…มารปีศาจตนนั้นที่พวกเขาพูดถึง อยู่ที่…”

เขางึมงำ จงหมิ่นเหยียนรีบช่วยเขากล่าวให้จบ “อยู่ที่ใต้สำนักเส้าหยาง?! ไม่น่านะ! แต่ไรมาข้าเองไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้!”

อวี่ซือเฟิ่งกระซิบว่า “ตรงนี้ล้วนเป็นการคาดเดาของพวกเรา ความจริงเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ คิดว่ามารปีศาจนั่นต้องร้ายกาจมากแน่ เทพสวรรค์บรรพกาลน่าจะจองจำเขาไว้ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิเศษ ที่ที่พลังวิเศษเซียนหนาแน่นที่สุดก็ย่อมเป็นเขาคุนหลุนแน่แล้ว…เอาเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าหรือข้าจะมาคาดเดาได้ ยามนี้สำคัญสุดคือกลับไปยังเขาเกาซื่อซานอีกครั้ง หาหลิงหลงให้พบจึงสำคัญที่สุด”

ลู่เยียนหรานรีบกล่าวว่า “ข้าก็ไปหาด้วย! ข้าไปกับพวกเจ้า มากหนึ่งคนก็เพิ่มหนึ่งแรง!”

อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางเพิ่งจะเร่งรีบกลับมาถึงเกาะฝูอวี้ก็จะไปอีก ก็นับเป็นแม่นางที่มีน้ำใจ ความที่เคยนึกรังเกียจนางก็อดหายไปไม่ได้หลายส่วน กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พักรักษาอาการบาดเจ็บก่อน แต่ละคนไปพัก อีกสองวันค่อยออกเดินทาง”

ลู่เยียนหรานลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “วันนั้นที่แยกจากกันยังพูดอยู่เลย ครั้งหน้าพวกเจ้ามาเกาะฝูอวี้ ข้าจะพาพวกเจ้าเที่ยว ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเจ้ามาก่อนข้าอีก เอาอย่างนี้ คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง หมู่บ้านมีร้านอาหารสุดยอดร้านหนึ่ง พวกเราไปกินกัน ครั้งหน้ารอพาหลิงหลงกลับมา ค่อยไปเที่ยวกันอีก”

ทุกคนตัดสินใจว่าต้องไปหาหลิงหลง คนมากกำลังมาก ในใจไม่อัดอั้นเช่นเดิมอีก พากันกลับห้องไปพักผ่อนกันก่อน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

Status: Ongoing

ฉู่เสวียนจี คือบุตรีคนรองของเจ้าสำนักเส้าหยาง นางเคราะห์ร้ายเกิดมาบกพร่องสัมผัสทั้งหก อีกทั้งยังมีนิสัยเกียจคร้านไม่สนใจฝึกวิชา แม้แต่ตั้งท่าต่อสู้อย่างศิษย์คนอื่นยังทำไม่ได้ 

กระนั้นสวรรค์ก็มิได้ปรานี เมื่องานชุมนุมปักบุปผาอันเป็นงานประลองยุทธ์ระหว่างห้าสำนักใกล้เข้ามา เสวียนจีโชคไม่ดีต้องรับหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวแทนเข้าร่วมภารกิจ ‘เด็ดบุปผา’ และลงเขาไปจับมารปีศาจกลับมายังสำนัก 

ด้วยเหตุนี้นางจึงได้พบกับ อวี่ซือเฟิ่ง ศิษย์เอกมากฝีมือแห่งตำหนักหลีเจ๋อกงผู้สวมหน้ากากตลอดเวลา เขาคอยช่วยเหลือนางจากปีศาจจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และในยามคับขันนั้นเอง เสวียนจีก็เปล่งพลังสีเงินออกมาสังหารศัตรูโดยไม่รู้ตัว ช่วยให้พวกเขารอดพ้นภัยได้ในที่สุด  

ในเวลานั้นเด็กน้อยทั้งสองเพียงแต่ดีใจที่เอาชีวิตรอดจากปีศาจได้ ไม่รับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วพลังประหลาดนี้ซุกซ่อนปริศนาที่พันผูกดวงชะตาของคนทั้งคู่มาตั้งแต่อดีตกาลยาวนานนับสิบชาติภพเอาไว้… 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท