บทที่ 628 ความสำคัญของการเลือกฝ่าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“โอ้ อย่างนั้นหรอ?” เด็กหนุ่มอ้าปากทำท่าตกใจ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “อีกเดี๋ยวเราก็ได้รู้”
ผู้มาไม่ประสงค์ดี
ถึงแม้ทั้งสองจะพูดจาสองแง่สองง่าม แต่ทุกคนกลับได้กลิ่นชนวนสงครามอย่างชัดเจน
แม้แต่หลี่ย่าหลินก็ยังหันไปถามเย่เลี่ยนเสียงเบาว่า “มนุษย์คนนี้ พวกเราจัดการได้หรือเปล่า?” พูดไปเธอก็ขยับนิ้วมือ แล้วพูดต่อว่า “ถึงแม้จะกินเนื้อไม่ได้ แต่ได้ฉีกเนื้อก็ยังดี…มนุษย์พูดไว้ว่าวาดรูปแป้งทอดแก้ความหิวโหย ฉันว่าประโยคนี้พูดถึงเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ…”
เย่เลี่ยนเงยหน้ามองรุ่นพี่ จากนั้นก็ส่ายหน้าเงียบๆ
“หมายถึงจัดการตอนนี้ไม่ได้? หรือว่าถ้าหลิงม่อลงมือเมื่อไหร่พวกเราก็ตามได้?” หลี่ย่าหลินทำท่าครุ่นคิด แล้วถามอีกครั้ง
“อื้ม…อื้ม…” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจังสองครั้ง จากนั้นก็มองไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น “มี…ปัญหา…”
ไม่ได้มีแค่เย่เลี่ยนที่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มมีปัญหา สวี่ซูหานเองก็ไม่ได้ยิงเขาทันทีเหมือนกัน
ความจริงแล้วเธอรับรู้ได้ชัดเจนกว่าเย่เลี่ยนหลายเท่า เธอบางนิ้วไว้บนไกปืน หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาบางๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อาจกดไกปืนได้
ถึงเด็กหนุ่มจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เหมือนหากเธอเคลื่อนไหวแค่เพียงน้อยนิด วินาทีถัดไปจะต้องเกิดเรื่องที่น่ากลัวขึ้นอย่างแน่นอน
ความรู้สึกนี้เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับอสูรกายที่กำลังตั้งท่าโจมตี และมองหาช่องโหว่ของเหยื่ออย่างใจเย็น
ขณะที่สองสาวซอมบี้กำลังซุบซิบกันเสียงเบา มู่เฉินและสวี่ซูหานก็มองตากันแวบหนึ่ง ทว่าสีหน้าของพวกเขาทั้งสองคนกลับดูไม่ค่อยดีนัก
เมืองตงหมิง ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งและเป็นสนามทดลองของนิพพานสาขาย่อย จะยังมีผู้รอดชีวิตอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มนิพพานอยู่อีกเสียที่ไหน? ถึงแม้จะมี ก็ไม่มีทางที่จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ในเวลานี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นแม้ว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มจะไม่เป็นที่คุ้นเคย แต่พวกเขากลับรู้ได้ทันที ว่าเขาเป็นคนของนิพพาน
และตอนนี้เด็กหนุ่มก็กำลังจ้องพวกเขาอย่างสนอกสนใจ สายตาของเขากวาดมองผ่านใบหน้าของพวกเขาทุกคน แล้วจู่ๆ ก็หยุดจ้องอยู่ที่มู่เฉิน
“ดูท่าทางของคุณแล้ว รู้จักผม?” เด็กหนุ่มถาม
แต่มู่เฉินกำลังจะอ้าปากพูด เด็กหนุ่มก็ปรบมือเสียงดัง “เข้าใจแล้วๆ คุณไม่ได้รู้จักผม แต่คุณรู้ว่าผมเป็นใคร ใช่ไหมล่ะ? งั้นก็ขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ผมชื่อเฉินเล่อ แล้ว…” เขาสอดส่ายสายตามองไปอีกครั้ง “ใครคือมู่เฉินกันล่ะ?”
มู่เฉินหันไปมองหน้าหลิงม่อแวบหนึ่ง พอเห็นเขาไม่ได้ห้าม จึงพยักหน้าบอกว่า “ฉันเอง ฉันคือมู่เฉิน” จากนั้นก็ชี้ไปที่สวี่ซูหาน “คนนี้คือเพื่อนร่วมทีมของฉัน”
พอเห็นเด็กหนุ่มมองมาทางตัวเอง สวี่ซูหานก็กัดริมฝีปาก แล้วค่อยๆ ลดปืนลง
“จริงๆ ด้วยแฮะ ถ้าอย่างนั้น เขาคนนี้คือคนที่พวกคุณออกมาตามหา?” เด็กหนุ่มเบนสายตาไปทางหลิงม่อ เขาถือว่าเป็นคนหัวไวไม่เบา ในเมื่อมู่เฉินไม่ได้แนะนำใครต่อ ก็แสดงว่าคนที่เหลือไม่ใช่คนของนิพพาน และถ้าหากไม่ใช่คนของนิพพาน ก็เป็นไปได้มากว่า ต้องเป็นเป้าหมายในการทำภารกิจในครั้งนี้ของมู่เฉิน
มู่เฉินหันไปมองหน้าหลิงม่ออีกครั้ง จากนั้นก็ตอบ “ใช่ เขาคือหลิงม่อ พวกเราได้ทำข้อตกลงในการทำงานร่วมกันแล้ว…”
เขาพูดไวมาก ดูออกว่าค่อนข้างกังวล ถึงแม้จะถูกซย่าจื้อหักหลัง แต่ไม่แน่ว่าการได้เจอคนของนิพพานล่วงหน้าอย่างนี้อาจเป็นเรื่องดี นี่ถือเป็นโอกาส เขาอาจฉวยโอกาสนี้เพื่อพลิกสถานการณ์ขึ้นนำซย่าจื้อได้
ถ้าหากตอนที่เฉินเล่อเจอพวกเขา พวกหลิงม่ออยู่ในสภาพบาดเจ็บหรือล้มตาย หรืออยู่ในสถานการณ์ที่แย่สุดขีด ก็คงไม่มีปัญหาอะไรให้คิดอีก ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูอย่างไรหลิงม่อก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นจากสไตล์การทำงานของนิพพาน อย่างไรก็น่าจะคิดที่จะเจรจากับหลิงม่อต่อ…
แม้ว่าซย่าจื้อจะวางแผนได้อย่างละเอียดรอบคอบแค่ไหน แต่กลับต้องสะดุดตอตั้งแต่แรก สวี่ซูหานไม่ได้ลงมือทำร้ายเย่เลี่ยนอย่างที่เขาคาดไว้ หลิงม่อเองก็รู้ตัวและมีการเตรียมตัวตั้งนานแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น
“หึหึ” ในตอนที่มู่เฉินกำลังอธิบาย จู่ๆ เฉินเล่อกลับหัวเราะออกมา
มู่เฉินมองเขาอย่างแปลกใจ แต่เฉินเล่อกลับทำท่าทางไม่ยี่หระ และเขย่งเท้าโยกตัวไปมาอยู่กับที่ “อืมม…ผมไม่สนใจสิ่งที่คุณพูดหรอก ตอนที่ผมออกมาผมได้รับคำสั่งแค่คำสั่งเดียวเท่านั้น”
พอได้ยินมาถึงตรงนี้ หัวใจของมู่เฉินก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ดังนั้นผมมีทางเลือกให้สองทาง A คือพวกคุณเชื่อฟังผม หลังจากกลับไปก็จะมีโอกาสเลื่อนขั้นหนึ่งขั้น B พวกคุณเชื่อฟังเขา จากนั้นผมก็…” เขาหัวเราะพร้อมกางฝ่ามือออก แล้วบอกว่า “ฆ่าพวกคุณให้หมด”
“เคร้ง!”
เขาเพิ่งจะพูดจบประโยค เย่เลี่ยนก็ลั่นไกออกไปด้วยความเร็วดั่งฟ้าแลบ ปลายกระบอกปืนเทพเจ้าสายฟ้าสว่างวูบ ขณะเดียวกันเสียงวัตถุกระทบกันแหลมๆ ก็ดังมาจากทางเสาไฟข้างถนนต้นหนึ่ง
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” เฉินเล่อไปปรากฏตัวอยู่อีกจุดหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาเพิ่งจะอ้าปากพูด ปากปืนของเย่เลี่ยนก็หันตามไปทันที
พลาดเป้าเหมือนเดิม ทว่าคราวนี้หลิงม่อกลับมองเห็นอย่างชัดเจน
“เป็นเงามายา ไม่ใช่ตัวจริง” หลิงม่อดึงแขนเย่เลี่ยน แล้วบอกเธอ
พลังพิเศษนี้เหมือนพลังพิเศษของผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่หลิงม่อเคยเจอ ทว่าฝีมือกลับห่างชั้นกันราวฟ้ากับเหว
ภาพมายาในครั้งนั้นหลิงม่อสามารถมองเห็นได้ด้วยการสำรวจทางจิต แต่ครั้งนี้เขากลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นก็บอกได้เพียงว่านี่ไม่ใช่แค่ร่างมายา และเจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ธรรมดาด้วย
ตามคาด เงาร่างอีกเงาร่างหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในอีกตำแหน่งหนึ่ง รายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างไปจากเดิม แต่เมื่อใช้พลังสำรวจทางจิต หลิงม่อก็มองเห็นดวงแสงแห่งจิตของเขา…
หลิงม่อสำรวจดูอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบอะไร
ที่เด็กหนุ่มพูดจาอวดดีขนาดนี้ เพราะเขามีของดีอยู่จริงๆ
“พวกพี่สาวพี่ชาย อย่าใจร้ายกันอย่างนี้สิ” เฉินเล่อยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “แต่ทำไมหยุดโจมตีแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าคราวนี้อาจเป็นร่างจริงก็ได้นะ”
“เคร้ง!”
เงาร่างนั้นหายตัวไปอีกครั้ง ทว่าเย่เลี่ยนไม่ได้ลั่นไก แต่บนพื้น กลับมีรูเล็กๆ หนึ่งรูเพิ่มขึ้น
ครั้งนี้คนที่ลงมือคือหลิงม่อ เขาตั้งใจแปลงสภาพหนวดสัมผัสให้กลายเป็นสสาร และเลือกร่างกายของเฉินเล่อเป็นเป้าในการโจมตี
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงม่อแปลกใจคือเขาทั้งไม่ได้สัมผัสโดนร่างจริง และไม่ได้สัมผัสโดนพลังงานทางจิตด้วย
“พี่หลิงท่านนี้ช่างใจจืดใจดำแท้…” เฉินเล่อที่ปรากฏตัวอีกครั้งส่ายหน้าอย่างเสแสร้ง เขาหันไปพูดกับมู่เฉินและสวี่ซูหานอีกครั้ง “พวกคุณคิดจะยืนมองผมถูกโจมตีเฉยๆ อย่างนั้นหรอ?”
พอได้ยินอย่างนั้นหลิงม่อก็หันไปมองพวกเขา ทว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไร
สวี่ซูหานและมู่เฉินต่างไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร ชัดเจนว่า พวกเขาเองก็กำลังสู้กับความคิดของตัวเองอยู่
“หรือว่า พวกคุณคิดจะทำตัวเป็นชาวประมง?” (คนที่เก็บเกี่ยวและฉวยประโยชน์) เฉินเล่อหัวเราะแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คำพูดนั้นกลับทำให้สวี่ซูหานและมู่เฉินเย็นสะท้านไปทั้งตัวราวกับยืนอยู่ในโรงน้ำแข็ง
เป็นชาวประมง? อย่าว่าแต่เรื่องที่เฉินเล่อดูไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้คนอื่นหยิบฉวยประโยชน์จากตัวเองเลย อาศัยแค่นิสัยของหลิงม่อ พวกเขาไม่มีทางได้ทำอย่างนั้นแน่นอน
ส่วนเรื่องลงมือ…ความสามารถของหลิงม่อได้สยบพวกเขาอย่างอยู่หมัดแล้ว แต่เฉินเล่อคนนี้ก็ดูไม่ใช่คนฝีมือธรรมดา อีกอย่างถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของนิพพาน…
ไม่ว่าจะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับใคร ทันทีที่ตัดสินใจ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสหันหลังกลับอีกต่อไป
ควรเลือกฝ่ายไหนดี?
“ฉัน…” จู่ๆ สวี่ซูหานก็ถอยหลังไปสองก้าว
“เธอทำอะไรน่ะ?” มู่เฉินถามอย่างตกใจสุดๆ
เธอมองมู่เฉิน แล้วหันไปมองหลิงม่ออย่างลึกซึ้ง “ฉันอยากเลือกที่จะ…ไป”
เสี้ยววินาทีนี้ สายตาของเธอทำให้หลิงม่อรู้สึกเหมือนมีความนัยแฝงอยู่ แต่กลับไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี
ตอนนี้ท่าทางของผู้หญิงคนนี้ดูเหนื่อยล้ามาก บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ อาจเป็นเรื่องที่เธอไม่มีวันอยากอัดเสียงไว้ไปตลอดกาล
“นี่เธอ…” มู่เฉินมีอาการลิ้นพันกันจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ที่สวี่ซูหานพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะออกจากกลุ่มนิพพานเท่านั้น แต่หมายความว่าเธอต้องการออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง
และความยากลำบากในการทำอย่างนั้น เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยด้วยซ้ำ
ทางเลือกนี้ก็ทำให้หลิงม่อผิดคาดไม่น้อย ผู้หญิงคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เอาแต่ตัวสั่นอยู่ในห้างฯ ใต้ดินไหม?
ต้องบอกก่อนว่าทุกวันนี้เธอมีพร้อมทุกอย่างในนิพพานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พักชั่วคราวซึ่งปลอดภัยไร้อันตราย อาหารที่สะอาด หรือเงื่อนไขชีวิตที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้รอดชีวิตคนอื่นไม่มี และสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไขว่คว้ามาโดยแลกกับการเสี่ยงอันตรายทำภารกิจ
เธอยอมปล่อยไปง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอ?
“เธอ…” มู่เฉินแทบจะขมวดคิ้วเป็นปม แล้วนี่จะให้เขาเลือกยังไงเล่า!
สาเหตุที่สวี่ซูหานทำอย่างนี้ มู่เฉินคิดออกเพียงอย่างเดียว คือเธอไม่อยากสู้กับหลิงม่อ
“แต่ฉันไม่ชอบไอ้หลิงม่อนี่โว้ย!” มู่เฉินคลั่ง เขาไม่อยากปล่อยให้ตำแหน่งของตัวเองหลุดลอยไปอยู่ในมือซย่าจื้อ และไม่อยากทำให้ชีวิตตกต่ำด้วยสาเหตุนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกฆ่าเสียตั้งแต่วันนี้…
ทว่าพอคิดอีกที ที่สวี่ซูหานเลือกทางนี้ ถือว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
เธอเลือกที่จะไป แต่ไม่ได้เลือกอยู่ฝ่ายหลิงม่อ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้บีบให้มู่เฉินต้องเลือก
ถึงแม้เขาเลือกที่จะอยู่ฝ่ายนิพพาน เขาก็จะไม่ต้องสู้กับเพื่อนร่วมทีมอย่างเธอ…
—————————————————————————–