จิ้งจอกม่วงบอกว่าเขาปู้โจวซานอยู่ทางตะวันตกสุด ที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามรบใหญ่ของเทพบรรพกาลต่อมาเพราะก้งกงสู้จู้หรงไม่ได้ ขณะโมโหอยู่นั้นจึงได้ชนเขาปู้โจวซานล้ม ดังนั้นน้ำจากแม่น้ำสวรรค์จึงไหลบ่าก่อเกิดหายนะทำร้ายชาวบ้านธรรมดา ในฐานะที่เคยเป็นเสาค้ำแดนสวรรค์ ทิวทัศน์ที่นั่นย่อมเป็นเทือกเขาใหญ่อลังการงดงามอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้ นอกจากนี้ที่นั่นยังมีประตูเชื่อมต่อไปยังแดนปรภพ มีเทพสององค์เฝ้าประตูทางเข้าทั้งวันคืนดังแพรบางที่ปกคลุมเขาปู้โจวซานไว้ชั้นหนึ่ง ลึกลับยากคาดเดา
“แต่ว่า…ตอนเป็นเด็กข้าก็ไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ก็ไม่ได้เห็นสิ่งใดแปลกประหลาดนี่นา”
จิ้งจอกม่วงพูดจนเหนื่อยแล้ว จึงหมอบลงเลียน้ำชาในแก้วบนโต๊ะ
พวกเขาร่วมเดินทางมาทางตะวันตก ล้วนคิดกันว่าเหินกระบี่ตรงขึ้นเขาปู้โจวซานได้ ผู้ใดจะรู้ว่าเหินอยู่เป็นนาน จากนั้นจิ้งจอกม่วงก็ให้ลดระดับลงจากก้อนเมฆ บอกว่าจากวันนี้เป็นต้นไปต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น อย่าว่าแต่เหินกระบี่เลย แม้แต่ขี่กระเรียนเซียนหรือมังกรทองก็ไม่ได้
พวกเขาไม่รู้จักทาง แม้ว่าไม่อยากทำตาม แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ฟังคำนางยอมเดินเท้าเข้าไปแต่โดยดี ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านหนึ่งที่ชื่อว่า เก๋อเอ่อร์มู่
ที่นี่อยู่ทางตะวันตก ผู้คนและวัฒนธรรมย่อมต่างจากแผ่นดินจงหยวน ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนสวมหมวกทรงกลมใบเล็กบนศีรษะ หมวกปักลายนกและดอกไม้ต่างๆ ด้านล่างหมวกยังมีแพรบางทิ้งตัวยาวสองฉื่อผืนหนึ่ง ไว้สำหรับบังลมที่พัดมาพร้อมทรายทั่วไปในอากาศ
เสวียนจีเห็นเสี่ยวเอ้อร์และเถ้าแก่ในร้านอาหารล้วนเป็นหญิง ศีรษะไม่เกล้ามวยผม หากถักเปียสามสี่เส้นทิ้งตัวยาวจนถึงหน้าขา พวกนางยังมีตาลึกจมูกโด่งบนใบหน้า ขับให้วงหน้างดงามอ่อนหวานต่างกับสตรีจงหยวนอย่างมาก อดพากันมองจนตาค้างไม่ได้ พวกนางสวมเสื้อกั๊กหลากสีสัน ท่อนล่างเป็นกระโปรงตัวยาวๆ ที่เอวร้อยรัดด้วยกระดิ่งเงิน ยามเดินก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งราวนกจาบฝนส่งเสียงร้อง จุ๊บๆ จิ๊บๆ กลิ่นลมหอมพัดโชย ทำให้รู้สึกถึงความงามอ่อนหวานที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนี่ง
หญิงรับใช้ในร้านก็กริยาท่าทางเปิดเผย ต้อนรับแขกจากจงหยวนเช่นพวกเขาอย่างกระตือรือร้น สักพักก็ยกชานมมา สักพักก็ยกองุ่นมา ทำเอาพวกจงหมิ่นเหยียนไม่กล้าเงยหน้ามอง ท่าทางเก้กังอย่างยิ่ง
“ที่นี่…ต่างกับพวกเราที่นั่นมากจริงๆ…” จงหมิ่นเหยียนดื่มชานมไปคำหนึ่ง กลิ่นประหลาดทำเอาติดคอแทบพ่นออกมา
จิ้งจอกม่วงเห็นท่าทางเขาก็หัวเราะขึ้นกล่าวว่า “ใต้หล้ากว้างใหญ่ยิ่ง! ดูเจ้าสิ ท่าทางเหมือนบ้านนอกเลย! คนเขาเห็นเจ้าเป็นแขกที่ไม่ค่อยได้พานพบแท้ๆ เจ้ากลับมองคนอื่นราวตัวประหลาด! ก็แค่ใส่เสื้อผ้าต่างกัน หน้าตาต่างกัน ถอดเสื้อแล้วทุกคนล้วนเหมือนกัน!”
จงหมิ่นเหยียนกว่าจะหยุดติดคอได้ก็นานไม่น้อย มาถูกนางเย้าแหย่เช่นนี้อีก อดไออย่างรุนแรงต่อไม่ได้ หน้าตาแดงก่ำไปหมด ฝืนกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าพูด พูดบ้าอะไร!”
“โอ ข้าพูดอันใดไป ถอดเสื้อผ้าเท่านั้นเอง หรือว่าแต่ไรมาเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้า”
จิ้งจอกม่วงยังคงเย้าแหย่เขา จงหมิ่นเหยียนหน้าแดงก่ำจนแทบระเบิด ฮึดฮัดเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกัน!”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ได้ ได้เวลาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว จิ้งจอกม่วง เหตุใดไม่อาจเหินกระบี่ตรงเข้าเขาปู้โจวซาน ข้ามองดูพื้นที่นี้เป็นแอ่ง เหมือนว่าเป็นแอ่งกระทะ ห่างจากเขาปู้โจวซานอีกตั้งไกลไม่ใช่หรือ”
หนวดขาวบนปากจิ้งจอกม่วงกระดิก ปากแหลมๆ อ้ารอเสวียนจีป้อนองุ่นให้นาง ตาปรือกล่าวว่า “บอกว่าพวกเจ้าเห็นโลกมาน้อยก็ไม่เกินไปเลยจริงๆ พวกเจ้าเคยเห็นเขาปู้โจวซานบนแผนที่มนุษย์ธรรมดาหรือ ที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้าม เข้าใจไหม ยังคิดเหินกระบี่เข้าไป! ยังไม่ทันบินข้ามก็ถูกเทพเฝ้าภูเขาฟาดร่วงแล้ว! ต้องการไปเขาปู้โจวซานก็ต้องเดินเท้าเข้าไปแต่โดยดี นอกจากที่เซินซูและอวี้ลวี่อยู่ที่ไม่อาจเข้าใกล้แล้ว ที่อื่นๆ ก็…ไม่ต่างอันใดกับภูเขาสูงทั่วไป”
รั่วอวี้ราวกับสนใจเซินซูและอวี้ลวี่มาก รีบถามว่า “เจ้ารู้จักเทพสององค์ที่เฝ้าประตูแดนปรภพหรือ มักได้ยินคนว่าแดนปรภพมีทางเข้าที่เขาปู้โจวซาน หากแต่ไรมาไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรกันแน่”
จิ้งจอกม่วงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงฉอเลาะกล่าวว่า “ที่แห่งนั้นผู้ใดล้วนไม่อาจเข้าใกล้ เจ้าถามข้า ข้าถามผู้ใดเล่า! คนที่รู้จักเซินซูและอวี้ลวี่ก็ไม่บอกเจ้าหรอกว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”
“ทำไม” ทุกคนพากันแปลกใจ
จิ้งจอกม่วง “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “พวกโง่เง่าเต่าตุ่น! เพราะพวกเขาล้วนตายอย่างไรเล่า! ได้เห็นเซินซูและอวี้ลวี่ ผู้ใดยังมีชีวิตต่อได้?! เป็นตายล้วนชะตะฟ้าลิขิต วิถีฟ้ามีวัฏฏะ อยู่ๆ จะแล่นไปประตูแดนปรภพทำไม ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไม่กลัวตาย ไม่ก็คิดจะไปแดนปรภพหาคน ไม่ก็ท้าเทพสงคราม นี่ล้วนเป็นการละเมิดกฎวัฏฏะฟ้าดิน มีแต่ตายสถานเดียว!”
พูดไปพูดมา สีหน้านางเองก็สลดลง พึมพำกล่าวเบาๆ ว่า “แต่…แม้เป็นเช่นนี้ ข้าเอง…ข้าไม่กลัว หากพวกเขาสังหารข้า ข้าก็จะได้ไปแดนปรภพพบเขาแล้ว สังหารไม่ตาย ข้าก็จะช่วยเขาออกมา…”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าหมายความว่า…มารปีศาจที่ถูกโซ่หมุดทะเลแปดทิศจองจำไว้หรือ เขาถูกขังในแดนปรภพ? เจ้า เจ้าจะไปแดนปรภพเพื่อช่วยเขา?”
มิน่านางรับปากง่ายดาย ที่แท้นางเองก็มีเป้าหมายจะมาเขาปู้โจวซานเหมือนกัน
จิ้งจอกม่วงแยกเขี้ยวถามนางดุดัน “ทำไม! ข้าไปไม่ได้หรือ?! พวกเราต่างคนต่างปฏิบัติการ ก็แค่ร่วมเดินทางเท่านั้น ถึงเขาปู้โจวซาน พวกเจ้าช่วยคนของพวกเจ้า ข้าช่วยคนของข้า ไม่เกี่ยวข้องกัน!”
“เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…” เสวียนจีลูบหัวนางพลางกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไปคนเดียว อันตรายมากนะ ไม่สู้ข้าช่วยเจ้า?”
วาจากล่าวออกไป ทุกคนล้วนตกใจ จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าพูดมั่วอะไรกัน! มารปีศาจนะ! ปล่อยออกมาก็ย่อมเป็นภัยต่อโลกมนุษย์! หากอาจารย์ได้ยินเข้า ชั่วชีวิตเจ้าคงได้อยู่แต่ในถ้ำแสงฉานอย่าได้คิดออกมาเลย!”
แต่ไรมาถ้ำแสงฉานถือเป็นจุดอ่อนของเสวียนจี พอได้ยินชื่อก็ทำเอาตัวสั่น รีบส่ายหน้าทันที “อย่างนั้น…อย่างนั้นข้าไม่เอาแล้วดีกว่า…” ต้องอยู่ถ้ำแสงฉานไปชั่วชีวิต ไม่สู้เอาดาบสังหารนางให้ตายด้วยดาบเดียวดีกว่า
จิ้งจอกม่วงยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าช่วย นี่เป็นเรื่องของข้าเอง ข้ามีวาจามากมายจะกล่าวกับเขา…ไม่อยากเป็นแบบพวกเจ้าสองคน วาจาในใจไปกล่าวให้ผู้อื่นฟัง ข้าต้องให้เขารู้ว่าใต้หล้านี้มีเพียงข้าที่ดีกับเขาที่สุด เป็นข้าที่ช่วยเขาออกมา ดังนั้นเขาต้องรับน้ำใจข้าตลอดไป…ไม่อาจจากข้าไปอีก”
แม้ว่าปกตินางจะมีท่าทางชอบเย้าแหย่ไร้สาระ แต่วาจาเหล่านี้พูดออกมาฟังแล้วรู้สึกอ่อนหวานพันผูกยากตัดใจ แสดงถึงความผูกพันลึกซึ้ง ทุกคนพลันนิ่งอึ้งไป จงหมิ่นเหยียนเดิมคิดจะสาดวาจาใส่นางสักสองสามวาจา อย่างไรพฤติกรรมนางในสายตาเขาก็ล้วนเป็นคนที่อยู่คนละขั้ว แต่เขากลับพูดไม่ออก ได้แต่ลูบศีรษะไปมา พลันคิดถึงหลิงหลง รู้สึกเพียงว่าหากนางเป็นมารปีศาจที่ใต้หล้าล้วนรังเกียจ ถูกขังในแดนปรภพ ตนเองก็จะทุ่มเทชีวิตบุกเข้าไปช่วยนางออกมาอย่างไม่สนใจอันใดแม้แต่น้อย คิดถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกเข้าใจจิ้งจอกม่วงขึ้นมา ความคุกรุ่นในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป
พักอยู่ที่ร้านสุราเล็กๆ ครู่หนึ่ง ทุกคนก็เร่งเดินทางต่อ ในเมื่อต้องเดินเท้าเข้าไป ไม่เร่งย่อมไม่ได้
ผู้ใดจะรู้ว่าจิ้งจอกม่วงกลับพิงอ้อมกอดเสวียนจีท่าทางเกียจคร้าน กล่าวเบาๆ ว่า “รอถึงคืนนี้ ข้าดูฟ้าก่อน ค่อยหาเวลาที่เหมาะสมเดินทางต่อ ที่นั่นไม่ใช่ว่าจะไปก็ไปได้”
ทุกคนได้แต่หาโรงเตี๊ยมพักก่อน ดีที่ว่าที่นี่เป็นที่ชายขอบห่างไกล บรรยากาศและผู้คนล้วนแตกต่างจากแดนจงหยวน หนุ่มสาวได้เดินชมรอบหมู่บ้าน รู้สึกถึงความแปลกใหม่ รสชาติอาหารก็มีกลิ่นประหลาด แต่ได้เปรียบที่เป็นของใหม่น่าสนใจ มีร้านหนึ่งใช้กะละมังทองแดงใบใหญ่ใส่อาหารออกมาขาย ไม่รู้ใส่เครื่องปรุงอะไร กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
ทั้งสี่เที่ยวไปกินไป จงหมิ่นเหยียนเห็นร้านข้างทางมีขายเครื่องประดับสตรีสีทองส่องประกาย แต่ละแบบล้วนไม่เหมือนกัน คิดถึงหลิงหลงที่แต่ไรมาก็ชอบของพวกนี้จึงอดเข้าไปเลือกดูไม่ได้ เสวียนจีสนใจแต่ของกิน ลากอวี่ซือเฟิ่งวิ่งหายตัวไปนานแล้ว รั่วอวี้มองไปสองทาง ได้แต่ตามจงหมิ่นเหยียนเลือกเครื่องประดับทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องเครื่องประดับสตรีแม้แต่น้อย
“รั่วอวี้ก็มีสตรีในดวงใจหรือ?” จงหมิ่นเหยียนเลือกมาสองชิ้น เห็นในมือเขาคว้ากำไลหยกมองดูอย่างละเอียด อดยิ้มถามไม่ได้
รั่วอวี้มือกระตุก รีบวางกำไลลงยิ้มกล่าวว่า “ไม่มี…แต่คิดถึงน้องสาวที่บ้านเกิด ตั้งแต่มาอยู่ตำหนักหลีเจ๋อก็ไม่ได้พบนางอีก หลายปีมานี้นางน่าจะเป็นสาวแล้ว ซื้อของให้นางสักหน่อยก็ดี”
จงหมิ่นเหยียนรับห่อเครื่องประดับที่ห่อเสร็จมา ถามอีกว่า “บ้านเกิดรั่วอวี้อยู่ที่ใด ข้าได้ยินว่าเข้าตำหนักหลีเจ๋อก็เท่ากับชีวิตนี้ไม่อาจแต่งภรรยา และไม่อนุญาตให้แตะต้องสตรี…ใช่ว่าวันหน้าไม่อาจกลับบ้านเกิดหรือ”
รั่วอวี้กล่าวว่า “กฎระเบียบสำนักเช่นนี้ย่อมต้องรักษา บ้านเกิดข้า…เป็นป่าเขารกกร้างห่างไกลมาก พูดไปแล้วหมิ่นเหยียนต้องไม่เคยได้ยิน แต่ก็มีคนที่บ้านมาเยี่ยมที่ตำหนักหลีเจ๋อได้บ้าง ก็ไม่นับว่าโดดเดี่ยวเดียวดายตัวคนเดียว”
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาหยิบกำไลขึ้นมาดูอีก ท่าทางเหมือนตัดใจไม่ลง จึงควักเงินยัดใส่มือเถ้าแก่ ยิ้มกล่าวว่า “กำไลนั่น ข้าซื้อแล้ว!”
รั่วอวี้รีบดึงเงินคืนเขา จงหมิ่นเหยียนยิ้มดึงไว้ กล่าวว่า “เจ้าไยต้องเกรงใจกับข้า น้องสาวเจ้าก็เหมือนน้องสาวข้า ซื้อของให้นาง ไยต้องเกรงใจเหมือนเห็นข้าเป็นคนนอก”
รั่วอวี้ไม่ปฏิเสธอีก กุมกำไลไว้ในฝ่ามือ สายตาส่องประกายเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ไม่รู้คิดอันใด เป็นนานก่อนจะยิ้มบางกล่าวเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียนเป็นคนดีมีน้ำใจเสมอ กำไลนี้ข้าก็ขอขอบคุณแทนน้องสาวแล้ว”
“เกรงใจอันใด!” จงหมิ่นเหยียนโบกมือหันหน้าเดินจากไป
รั่วอวี้มองแผ่นหลังเขาเป็นนานก่อนจะค่อยๆ หย่อนกำไลลงถุง