พวกอวี่ซือเฟิ่งทั้งสามคนไปลงมือกันอีกทาง พวกเขาจึงค่อนข้างระมัดระวังรอบคอบมาก ไม่มีความสามารถดวงตาสวรรค์ ต้องคอยระวังว่าเวรยามจะพบเจอตนเองได้ตลอดเวลา
อวี่ซือเฟิ่งเดินไประยะหนึ่ง ก็พลันมองซ้ายขวา หันกลับไปกวักมือเรียกเสวียนจี “มานี่ ตรงนี้”
เสวียนจีกับรั่วอวี้ไม่เข้าใจความหมายเขา พากันเดินเข้าไป รั่วอวี้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทางนั้นไม่ใช่ทิศทางที่พี่หลิ่วชี้กระมัง”
อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเบาๆ “พวกเราแยกตัวสักครู่ ไม่เป็นไร แล้วจะตามไปในทันที”
รั่วอวี้ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการทำอันใดกันแน่ ได้แต่ตามเขาไป ทั้งสามเดินอ้อมไปอ้อมมาอยู่ในจวน เหมือนอวี่ซือเฟิ่งคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ที่นี่เป็นอย่างดี ถึงกับไม่มีหลงทาง
“ซือเฟิ่ง เมื่อก่อนเจ้าเคยมาที่นี่หรือ” เสวียนจีอดถามไม่ได้ นางนึกภาพไม่ออกว่าอวี่ซือเฟิ่งจะเป็นขโมยลอบเข้าจวนคหบดีในยามวิกาล แต่ไรมาเขาล้วนเป็นต้นแบบมาตรฐานเด็กดีมาตลอด
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเคยมาพักที่เมืองชิ่งหยางกับพี่หลิ่วมาระยะหนึ่ง เขาไม่มีอะไรทำ…ก็ชอบมาชมสวนดอกไม้จวนตระกูลโจวยามค่ำคืน ข้ามักจะมาเป็นเพื่อนเขา”
ที่แท้ถูกหลิ่วอี้ฮวนชักนำ คนผู้นี้ช่างชอบหาเรื่องใส่ตัวจริง
“ถึงแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งหยุดหน้าห้องหนังสือมองซ้ายมองขวา ไม่มีคนจริงๆ จึงค่อยๆ ชักกระบี่ออกมาสะกิดไปที่กุญแจหน้าประตูอย่างเบามือไร้เสียง ประตูสองบานส่งเสียงแกร๊กก่อนจะเปิดออก กลิ่นราอับชื้นรุนแรงด้านในฟุ้งกระจายออกมา
“อา…ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมาหรือ” เสวียนจีอุดจมูก อาศัยแสงจันทร์มองเข้าไปในห้อง เห็นเพียงฝุ่นเต็มพื้น หยากไย่เกาะไปทั่ว ก็ไม่รู้นานเท่าไรที่ไม่มีคนมาปัดกวาดทำความสะอาด ประตูเปิดออก ด้านในมีเสียงสวบสาบ น่าจะเป็นพวกหนูที่อยู่กันเป็นรังถูกทำให้ตกใจ จึงแย่งกันวิ่งออกมาด้านนอก
“อย่าเห็นเช่นนี้ ด้านในเป็นที่เก็บสมบัติจวนตระกูลโจวเลยนะ”
อวี่ซือเฟิ่งจูงมือเสวียนจี ใช้กระบี่ปัดหยากไย่ออก ทั้งสามก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงเครื่องเรือนด้านในทั้งหมดคลุมผ้าสีขาวไว้ชั้นหนึ่ง น่าจะนานมาแล้ว ผ้าขาวเปลี่ยนเป็นสีเทาเริ่มเหลืองไปนานแล้ว ด้านหลังมีประตูเล็กบานหนึ่ง บนประตูมีม่านแขวนทิ้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่น บนม่านมียันต์แปะไว้เต็มไปหมด ไม่รู้ด้านในสะกดอันใดไว้ ยามคืนดึกดื่นไร้ผู้คนเช่นนี้ พลันได้เห็นห้องหนังสือที่ไม่ได้ใช้งานในจวนขุนนางเต็มไปด้วยยันต์ ฉับพลันก็ทำให้รู้สึกลึกลับยากคาดเดา
ดูออกว่าอวี่ซือเฟิ่งค่อนข้างระวังยันต์เหล่านั้นยิ่งนัก ดูไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ เพียงนำทั้งสองเดินเข้าไปเบื้องหน้าพลางกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หลังม่านก็คือสมบัติล้ำค่า”
เสวียนจีเห็นด้านในมืดดำมองไม่เห็นอันใด ได้แต่กล่าวว่า “ข้า…ข้ามองไม่เห็นสิ่งของด้านใน คืออะไรกัน”
อวี่ซือเฟิ่งจุดแท่งไฟ ในห้องก็มีแสงสว่างขึ้น จึงได้เห็นด้านหลังม่านมีช่องเล็กๆ วางชั้นวางหนึ่งสูงราวคน ใช้ผ้าขาวปิดไว้ ด้านบนมียันต์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนปิดไว้เต็มทั่วพื้นที่
นั่นคืออะไร ในใจเสวียนจีพลันกระตุกวาบ ราวกับมีความรู้สึกคุ้นเคยที่แสนไกลกระแสหนึ่งกระแทกใจ นั่นคืออะไรกัน
“ข้าได้ยินพี่หลิ่วเล่าว่า นี่คือสมบัติล้ำค่าที่เทพบรรพกาลทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ชิ้นหนึ่ง เรียกว่ากระจกหมื่นกรรม มันรู้เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของสรรพสิ่งบนโลกนี้ ยังรู้ถึงเหตุต้นผลกรรมภพชาติของสรรพชีวิตอีกด้วย น่าเสียดายยันต์พวกนี้น่าแปลกอยู่สักหน่อย แม้แต่ปกติก็ยังไม่อาจแตะต้องได้ ไม่เช่นนั้น ขโมยมาแอบส่องก็ไม่เลวนะ”
อวี่ซือเฟิ่งดับแท่งไฟ มองเสวียนจีที่กำลังมองกระจกอึ้งไป ก็หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ได้แต่แค่มองเช่นนี้แล้ว ไม่อาจสัมผัสได้ ไม่เช่นนั้นย่อมเกิดความยุ่งยากยิ่ง”
เสวียนจีรู้สึกเพียงเสียงเขาแม้ว่าอยู่ข้างหู แต่ราวกับไกลออกไปแสนไกล นางฟังไม่ชัด ความสนใจทั้งหมดของนางล้วนอยู่กับสิ่งนั่นที่ถูกผ้าขาวปิดทับไว้หมดแล้ว
คุ้นเคยมาก…ความรู้สึกคุ้นเคยมาก…ราวกับเคยได้กลิ่นควันไฟนี้ เสียงอาวุธและม้าในสนามรบดังกระหึ่มก้อง มีบางสิ่งฝังอยู่ลึกยิ่งนัก กำลังเริ่มขยับเคลื่อนไหว
คืออะไร แท้จริงคืออะไรกันแน่
มีคนเรียกนางเบาๆ มา…เจ้ามา…มานี่…
นางถูกเสียงปีศาจนั่นล่อลวง ค่อยๆ ยกมือขึ้น เปิดม่านออก
“เสวียนจีอย่าแตะ!” อวี่ซือเฟิ่งรีบกระซิบเบาๆ น้ำเสียงขาดห้วง ยันต์พวกนั้น ถูกนางแตะต้อง ก็ราวกับถูกไฟเผา ค่อยๆ ถูกย่อยเป็นเถ้าถ่าน
นางเลิกม่านออกก้าวเข้าไปราวต้องมนตร์ ยกมือค่อยๆ ปลดผ้าผืนนั้นออก ใต้ผ้าขาวเป็นกระจกโบราณบานหนึ่ง ลวดลายโดยรอบสี่ทิศเป็นรูปสัตว์เทพทั้งสี่ มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ กลางกระจกนั้นใหญ่ขนาดถาดสองใบประกบกัน ด้านในเงาวาววับ แต่คนยืนอยู่ตรงหน้า ถึงกับไม่อาจสะท้อนร่างเงาออกมา
น้ำเสียงแสนแผ่วเบาแนบอยู่ข้างใบหู ราวกับกำลังร้องเพลง เรียกนางแผ่วเบา มาดู…มาดูข้า…
นางเงยหน้ามองกลางกระจก คลื่นแสงในนั้นค่อยๆ แผ่กระจาย เผยภาพใบหน้าสตรีงดงามอย่างยิ่ง คิ้วงามปากแดง ผิวขาวราวหิมะแก้วผลึกใส ก้มหน้ากำลังกล่าวอันใด พลันเงยหน้าขึ้นมองมา สองตาราวกับกำเนิดจากเกล็ดน้ำแข็ง ไม่มีความอบอุ่นและความรู้สึกแม้แต่น้อย
ในใจเสวียนจีราวกับถูกของบางอย่างทุบอย่างแรง เสียงมากมายนับไม่ถ้วนกับภาพราวสายน้ำทะลักออกมา นางยืนอยู่ที่นั่น มือเท้าถูกพันธนาการไว้ มองดูภาพหวนรำลึกที่เหมือนคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย พลันแยกไม่ออกว่าเป็นความฝันหรือความจริง
「เห็นแก่ความดีความชอบของเจ้า ตอนนี้ขอเพียงก้มหน้ารับผิด ก็จะแก้หายนะหมื่นเคราะห์เวียนว่ายตายเกิด เหตุใดจึงดื้อดึงเช่นนี้」
มีคนถามนางเสียงเยียบเย็น
「อาจเพราะวันๆ นางเอาแต่สังหาร สังหารจนติดกมลสันดาน ถึงกับ…แต่อย่างไรก็เป็นขุนนางมีความชอบผู้หนึ่ง เพิ่งจะบำเพ็ญบรรลุผลขึ้นแดนสวรรค์ ยามนี้อย่างไรก็อย่าได้ต้องโทษประหาร」
「เจ้าว่ามา! เรื่องเช่นนี้ หรือว่ายังต้องอาศัยวาจาผู้อื่นมาช่วยเจ้าพูด!」
ในใจนางพลันสะดุ้ง จ้องมองสตรีชุดขาวตรงหน้านิ่งงัน ร่างนางถูกพันธนาการไว้ ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย ถึงกับมีสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง ดวงตาเย็นเยียบราวน้ำแข็งกวาดมองมา ความรู้สึกเย็นยะเยือก นางเผยอริมฝีปากแดงกล่าวเบาๆ ออกไปวาจาหนึ่ง
เสวียนจีรู้สึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่กระหน่ำทะลุใจ ในห้วงความคิดราวกับมีกระบี่มากมายแทงนาง นางอดส่งเสียงครางขึ้นเบาๆ พลางยกมือกุมศีรษะไม่ได้
นางกล่าวว่า “ที่ข้าทำไปทั้งหมดล้วนเป็นพวกเจ้าสั่งการ แม้แต่ความสงสัยก็ไม่อนุญาตให้ข้าได้คิด ตอนนี้ไยจึงมาถามข้าว่าผิดหรือถูก?”
เสียงในกระจกนั่นคำรามอย่างโมโหขึ้น ช่างเหิมเกริมเกินไปแล้ว หากนางยังเป็นขุนนางที่ยังเหิมเกริมไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ก็ควรโดนลงโทษประหาร แล้วนำไปเกิดเวียนว่ายรับหมื่นเคราะห์กรรม อย่าให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ทุกอย่างที่นางทำ ผิดจริงหรือ? อะไรคือถูก แล้วอะไรคือผิด วิถีฟ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล มีเสียงมากมายนับไม่ถ้วนบอกนางถูกเช่นนี้ ผิดเช่นนั้น เจ้าไม่อาจมีเสียงของตนเอง ไม่อาจฝืนย้อนคืนกระแส ไม่อาจผ่อนช้า…ไม่อาจเช่นนี้ ไม่อาจเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้น มีอันใดได้เล่า?
ดังนั้นได้แต่ยิ้มเยียบเย็น “ตายก็ตาย!”
อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้เห็นนางยืนนิ่งงันอยู่หน้ากระจก ไม่รู้มองเห็นอันใด พลันกุมศีรษะเจ็บปวด กำลังคิดก้าวเข้าไปประคอง หากนางผงะถอยหลัง สลบไปทันที!
อวี่ซือเฟิ่งไม่อาจสนใจข้อห้ามของยันต์อีกแล้ว ก้าวเข้าไปคว้านางไว้อย่างเร็ว เห็นเพียงสองตานางปิดสนิท คิ้วขมวดแน่น ถึงกับมีสีหน้าทุกข์ทรมานอย่างมาก
“เสวียนจี?!” เขาเรียกอย่างร้อนใจ ค่อยๆ ตบใบหน้านางเบาๆ สองที หากนางไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ค่อยๆ ล้มตัวลงพิงหน้าอกเขาราวกับหลับอยู่ รั่วอวี้เองก็เข้ามามองสภาพนางอย่างร้อนใจ จับชีพจรอยู่เป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “หมดสติไปแล้ว ราวกับกระทบกระเทือนใจอันใด”
เขาเงยหน้ามองไปยังกระจกโบราณบานนั้น กล่าวอย่างแปลกใจว่า “แท้จริงแล้วนางเห็นอันใดในนั้น”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน กำลังมองเข้าไปด้านใน พลันรู้สึกเขามังกรในอกเสื้อสั่นไหวเล็กน้อย เปล่งเสียงราวมังกรร้องทุ้มต่ำ ทั้งสองล้วนตกใจ สบตากัน รู้ว่าทางหลิ่วอี้ฮวนเกิดเรื่องแล้ว