อึดอัดไม่พอใจก็ส่วนอึดอัดไม่พอใจ กล่าวตามตรงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับศิษย์เกาะฝูอวี้ กินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่ก็รู้ว่าไม่ควรเอาแต่อยู่รวมกัน จึงพากันแยกย้าย
เสวียนจีเดิมคิดจะไปชมทิวทัศน์ที่เขาตอนเหนือ แต่ด้านหลังก็หางตามก้นติดๆ อยู่สี่ สลัดทิ้งก็ไม่ได้ ได้แต่หน้าบึ้งเดินกลับไป ข้ามสะพานไป ตรงหน้าเป็นป่าต้นซิ่ง นางจำได้ครั้งก่อนนางกับซือเฟิ่งพบฮูหยินตงฟางร้องเพลงอยู่ที่นี่ เสียดายแค่สองสามวันคนก็หายมลายสิ้น
นางมองอย่างตกในภวังค์ ไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้ามีคนเดินมาหลายคน เป็นอวี่ซือเฟิ่ง พอเสวียนจีเห็นเขา ดวงตาก็ส่องประกาย รีบกวักมือเรียก พอเห็นเขาชัดก็เห็นว่าด้านหลังเขายังมีศิษย์เกาะฝูอวี้ที่ทำหน้าที่เฝ้าตามอยู่ สีหน้านั้นบึ้งตึง
“เด็กโง่” อวี่ซือเฟิ่งเผยรอยยิ้มบางเดินเข้ามา เคาะศีรษะนางทีหนึ่ง “อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ไปชมดอกซิ่งกัน”
เสวียนจีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยักหน้าเงยหน้ามองด้านหลังเขาที่มีบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ตามเฝ้าติดๆ ยิ่งรู้สึกหมดอารมณ์
อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปกล่าวว่า “ข้ากับคุณหนูฉู่จะไปป่าต้นซิ่งชมดอกซิ่ง ไม่รบกวนทุกท่านไปส่งแล้ว”
ทันใดก็มีคนโต้ว่า “คือ…ไม่ดีกระมัง ป่าต้นซิ่งทางแยกมาก เกิดหลงทางไป…”
หลายคนรู้ถึงความสัมพันธ์สนิทสนมของอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีก่อนหน้าแล้ว ในใจก็คิดว่าหนุ่มสาวทั้งสองน่าจะหาที่เงียบๆ กล่าววาจาฝากรักกัน ตนเองตามไปก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่กลับจะลำบากใจและสร้างความไม่พอใจเปล่าๆ ดังนั้นอีกคนจึงยิ้มกล่าวว่า “ทั้งสองเชิญ พวกข้าไปรอข้างนอกก็แล้วกัน”
พอเสวียนจีได้ยินว่าพวกเขาไม่ตามแล้วก็รีบแย้มยิ้มกว้าง คว้ามืออวี่ซือเฟิ่งหันหลังเดินเข้าไปในป่าต้นซิ่งที่ดอกซิ่งบานแย้มเต็มต้น เดินไปพลางหันกลับมองพวกเขาว่าไม่ได้ตามมาจริงๆ ก็หัวเราะดัง “ซือเฟิ่ง เจ้าร้ายกาจมาก ทำไมพูดแค่วาจาเดียว พวกเขาก็ไม่ตามแล้วล่ะ”
อวี่ซือเฟิ่งเพียงยิ้มไม่กล่าว ยกมือบีบจมูกนางเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะรับรู้ช้าเหมือนเจ้า”
นางรับรู้ช้าจริงหรือ เสวียนจีใช้แววตาถามเขา อวี่ซือเฟิ่งยกมุมปาก ส่ายหน้าเหมือนใช่เหมือนไม่ใช่ พลันเห็นดอกซ่อนกลิ่นหลังใบหูนางเริ่มโรยรา เขามองไปรอบๆ หันกลับไปหานางยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารอเดี๋ยว”
เขาคว้ากิ่งไม้หนึ่งไว้ ค่อยๆ โดดตัวเบาขึ้นไปยอดไม้ เด็ดดอกซิ่งสีชมพูที่สดสวยที่สุดออกมาพวงหนึ่ง
เสวียนจีอึ้งมองเขาเดินเข้ามา ยกมือดึงดอกซ่อนกลิ่นหลังใบหูตนออก ก่อนจะปักกิ่งดอกซิ่งบางนั้นที่มวยผมนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่างไรก็ยังคงเป็นสีนี้ที่เหมาะกับเจ้า”
ไม่รู้ทำไมใบหน้านางจึงแดง นางกะพริบตาปริบ ก้มหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าโยนดอกไม้นั่นทิ้ง…ข้า ข้าเก็บไว้ทำที่คั่นหนังสือ”
อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางไว้ ทั้งสองค่อยๆ เดินไปท่ามกลางต้นซิ่ง ภาพเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยดอกซิ่งสีชมพูสดแย้มบาน พาดกิ่งไปมาสลับ อวดสีสันฉูดฉาดสดใสราวกับแสงสาดส่องเมฆาหลากสีสัน ราวกับทอดยาวไปถึงขอบฟ้า เป็นดังเมฆที่ไร้ขอบเขตบนท้องฟ้า พวกเขาเดินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ใจและกายล้วนลอยละล่องเบาพลิ้ว จริงๆ แล้วก็ไม่มีอันใดต้องพูด แต่วาจาที่ออกมากลับไม่หยุด หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาพูดคุยกันได้อยู่เป็นนาน
ใช่หรือไม่ว่าชายหนุ่มอายุน้อยทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความโง่เขลาเช่นนี้ บางครั้งพวกเขาเองก็คงรู้สึกโง่เขลา ดังนั้นจึงไม่พูดอันใดอีก ได้แต่มองอีกฝ่ายพลางยิ้มเล็กน้อย ราวกับการใช้สายตามองก็เป็นความสุขดื่มด่ำอย่างหนึ่ง
สุดท้ายเดินจนเหนื่อยก็หาต้นไม้พิงพักผ่อน เสวียนจีมองรอบๆ ไร้ผู้คน จึงกล่าวว่า “พวกเราไม่สู้อาศัยจังหวะนี้แอบหนีกัน ย่อมไม่มีผู้ใดรู้”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เช่นนั้น พวกหมิ่นเหยียนทำอย่างไร นับประสาอันใดกับป่าต้นซิ่งนี่ทางแยกยังมาก เกิดเดินหลงทางไป ใช่ว่าที่ทำมาล้วนสูญเปล่าหรือ”
เสวียนจีได้แต่ละทิ้งความคิดนี้ไป เงยหน้ามองเขา รู้สึกเพียงร่างกายเขาสูงขึ้นอีกไม่น้อย ซือเฟิ่งเดิมก็รูปร่างสูงสง่างาม คิ้วตากระจ่างงาม ปกติสีหน้าเย็นชา กอปรกับผิวของเขาซีดขาว ทำให้คนรู้สึกเข้าใกล้ยาก แต่นางรู้ เขายิ้มขึ้นมาทีจะอบอุ่นมาก ไม่ว่านางเหลวไหลอย่างไร เขาก็ไม่เคยตำหนิ ยิ่งไม่เคยระเบิดอารมณ์ใส่นาง
นางมองจนรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ในใจไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกใจเริ่มไม่สงบ ความเงียบงันยามนั้นทำให้นางรู้สึกหายใจติดขัด ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “นั่น…อากาศดีจริง…”
เขาเห็นขนตาเสวียนจีไหวเล็กน้อย ใบหน้าแดง รู้ว่านางไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็พยายามพูด ในใจอดวูบไหวไม่ได้ อดยกมือลูบใบหน้านางไม่ได้ พลันได้ยินด้านหลังมีเสียงคุยดังมา
“ตอนนี้เขาอยู่บนเกาะ ทำไมไม่ไปคุยกับเขาล่ะ”
เสียงนี้กระจ่างและอ่อนโยน คุ้นเคยมาก พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงคือผู้ใด
เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง พากันยองตัวลงนั่งยื่นศีรษะไปมอง เห็นว่าไม่ไกลนักมีคนยืนอยู่สองคน ความหนาของต้นซิ่งทำให้ร่างเขาทั้งสองคนถูกบดบังไปครึ่งหนึ่ง หนึ่งแดง หนึ่งขาว แดงราวเปลวเพลิง ขาวราวหิมะตกใหม่ แค่มองก็รู้ว่าเป็นเพียนเพียนกับอวี้หนิง
หรือว่าพวกเขาก็แอบมาคุยภาษารักกันที่นี่ ทั้งสองสบตากัน ในสายตาอีกฝ่ายต่างมีคำว่า ‘คุยภาษารัก’ ในใจทั้งสองต่างก็เริ่มวุ่นวายใจ ไม่เข้าใจว่าตนเองเหตุใดต้องใช้คำว่า ‘ก็’
อวี้หนิงนิ่งอึ้งเป็นนาน พลันกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าเอาแต่พูดถึงเขาต่อหน้าข้าทำไม หากเจ้ารักแรกพบกับเขา ทำไมไม่ไปพูดเอง!”
วาจานี้เหมือนกำลังคิดเอาชนะโต้คืน เพียนเพียนตรงข้ามหัวเราะขึ้นทันที นางร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าหัวเราะอะไร! มีอะไรให้หัวเราะกัน”
เพียนเพียนกล่าวอย่างสบายอารมณ์เบาๆ “ข้าหัวเราะคนโง่เขลาคนหนึ่ง เพื่อเขาคนนั้นแล้วถึงกับอาลัยอาวรณ์มาหลายปี แต่อย่างไรกลับไม่กล้าบอกเขาแม้สักคำ”
อวี้หนิงหน้าแดงก่ำ ร้อนใจกล่าวว่า “เกี่ยวอะไร…กับเจ้าด้วย!”
เพียนเพียนพลันทำสีหน้าจริงจัง ท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า แต่ข้าย่อมเป็นห่วง ปีนั้นเจ้าพลั้งมือทำร้ายตวนเจิ้ง ในใจรู้สึกผิดอย่างมาก คิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าไม่กล้าไปพบเขา ได้แต่แอบทิ้งยาสมานแผลไว้ที่ประตูหน้าห้องเขา ตอนเจอหน้าเขาก็แสร้งทำเป็นเย่อหยิ่ง ทำเอาทุกคนว่าเจ้าเย่อหยิ่ง ทำเขาเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ ไยต้องลำบากเช่นนี้ด้วย”
อวี้หนิงถูกเขาว่าจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ยกมือผลักเขา กลับถูกเขาคว้าข้อมือไว้แน่นจนขยับไม่ได้
“ครั้งที่สองที่ได้ประลองกับเขา เจ้าแกล้งแพ้ให้เขา เพื่อให้เขาได้มีชื่อสมใจ ทำให้เขาดีใจเบิกบาน ทำไมเจ้าต้องลำบากเช่นนี้อีก”
อวี้หนิงดิ้นรนเป็นนาน รู้ว่าไร้ประโยชน์ ได้แต่ละทิ้งไปเสียอย่างนั้น เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “ข้าจะทำอย่างไร…เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า! เจ้า…เจ้าควรสนใจแต่เรื่องของเจ้าเองให้ดี! อย่ามากวนข้าให้มาก!”
เพียนเพียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ผิด! เจ้าและข้าเติบโตมาด้วยกัน ร่วมฝึกกระบี่หยกประสาน เจ้ากลับเอาแต่ตัดสินใจอะไรด้วยตนเองคนเดียว เอาข้าไปทิ้งไว้ไหน หรือว่าเจ้าคิดว่าเรื่องอันใดข้าก็ควรคล้อยตามเจ้าใช่ไหม”
อวี้หนิงไร้วาจาจะกล่าว ในใจพลันรู้สึกอัดอั้นเหมือนโดนรังแกอย่างที่สุด อดก้มหน้าลงกล่าวไม่ได้ว่า “ไม่ได้คิดถึงความคิดเจ้า…เป็นความผิดข้า วันหน้า…ข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า หากเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม จะตีจะด่า ก็ตามใจเจ้าเลย!”
จะตีจะด่า…เขาหรี่ตามอง เด็กหญิงชุดขาวเบื้องหน้าที่ปกติมักจะเย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้ แม้แต่ตอนร้องไห้ยังเงยหน้า ตายก็ไม่ยอมแพ้ นางเป็นเช่นนี้มักทำให้เขารู้สึกถึงความวู่วามอย่างหนึ่งที่คิดอยากจะดูว่าแท้จริงต้องทรมานนางถึงขั้นใด นางจึงจะยอมแพ้ จะยอมมีสติขึ้นมาได้บ้าง
“ในเมื่อให้ข้าตีข้าด่า ก็ควรจะจริงใจสักหน่อย” เขายิ้ม “หลับตาลง ข้าจะระบายอารมณ์ให้เต็มที่สักหน่อย”
อวี้หนิงถลึงตาจ้องเขา พลันหลับตาลง รอให้เขาตบหน้านางก็แล้วกัน ต่อยใส่นางสักสองสามหมัด หมดเรื่องหมดราว
เพียนเพียนจ้องมองขนนางสั่นไหวของนางเงียบๆ พลันยกมือขึ้นกอดนางไว้แน่น ไม่ยอมให้มีปฏิกิริยาต่อต้าน ก้มจูบริมฝีปากแดงของนาง
“เจ้าช่างบัดซบจริงๆ” เขาพึมพำแนบชิดริมฝีปากนาง “เหตุใดมักจะลืมว่าข้าอยู่ตรงนี้”
เขาพลันปล่อยร่างนางลง หันกายจากไป
อวี้หนิงอึ้งจ้องมองแผ่นหลังราวกับเปลวเพลิงของเขาลับหายไปท่ามกลางป่าต้นซิ่งรกครึ้ม เข่าพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงนั่งกับพื้น ไม่ส่งเสียงสักคำเป็นนาน
เสวียนจีรู้สึกว่าข้อมือนางสั่นไหวเล็กน้อย ทนดูไม่ได้อีกต่อไป หันกายคิดจากไป กลับถูกอวี่ซือเฟิ่งดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสัญญาณบอกนางว่าอย่าส่งเสียง
อวี้หนิงนิ่งอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังป่าต้นซิ่ง
ทั้งสองไม่รู้ว่าเหตุใดจึงช่างบังเอิญเช่นนี้ ถึงกับได้มาเห็นละครฉากหนึ่ง ในใจเต้นโครมครามรุนแรง สบตากัน จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เป็นนานอวี่ซือเฟิ่งจึงได้กระแอมไอในลำคอ แสร้งฉีกยิ้มเป็นธรรมชาติกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์…ซับซ้อนมาก”
เสวียนจีลูบใบหน้า รู้สึกว่าฝ่ามือร้อนผ่าว นิ่งอึ้งเป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้ที่หลิงหลงกล่าวตอนนั้นเป็นจริง อวี้หนิงชอบศิษย์พี่ตวนเจิ้งจริง…แต่เพียนเพียน…”
นางคิดถึงภาพที่เขาก้มหน้าลงจูบอวี้หนิง ได้แต่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทั้งสองนั่งอยู่กับพื้นเป็นนาน ล้วนรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ลุกขึ้นเดินกลับไป อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีเหมือนคิดอันใดอยู่ คิ้วขมวดแน่น ราวกับกำลังคิดปัญหาหนักหนา จึงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่”
เสวียนจีพลันเงยหน้าจ้องมองเขานิ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง เจ้า…เจ้าใช่ว่า…”
ใช่อะไร นางพูดไม่ออก เขาถามไม่ออก ส่งสัญญาณไปมากมายเช่นนั้น การสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจและการจ้องมองอย่างตกในภวังค์มากมายเช่นนั้น นางถึงกับไม่อาจรับรู้ การมีใจให้กันอย่างคลุมเครือเช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกทั้งพึงใจแลปวดร้าว
อวี่ซือเฟิ่งมองใบหน้าขาวสะอาดราวหิมะตกใหม่ของนาง ราวกับกำลังเผชิญกับปัญหาหนักหนา กัดริมฝีปากครุ่นคิดเคร่งเครียด ในใจพลันรู้สึกเฝื่อนขม ในใจมีบางสิ่งค่อยๆ ร่วงลงไป จนลึกๆ รู้สึกเจ็บปวดนิดๆ
เขายกมือดึงกลีบดอกไม้บนผมนางไปกลีบหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว เสวียนจี ข้าชอบเจ้า ชอบมากกว่าทุกคนและทุกสิ่ง”
ชายหนุ่มดวงตาดำราวหยกนิลส่องประกายวาววับ พริบตานั้นเอง นางพลันรู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วง เสียงบนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง นางไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น