จงหมิ่นเหยียนปีนี้อายุสิบแปด เป็นศิษย์ชายอายุน้อยสุดรุ่นอักษรหมิ่นสำนักเส้าหยาง
โดยปกติจงหมิ่นเหยียนเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย เป็นศิษย์น้องเล็กจนชิน และก็มีนิสัยยิ้มแย้มรับคำสั่งบรรดาศิษย์พี่ ไม่ค่อยมีคนรู้ว่านิสัยเดิมแท้จริงของเขาดื้อดึงเพียงใด หลายครั้งเขาตัดสินใจคนๆ หนึ่งลงไปด้วยความคิดเขาเองแล้ว ก็จะไม่หันหลังกลับอีก
ในใจเขาคิดว่าขอเพียงมาหาอาจารย์ เรื่องทุกอย่างก็เท่ากับไร้ปัญหา อาจารย์เป็นคนที่กระจ่างชัดในเรื่องบุญคุณความแค้นบนโลกนี้อย่างที่สุด เป็นคนยุติธรรมอย่างยิ่งยวด
แต่ความจริงก็มักจะทำให้คนต้องผิดหวัง
ตอนเขาไปหาอาจารย์และคุยเรื่องพี่โอวหยาง ฉู่เหล่ยได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาไม่ได้ผละออกจากหนังสือในมือแม้แต่น้อย “เจ้าหุบเขาหรงรู้อันใดควรไม่ควร เจ้าไม่ต้องร้อนใจเรื่องนี้ หากเขาเป็นคน ถามกระจ่างแล้วว่าไม่มีข้อสงสัย ย่อมส่งเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย”
เอ๋…ไม่ถูกต้องนะ จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป อาจารย์ไม่ใช่ว่าควรพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นรีบไปขอร้องเจ้าหุบเขาหรงหรือ
เขาลองโน้มน้าว “อาจารย์ พี่โอวหยางเป็นคนดี ข้ากับรั่วอวี้บาดเจ็บสาหัส ดีที่มีเขาดูแลต้มยาให้ทุกวัน หากไม่มีเขา ตอนนี้ศิษย์ยังไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บหนักไปตายอยู่ที่ไหนแล้ว เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตศิษย์ ศิษย์ไม่อาจ…”
“หมิ่นเหยียน” ในที่สุดฉู่เหล่ยก็ละสายตาจากหนังสือ มองเขาด้วยสายตาตำหนิ “เจ้าเผชิญโลกมาน้อย จะตัดสินว่าคนผู้นี้ดีหรือชั่วง่ายๆ ได้อย่างไร ลองถอยออกมามองอีกที หากเขาวางแผนไว้ล่วงหน้า จงใจไปวางแหดักเจ้าที่เขาเกาซื่อซาน สุดท้ายก็ปะปนเข้าเกาะฝูอวี้…ก็ใช่ว่าไม่อาจเป็นไปไม่ได้”
เขาไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย! คนหนึ่งดีหรือชั่ว มีความคิดชั่วแอบแฝงหรือไม่ หรือว่าเขาจะมองไม่ออกกัน
แต่ความเคยชินอันเป็นนิสัยมาหลายปี ทำให้เขายอมเชื่อฟังไม่กล่าวอันใด เลือกที่จะเงียบ
ฉู่เหล่ยเห็นท่าทางเขาไม่ยอมแพ้ กล่าวต่อว่า “อีกสองวันพวกเราก็จะไปจากเกาะฝูอวี้ เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย อย่าได้เหลวไหล!”
จงหมิ่นเหยียนจากไปอย่างไม่เต็มใจ เขารู้สึกว่าพอออกมาเผชิญโลกภายนอก เรื่องมากมายล้วนเปลี่ยนไปหมด เดิมเขาคิดว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ผลมักเหนือความคาดหมาย ตอนเป็นเด็กวันๆ เขาเอาแต่หวังว่าจะเติบใหญ่เร็วอีกหน่อย ได้ออกไปดูโลกภายนอกเร็วหน่อย ได้เป็นชายชาตรีที่ยืนตรงสง่าผ่าเผย ตอนนี้จึงได้เข้าใจ เหตุใดผู้ใหญ่หลายคนมักจะอิจฉาเด็กๆ ที่ไร้ความกังวล
จริงๆ แล้ว โลกก็ยังคงเป็นโลก เพียงแต่มุมมองต่างออกไป คนเรามีจิตใจกลอกกลิ้งคิดแย่งชิงและขี้ระแวง ทำให้โลกนี้ซับซ้อนอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่เรียกว่าเติบโต ก็คือค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้จิตใจเช่นนี้ปกป้องตนเอง นานวันเข้าก็ลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเติบโตเป็นคนเช่นไรกันแน่
พอกลับถึงถึงห้องพักตน เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ พักหนึ่งก็คิดถึงพี่โอวหยางที่ดูแลเขามาตลอดทาง พักหนึ่งก็คิดถึงเล่ห์อุบายที่อาจารย์กล่าวถึง รู้สึกเพียงในใจสับสนวุ่นวาย
ตอนเขายังเล็กมาก ท่านพ่อท่านแม่ตายด้วยโรคระบาด มีเพียงพี่ใหญ่ที่หิวตายระหว่างทางรอนแรมจากบ้านเกิดเพราะต้องดูแลเขาที่อายุยังน้อย ต่อมาได้มาได้พบกับอาจารย์ พากลับเส้าหยาง จากนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารและที่พักอีก ข้างกายยังมีศิษย์พี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากมาย ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอีก จากนั้นในทุกค่ำคืนเงียบสงบไร้ผู้คน เขาเองก็มักคิดถึงว่าตนเองอยู่บนโลกนี้ตัวคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีคนปกป้องดูแลเขาจากใจแท้ใจจริง อาจารย์และอาจารย์หญิงแม้ว่าเมตตาอารี แต่ก็มีความเคารพยำเกรงกางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง ศิษย์พี่ศิษย์น้องแม้ว่าใกล้ชิดสนิทกัน แต่อย่างไรก็มีใจคิดเปรียบเทียบแก่งแย่ง เขามาคนเดียว สุดท้ายก็ยังคงไปคนเดียว คิดถึงตรงนี้ เขามักรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวลึกๆ ในใจ
แม้ว่าต่อมามีสหายอย่างซือเฟิ่งและรั่วอวี้ แต่สหายกับพี่น้องให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เขาได้รับบาดเจ็บที่เขาเกาซื่อซาน ล้วนไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ พี่โอวหยางปรากฏตัวขึ้น เขาดูแลตนกับรั่วอวี้อย่างรอบคอบ ทุกวันยังคอยปลอบใจและให้กำลังใจพวกเขา ความรู้สึกเช่นนั้น ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า มีอยู่วันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่าที่เรียกว่าพี่น้องก็คงเป็นเช่นนี้ พี่โอวหยางแม้ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเขา แต่ในความทรงจำของเขานั้น พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ๆ ก็พังทลายลง มีคนบอกว่าพี่ใหญ่เป็นคนเลว จับเขาไปขังสอบสวน ร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างเขา เกรงว่าไม่ทันได้ลงมือเท่าไรก็ตายแล้ว
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! จงหมิ่นเหยียนคิดแล้วก็กลุ้มใจ กำหมัดทุบเตียงเต็มแรง ส่งเสียงดังโครมคราม
พอดีรั่วอวี้ผลักประตูเข้ามา เห็นกลางวันแสกๆ ก็อึดอัดใจลงมือกับผ้าห่มบนเตียง เขาฉลาดเพียงใด ย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอันใด ตอนนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ เข้าไปกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน เรื่องนี้พวกเราเป็นผู้น้อย ไม่อาจยื่นมือเข้าข้องเกี่ยว เจ้าเองอย่าได้กลุ้มใจไปเลย หากพี่โอวหยางไม่ใช่ไส้ศึก เชื่อว่าเจ้าหุบเขาหรงจะต้องปล่อยเขาไปแน่นอน”
“ฮึ อยากจะใส่ความย่อมหาความได้!” จงหมิ่นเหยียนพลันโดดผึงลงจากเตียง “ตอนนี้ทุกคนล้วนเกลียดพี่โอวหยางเข้ากระดูกดำเพราะเรื่องพ่อบ้านโอวหยางผู้นั้น จะปล่อยไปอย่างไร! ข้าว่าต้องคิดระบายอารมณ์ใส่เขา ให้เขาเป็นเหมือนผีตายแทน!”
เริ่มแรกเขาเพียงแต่พูดระบาย แต่คิดไม่คิดมา อาจเพราะมีความเป็นไปได้จริง พ่อบ้านโอวหยางเป็นปีศาจ ถึงกับซ่อนตัวอยู่เกาะฝูอวี้มาสิบปีไม่มีคนรู้ พี่โอวหยางเป็นพี่ชายเขา พี่ชายปีศาจย่อมต้องเป็นปีศาจ เจ้าหุบเขาหรงอาจยั้งมือกับมนุษย์ แต่กับปีศาจ ย่อมลงมือโหดเ**้ยมแน่!
“รั่วอวี้!” เขาพลันส่งเสียงเรียกดัง
รั่วอวี้มองเขากล่าวว่า “เจ้าต้องการทำอย่างไร ไปช่วย?”
จงหมิ่นเหยียนกัดริมฝีปากแน่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แต่ให้เขานั่งรอพี่โอวหยางถูกสอบสวนจนตาย ก็ไม่อาจทำได้เด็ดขาด
รั่วอวี้กะพริบตาปริบ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นศิษย์เกาะฝูอวี้ส่งข้าวไปที่คุกใต้ดิน คืนนี้น่าจะไปส่งอีกรอบ…”
วาจาเขายังกล่าวไม่จบ แต่จงหมิ่นเหยียนก็เข้าใจความหมายเขาแล้ว นิ่งเงียบเป็นนาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “ตกลง! คืนนี้พวกเราไปกัน! แม้อาจารย์ตำหนิ ข้าก็ไม่สนแล้ว!”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์เจ้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร ถือคุณธรรมช่วยเหลือคนอื่น เดิมเป็นคุณธรรมดีงาม เขาย่อมต้องเข้าใจ”
จงหมิ่นเหยียนตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปช่วยคน ความอัดอั้นใจในใจพลันมลายหายไป มีแต่ความร้อนใจเกาหัวเกาหน้านั่งไม่ติด อยากจะให้พระอาทิตย์ลับเขาไปเลย รีบไปช่วยเขาออกมา
“ข้าไปหาซือเฟิ่ง! พวกเราสามคนไปด้วยกัน…” เขาหันหลังจะออกไป กลับถูกรั่วอวี้ดึงไว้ “เดี๋ยวก่อน คนมากกลับไม่ดี นับประสาอันใดกับซือเฟิ่งกำลังถูกรองเจ้าตำหนักคิดระแวงเพราะเรื่องหน้ากาก ยามนี้เขาไม่เหมาะจะเกิดเหตุผิดพลาดใด เจ้ากับข้าสองคนก็พอแล้ว”
“เรื่องหน้ากากอันใด” จงหมิ่นเหยียนตะลึงไปครู่หนึ่ง พลันนึกได้ว่าว่าพบกันอีกทีครั้งนี้ หน้ากากอวี่ซือเฟิ่งไม่อยู่แล้วจริงๆ รองเจ้าตำหนักต้องหาเรื่องเขาเพราะเรื่องนี้แน่ จึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเรื่องอะไร! ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ผู้ใดจะสนใจหน้ากาก! ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอันใดนี่ ครั้งก่อนเจ้าตำหนักก็ไม่ได้ลงโทษเขา”
รั่วอวี้ยิ้มๆ “นั่นเพราะเขาแลกมาด้วยการลงโทษที่ไม่อาจกลับคืนสู่สำนักได้อีก…”
“อะไรนะ?” จงหมิ่นเหยียนฟังไม่ชัด เขาส่ายหน้า “ไม่มีอันใด พวกเราไปดูสภาพพื้นที่รอบคุกใต้ดินกันก่อนดีกว่า ดูว่าคืนนี้จะลงมืออย่างไร”
ตอนกินอาหารเย็น จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้อ้างว่าเพราะ ‘เจ็บแผล’ จึงได้ไม่มาร่วมทานอาหาร
“หรือว่าแผลฉีก” เสวียนจีคีบอาหารไปก็เป็นห่วงไป
อวี่ซือเฟิ่งเหมือนคิดอันใด ยิ้มกล่าวว่า “คิดว่าคงแผลฉีกสาหัสมาก อีกสักครู่ข้าจะส่งอาหารไปให้พวกเขาเอง จะได้ดูอาการบาดเจ็บไปด้วย”
“ข้าก็…”
“เสวียนจีอย่าตามไป” เขายิ้ม กล่าวเหมือนจงใจเย้าแหย่ “ล้วนต้องถอดเสื้อผ้าออกเพื่อดูบาดแผล เด็กผู้หญิงไปไม่สะดวก”
เป็นเช่นนี้หรือ แต่เขายิ้มเหมือนมีเลศนัย เสวียนจีจ้องมองเขาราวกับรู้ ราวกับไม่รู้
อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่านางเฉลียวฉลาดทุกเรื่อง เพียงแค่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกบนโลกที่ไม่ค่อยกระจ่าง มองไม่ออกถึงความไว้ใจพึ่งพาที่จงหมิ่นเหยียนมีต่อพี่โอวหยาง ดังนั้นครั้งนี้นางจึงได้แต่เกาศีรษะคิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ เห็นท่าทางลำบากใจของนาง ขนตากระเพื่อมไหวสั่นเทาราวกับปีกผีเสื้อสองตัว รอยยิ้มเขาอดยิ่งกดลึกลงไม่ได้
“ข้ามียาสมานแผล เดี๋ยวซือเฟิ่งเอาไปหน่อยละกัน” ฉู่เหล่ยที่เอาแต่เงียบในที่สุดก็เอ่ยปาก ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งตะลึงงัน เขามองเจ้าสำนักเส้าหยางที่ปกติตรงไปตรงมาแสนคร่ำครึ ในใจพลันเข้าใจทันที พวกเขาทำอะไรล้วนไม่อาจรอดสายตาเขาไปได้ ยามนี้ฉู่เหล่ยกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาเองแอบยอมรับความเหลวไหลนี้ของจงหมิ่นเหยียน ในใจก็เบาลง ยามนี้พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่งขึ้น
หลังอาหาร ฉู่เหล่ยส่งยาและผ้าพันแผลให้อวี่ซือเฟิ่งนำไปให้ พลางกล่าวว่า “หมิ่นเหยียนเป็นคนนิสัยว่างไม่ได้ ชอบก่อเรื่อง ครั้งนี้ลงเขาฝึกฝนตน ซือเฟิ่งต้องดูแลเขามากหน่อย”
เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหล่ยปฏิบัติต่ออวี่ซือเฟิ่งถูกด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ซือเฟิ่งตกใจที่อยู่ๆ เป็นที่รักใคร่เอ็นดู ในใจยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้ให้ความสำคัญกับศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของตำหนักหลีเจ๋อเช่นนี้ พอเงยหน้าสังเกตอารมณ์ความรู้สึกเขา ก็เห็นแต่แววตาอ่อนโยนแฝงความชื่นชมอยู่ลึกๆ
“เสวียนจี…ก็รบกวนเจ้าดูแลให้มากๆ”
อวี่ซือเฟิ่งใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ในเวลานั้นพลันกระจ่าง กำลังจะหาคำมาอธิบาย ก็รู้สึกว่าดูจะไม่ได้ความ จะกล่าววาจาตามมารยาทก็ดูปลอม คิดถึงว่าความลับตนเองถูกเขามองทะลุโดยง่าย ในใจอดแตกตื่นไม่ได้ และการได้รับการยอมรับจากอาวุโสก็ยิ่งทำให้เขายินดียิ่ง พลันได้แต่นิ่งเบื้อเป็นไก่ไม้ วาจาแม้ครึ่งคำก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้
อวี่ซือเฟิ่งที่แต่ไรมาสติปัญญาเป็นเยี่ยมความสุขุมรอบคอบ ในที่สุดก็มีช่วงเวลาเก้กังกับเขาด้วย ฉู่เหล่ยตบบ่าเขา เขาชื่นชมชายหนุ่มอายุน้อยผู้นี้มาก เดิมคิดจะคุยกับเขาให้ยาวนานสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่านอกประตูพลันมีเสียงเคลื่อนไหว เสวียนจีเคาะประตูเสียงดังปังๆ ตะโกนว่า “ท่านพ่อ! ซือเฟิ่ง! มีคนมาเกาะฝูอวี้อีกแล้ว!”
ทั้งสองล้วนตกใจยิ่ง