“หา! ดวงตาสวรรค์?!” หลิ่วอี้ฮวนทำไม้ทำมือตกใจเกินจริง กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเปิดดวงตาสวรรค์ก็เหมือนกินองุ่นง่ายๆ เช่นนี้หรือ”
เขาเห็นอวี่ซือเฟิ่งนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังจ้องมองตนเองไม่วางตา ได้แต่ยักไหล่ถอนหายใจกล่าวว่า “เช่นนั้น…เงือกใดคู่ควรให้ข้าเปิดดวงตาสวรรค์? ที่ข้ารู้มา ก่อนหน้านี้พวกเจ้า…”
“เป็นสหาย” อวี่ซือเฟิ่งขัดวาจาเขาขึ้น “สหายคนสำคัญมาก”
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง ลุกขึ้นยืนโงนเงนไปมา เดินไปทางประตู ทุกคนรีบตามไป พอเข้าไปใกล้รู้สึกได้ว่าตัวเขาเหม็นกลิ่นสุรารุนแรงแสบจมูก อดพากันอุดจมูกและหลีกทางให้ไม่ได้
“เฟิ่งหวงน้อย[1]” เขายิ้ม คว้าไหล่อวี่ซือเฟิ่งไว้เพื่อพยุงร่างที่โงนเงนไปมา ศีรษะชนเข้ากับหน้าอกเขา “เจ้าต้องการให้ข้าเปิดดวงตาสวรรค์ ไม่เพียงเพื่อดูเงือกง่ายๆ เช่นนั้นกระมัง”
เขาถามเสียงเบายิ่ง ราวกับรู้ว่ามีคนหูไวได้ยิน ยังใช้มือป้องไว้
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวถึงกับมีเลือดฝาดเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลาอ่อนประสบการณ์เช่นนั้นทำเอาหลิ่วอี้ฮวนทนไม่ไหว ยีใบหน้าเขาอย่างแรง ยีจนกลายเป็นหน้าตาประหลาดหลายแบบ
“ตกลงๆ ข้ารู้แล้ว…เฟิ่งหวงน้อยยังต้องการดูเรื่องตนเอง” หลิ่วอี้ฮวนหลบหมัดเขาที่ซัดมา หัวเราะร่าดังหลบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
พวกจงหมิ่นเหยียนเขยิบเข้ามาใกล้ท่าทางเก้กัง ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…สหายเจ้านั่น…เขา เอิ่ม…”
เขาดูราวกับสำมะเลเทเมายิ่งกว่าพวกนักเลงสำมะเลเทเมา เป็นผีสุรายิ่งกว่าผีสุรา เป็นพวกหัวไม้เละเทะยิ่งกว่าหัวไม้เสียอีก…มองอวี่ซือเฟิ่งอีกที ชุดสีครามสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยและสบายตา เป็นมาตรฐานเด็กดีที่หน้าตาหล่อเหลายอดเยี่ยมอย่างที่สุด ถึงกับมีสหายเช่นนี้ นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ตอนเด็กๆ ข้าก็รู้จักกับเขาแล้ว อย่าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนดีที่มีน้ำใจมาก และความสามารถก็สูงมาก ต้องการหาถิงหนูและเรื่องไปเขาปู้โจวซานต่อจากนี้ต้องมาหาเขาก่อนไม่ผิดแน่”
“อ้อ…” ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ได้แต่เชื่อไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน
ผู้ใดจะรู้ว่าพอลงจากชั้นบนก็เห็นหลิ่วอี้ฮวนถูกชายดูแลหอคณิกากลุ่มหนึ่งล้อมไว้ ส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ตรงนั้น ก็ไม่รู้ทะเลาะอะไรกัน หลิ่วอี้ฮวนดวงตาปรือเมามาย เผยรอยยิ้มบาง ฟังคนเหล่านั้นส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกดัง ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับว่า “ไยต้องโมโหกันขนาดนี้ด้วย คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง หลักการพวกนี้ไม่เข้าใจหรือ”
กล่าวจบก็เอื้อมมือออกไปคว้านางคณิกาสีหน้าตกใจซีดเผือดนางหนึ่งเข้ามากอด ก้มหน้าจุมพิตที่ใบหน้านางอย่างแรงทีหนึ่ง
แม่เล้าขนเอาร้อยมารยามาใช้หมด อ้าปากก็พ่นออกมายกใหญ่จนน้ำลายแตกฟอง ดีดลูกคิดในมือคิดบัญชีเขาอยู่ วาจากดดัน “ข้าว่านะนายท่านหลิ่ว วันนี้เรียกท่านว่า ‘นายท่าน’ ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือ! ท่านก็เป็นแขกประจำของพวกเราที่นี่ คำว่า คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง นี่ใช้กับท่านก็ราวกับวาจาเหลวไหล ปกติท่านเอาแต่ลงบัญชีติดค้างไว้ก็แล้วไป แต่วันนี้ยังนำพาพวกมาก่อเรื่องรุนแรงมาพังร้านข้าเสียได้ หากข้ายังจะ ‘คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง’ อีก จะถูกท่านทำพังหมดเช่นนี้อีกกี่ครั้ง! พวกเราคนตรงไม่กล่าววาจาวกวน คิดบัญชีทีเดียวให้จบเลย เงินที่ค้างไว้ก็จ่ายมา ไม่เช่นนั้นวันนี้ท่านก็อย่าคิดก้าวออกจากประตูนี้!”
หลิ่วอี้ฮวนได้แต่ยิ้ม ท่าทางไม่สนใจไยดี หนุ่มสาวด้านหลังเห็นแม่เล้าเอาเรื่องเช่นนี้ อดเดินออกมาพร้อมกันไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วถามว่า “เขาค้างเงินเท่าไร”
แม่เล้าเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาก็อดอึ้งไปไม่ได้ ชายผู้ดูแลหอคณิกาข้างๆ รีบเข้ามากระซิบบอกนางว่าคนผู้นี้เป็นคนที่นำคนมาก่อเรื่องในวันนี้ นางสีหน้าแปรเปลี่ยน สุดท้ายฝืนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องเงินเรื่องเล็ก พวกข้าทำการค้าเล็กๆ กับคนเช่นเขาที่ค้างเงินหลายเดือนเช่นนี้ ทุนก็แทบจะหมดสิ้น…”
อวี่ซือเฟิ่งขี้เกียจฟังนางพูดจามากความ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แท้จริงเท่าไร”
ชายผู้ดูแลหอคณิการีบหยิบบัญชีมาเปิดคิดบัญชีเป็นปึกๆ สุดท้ายรายงานเป็นตัวเลข “รวมค่าสุราสามเดือนนี้กับค่าแม่นาง ทั้งหมดห้าสิบเจ็ดตำลึงสี่อีแปะแปดตังค์”
อวี่ซือเฟิ่งคว้าเอาไข่มุกเม็ดหนึ่งจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ “สิ่งนี้เพียงพอให้เขามาอีกสามเดือน อย่าเอะอะอีก พวกเรามีเรื่องด่วน รีบเปิดทาง!”
ทุกคนเห็นไข่มุกนั้นไร้ที่ติ ก็รู้ว่าเป็นสินค้าชั้นยอด อดแย้มยิ้มเบิกบานไม่ได้ รีบเปิดทางให้ทันที หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดังลั่น เดินส่ายอาดๆ ออกไปอย่างได้ใจยกใหญ่ ราวกับนายท่านที่จ่ายเงินก็คือตนเองอย่างไรอย่างนั้น
เสวียนจีหิวจนท้องร้องจ๊อก ก่อนหน้านี้รั่วอวี้บอกว่าที่นี่มีของกิน นางคิดว่าทุกคนจะมากินกันที่นี่สักมื้อ ผู้ใดจะรู้ว่าจะจากกันไปเร็วเช่นนี้ เช่นนั้นอาหารเช้าทำอย่างไร หันกลับไปเห็นขนมดูประณีตน่ากินในตะกร้าบนโต๊ะ นางจ้องมองเป็นนาน หญิงคณิกาข้างๆ หลายคนก็รู้งานรีบยกมาส่งให้นาง เสวียนจีพอใจมาก หันกลับไปยิ้มให้พวกนางอย่างมีมิตรภาพ พลางโบกมืออำลา
หลิ่วอี้ฮวนออกนอกประตูมาก็คว้าคออวี่ซือเฟิ่งไว้ ยิ้มกระซิบว่า “เจ้าพวกนี้ตาไร้แวว ไข่มุกทะเลลึกเม็ดนั้นเป็นของชั้นยอดกระมัง แม้ตำหนักหลีเจ๋อไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือไข่มุก แต่ของระดับนั้นให้พวกเขาไปน่าเสียดาย เดี๋ยวไว้กลับมา ข้าจะช่วยเจ้าขโมยออกมา”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้อง แต่นิสัยเสียของเจ้าเช่นนี้ควรต้องแก้ไขนะ จะได้ไม่…”
กล่าวไม่ทันจบก็ไม่กล่าวต่อแล้ว หลิ่วอี้ฮวนเผยรอยยิ้มเสแสร้ง ยีใบหน้าเขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “เฟิ่งหวงน้อยเป็นห่วงข้า? ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ก้อนแป้งน้อยกลายเป็นก้อนแป้งใหญ่แล้ว แต่จิตใจยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดีมาก!”
อวี่ซือเฟิ่งผลักมือเขาออก ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้สาระเช่นเขา คนด้านหลังหลายคนรู้ว่าแต่ไรมาอวี่ซื่อเฟิ่งก็มีนิสัยเย็นชาเย่อหยิ่ง ตอนนี้กลับถูกนักเลงเกกมะเหรกหยอกเอาราวกับสตรีนางหนึ่ง เขาถึงกับไม่โมโห อดพากันอ้าปากค้างไม่ได้
กลับถึงที่พักหลิ่วอี้ฮวน ยังคงเป็นบ้านพุพังอับชื้นแห่งนั้น หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเฝื่อนมองประตูบ้านที่ถูกคนถีบพัง ถอนใจกล่าวว่า “ประตูสองบานนี้อย่างไรก็ยังมีประโยชน์ เจ้ารุนแรงมากไปนะ!”
“อย่าพูดมาก” อวี่ซือเฟิ่งลากเขาเข้าบ้าน หันกลับไปกวักมือให้พวกจงหมิ่นเหยียน “เข้ามา ข้าแนะนำสักหน่อย”
“ท่านนี้คือ…คนรู้จักเก่าแก่ดังสหายและดังอาจารย์ พี่หลิ่ว หลิ่วอี้ฮวน”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เขาก็ถูกหลิ่วอี้ฮวนยีใบหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง ชายเกกมะเหรกไร้สาระถึงกับเข้าไปใกล้ข้างหูแทบกระซิบแผ่วเบาว่า “อะไรเรียกว่าคนรู้จักเก่าแก่? เฟิ่งหวงน้อยช่างไร้ใจ…อา!”
เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวด ที่แท้ถูกอวี่ซือเฟิ่งอัดเข้าที่ดั้งจมูก เจ็บจนต้องกุมจมูกลงนั่งยองกับพื้น
เห็นชัดว่าอวี่ซือเฟิ่งลงมือกับคนเสเพลเช่นนี้เป็นปกติวิสัยแล้ว สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงแนะนำต่อว่า “ท่านนี้คือศิษย์ร่วมสำนักข้า รั่วอวี้ สองท่านนี้คือศิษย์สำนักเส้าหยาง ฉู่เสวียนจี จงหมิ่นเหยียน”
“อ้อ อ้อ…ศิษย์ห้าสำนักใหญ่ใต้หล้า…เป็นเกียรติๆ…” หลิ่วอี้ฮวนกุมดั้งจมูก กล่าวน้ำเสียงอู้อี้
ทุกคนเห็นสภาพเขาเช่นนี้ จะทักก็ไม่ใช่ จะไม่ทักก็ไม่ใช่ ได้แต่ประสานมือส่งๆ ไป ไม่ทันระวังเขาที่อยู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ ไปหยุดตรงหน้าแต่ละคนครู่หนึ่ง มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มองไปถึงเสวียนจี ยังคิดยกมือไปลูบ ทำนางตกใจจนอึ้งถอยหลังไปหลายก้าว
“เอ่อ ไม่ต้องกลัว…อา ฮา ฮา” เขาหัวเราะสองเสียง ลูบคางกล่าวอีกว่า “ท่านนี้คือ…รั่วอวี้? อ้อ เป็นศิษย์ร่วมสำนัก?”
รั่วอวี้สายตาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตามมาด้วยยิ้มกล่าวว่า “รั่วอวี้คารวะพี่หลิ่ว”
หลิ่วอี้ฮวนได้แต่หัวเราะเบาๆ ตบบ่าเขาไป “ข้าเห็นก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่คนฉลาดมักไม่ทำเรื่องดี อย่าฉลาดเกินไปนักนะ!”
รั่วอวี้ยิ้มถามท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย “วาจาพี่หลิ่วลึกล้ำยิ่งนัก รั่วอวี้ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ อา…ฮา…ฮา…ต้องมีวันที่เข้าใจสักวัน!”
หลิ่วอี้ฮวนโบกมือ เดินไปหน้าจงหมิ่นเหยียน ถลึงตาจ้องมองเขาอยู่เป็นนาน จงหมิ่นเหยียนถูกเขามองจนขนลุกไปทั้งตัว เพราะตัวเขายังคงเหม็นกลิ่นสุรา เขากลั้นหายใจจนหน้าเขียวไปหมด ได้แต่ทำหน้าบึ้งกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้า เจ้ามองอะไร”
หลิ่วอี้ฮวนอึ้งมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ามองคนโง่คนหนึ่ง ดำรงรักษ์คุณธรรมจริงใจ สุดท้ายถูกเขาหลอก”
ในใจจงหมิ่นเหยียนสะดุ้ง ถลึงตาใส่เขาอย่างรู้สึกสับสน ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะยกมือขึ้นตบหน้าผากเขา เจ็บมาก ข้างหูได้ยินเสียงเขากล่าวทุ้มเบาว่า “จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ แยกออกยังดี แยกไม่ออกก็ย่อมเป็นชะตาเจ้า”
“อะไรกัน!” จงหมิ่นเหยียนกุมหน้าผาก ปวดหัวแทบระเบิดออกมา
หลิ่วอี้ฮวนไม่สนเขาอีก อ้อมไปหน้าเสวียนจี มองบนลงล่างและซ้ายไปขวาเป็นนาน มองจนน้ำลายหยดออกมา เสวียนจีขนลุกชันไม่ว่า แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งก็ยังอดเรียกเขาเบาๆ ไม่ได้ “พี่หลิ่ว!”
หลิ่วอี้ฮวนโบกมือให้เขา มองอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ไม่ได้การแล้ว…เด็กหญิงผู้นี้…”
เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “อะไรคือไม่ได้การ”
นางเห็นคนผู้นี้ท่าทางลึกลับ กล่าวกับทุกคนคนละสองสามวาจา ราวกับรู้เหตุล่วงหน้า อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดกับตนเอง
หลิ่วอี้ฮวนลูบคาง น้ำลายไหล ราวกับดรุณีน้อยเบื้องหน้าไม่ใช่คน หากเป็นสินค้าเพชรพลอยทองคำมีค่าหาราคามิได้ ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยแววตาที่ราวกับเห็นเงินแล้วตาโต แวววาวจนน่าตกใจยิ่ง
“โอย ไม่ได้การแล้ว…ก็คือไม่ได้การแล้ว” เขาพึมพำ “เจ้าคนนี้อันตรายมาก วันหน้าจะเกิดเรื่องใหญ่”
หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีงงไปหมด หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “ความลับสวรรค์ไม่อาจเปิดเผย มา มา เฟิ่งหวงน้อย ให้ข้าดูเจ้าหน่อย”
เขาลากอวี่ซือเฟิ่งมาตรงหน้า นิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกลับยิ้มเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าคนโง่ ไยต้องดีใจเสียเปล่าด้วย”
อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าสลด “วันหน้าข้า…ไม่ดีหรือ”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้า “ดีหรือไม่ดี คนอื่นกล่าวได้อย่างไร เจ้าเองรู้ดีที่สุด”
กล่าวจบเขาใช้มือตบอย่างแรงและใช้เท้าเตะขยะรอบๆ ออกเต็มแรง เพื่อทำให้มีที่ว่างหย่อนก้นลงนั่งได้ ยิ้มกล่าวว่า “บุปผาในกระจก เดือนกลางน้ำ ว่างเปล่ามายา เคราะห์กรรมเท่านั้น มา มา ไม่ต้องทำหน้าตาอมทุกข์ไป ทุกคนนั่งลง ข้าดูพวกเจ้าก็รู้ว่าเป็นคนที่เกิดมาเพื่อการใหญ่!”
ทุกคนเห็นพื้นสกปรก ไม่มีที่นั่งได้แม้แต่น้อย แต่เมื่อครู่เขากล่าวออกมาแล้ว เหมือนกระจ่างก็ไม่กระจ่าง ยามนี้เห็นเขาก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ลึกลับยากหยั่ง จึงไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่ยองลงนั่ง
หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอีกว่า “เงือกนั่นน่ะ อยู่ในเมือง แต่จะช่วยเขาออกมา ต้องลงแรงหน่อย ดังนั้นไม่อาจใจร้อน”
[1] นกหงส์จีน บ้างก็ว่าเป็นฟีนิกซ์ นกอัคคี