บทที่ 651 ใครว่าฉันปากเปราะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สองคนนั้นดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที จู่ๆ ทูจื่อก็หัวเราะชั่วร้าย เขาหันหน้าไปแล้วตะโกนเรียก “เสี่ยวหลี่ มานี่”
เงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างจากประตูไม่มากขยับเขยื้อน จากนั้นก็ขานรับอย่างลังเล “พี่ทูจื่อ มีเรื่องอะไรหรือ?”
“บอกให้มาก็รีบมาสิวะ พูดมาก!” ผู้มีความสามารถพิเศษที่กระชากผมซอมบี้หญิงความอดทนต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวหลี่ดูเหมือนจะเกรงกลัวสองคนนี้ไม่น้อย ถึงแม้สีหน้าแสดงออกว่าไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังรีบเดินเข้าไปหา
ทว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้ซอมบี้หญิง ท่าทางเขาก็ยิ่งดูตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“หมอนี่เหมือนจะเป็นคนของสาขาย่อย…” มู่เฉินบอก
แต่หลิงม่อกลับไม่พูดอะไร สีหน้าของเขาตอนนี้บึ้งตึงถึงขีดสุด
“อยากเล่นกับซอมบี้ไหม?” ทูจื่อถาม
“พี่…พี่ทูจื่อ มันอันตรายมากนะ” เสี่ยวหลี่พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“นี่เรียกอันตราย? ถ้าอย่างนั้นสำนักงานใหญ่…” น้ำเสียงของทูจื่อเปลี่ยนเป็นดูถูกอย่างรวดเร็ว
“อะแฮ่มๆ…” ผู้มีความสามารถพิเศษที่กระชากผมซอมบี้หญิงกระแอมขัดจังหวะทูจื่อ แล้วหันไปพูดกับเสี่ยวหลี่ “แกคิดว่านี่อันตรายแล้วหรอ? มานี่ แกถือนี่ไว้”
พูดไปเขาก็ยื่นเหล็กเส้นไปให้เสี่ยวหลี่ “จ่อไปที่ปากของสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วแทงเข้าไปสุดแรง แทงทะลุกระเพาะของมันเลยยิ่งดี ดูซิว่ามันจะฟินไหม ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสี่ยวหลี่รับเหล็กเส้นไป พอได้ยินประโยคนี้ ก็เกือบจะโยนของในมือออกไป “ห๊ะ…นั่นมัน…”
“จะแทงไม่แทง? นี่มันสัตว์ประหลาด ไม่ใช่คนซักหน่อย” ผู้มีความสามารถพิเศษคนเดิมเร่งอย่างไม่สบอารมณ์
“ผู้หญิงถูกแกเล่นงานจนตายไม่น้อยเลยนะ” ชายหัวโล้นทูจื่อหัวเราะอยู่อีกด้าน
“บ้านเอ็งสิ แกก็ไม่ใช่ย่อย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นด่าสวน
เสี่ยวหลี่กระชับเหล็กเส้นแน่น เขาหันหน้ามองไปทางซอมบี้หญิงตัวนั้นช้าๆ
ใต้เส้นผมยุ่งเหยิง ใบหน้าที่ยังถือว่างามละเอียดนั่นดูแวบแรกไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เลย
ทว่าดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นกลับดูน่ากลัวมาก และที่มันดิ้นขัดขืนอย่างต่อเนื่องก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงอันตราย เหมือนสัตว์ดุร้ายที่ถูกโซ่ตรวนมัดไว้ ถึงรู้ว่าเป็นไปได้ยาก แต่ผู้คนก็ยังคงรู้สึกเหมือนว่ามันอาจสลัดโซ่ตรวนนั้นจนขาด แล้วกระโจนเข้ามาฉีกคอหอยพวกเขาได้ตลอดเวลา
เหงื่อเย็นเม็ดหนึ่งไหลย้อยลงมาจาศีรษะเสี่ยวหลี่ ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็นคน จะให้ลงมือฆ่าด้วยวิธีนี้คงเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขาที่ก่อนเกิดภัยพิบัติเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนธรรมดาเท่านั้น…
“ไอ้ชั่วสองคนนั่น!” มู่เฉินด่าเสียงต่ำ
หลังด่าจบ เขากลับพบว่าหลิงม่อยังคงนิ่งเฉย จึงอดหันไปมองไม่ได้
แต่พอหันไป มู่เฉินก็อึ้งไป
คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมแน่นของหลิงม่อคลายออกแล้ว แต่ดวงตาเปล่งกระกายของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นหรือฆ่าซอมบี้ เขากำลังโกรธเรื่องไหนกันแน่นะ?” มู่เฉินอดคิดไม่ได้
หลังจากครุ่นคิด มู่เฉินก็ส่ายหน้าเบาๆ “ช่างเถอะ ใครจะไปรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”
บนถนนเส้นนั้น เสี่ยวหลี่ยังคงยืนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นพูดจาถากถางดูถูกอย่างต่อเนื่อง “ไอ้ขี้ขลาด กลัวอะไรวะ? นี่มันซอมบี้นะโว้ย!”
“แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะ อย่างนี้ยังมีหน้าอยากเข้าสำนักงานใหญ่อีก ฉันว่าสาขาย่อยก็ไม่น่าจะเหมาะกับแกแล้วล่ะ” ทูจื่อหัวเราะแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ฉัน…ย๊ากกก!”
ในที่สุดเสี่ยวหลี่ก็ทนคำดูถูกไม่ไหว เขาคำรามเสียงดัง แล้วยกเหล็กเส้นขึ้น แต่กลับเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย “ฉัน…ฆ่ามันให้ตายเลยไม่ดีกว่าหรอ?”
“ดูแกทำหน้าเข้าสิ…” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นทำหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ซอมบี้หญิงที่ถูกกระชากผมกลับสะบัดหัวอย่างแรงทันที
เห็นชัดว่าเขาไม่คาดว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ มือเขาหลุดออกอย่างง่ายดายทันที
เขาไม่ทันตั้งตัว ทูจื่อเองก็ร้อง “โอ๊ะ” ออกมาหนึ่งเสียง เท้าข้างที่เหยียบแขนซอมบี้หญิงก้าวถอยไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้
เพียงแค่ก้าวเดียว แต่นั่นกลับทำให้มือข้างหนึ่งของซอมบี้หญิงได้รับอิสระ…
เวลาเพียงชั่วพริบตา ทุกคนรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าเกิดขึ้นเร็วมาก วินาทีถัดมาซอมบี้หญิงตัวนั้นก็ยืนอยู่ต่อหน้าผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้น พร้อมยกมือบีบคอเขาแน่นแล้ว
“กร๊อบบ”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นเบิกตากว้าง แล้วศีรษะของเขาก็ตกลงมาอยู่บนไหล่อย่างน่าสยดสยอง
“พลั่ก!”
เสี้ยววินาทีที่เขาล้มลงกับพื้น ซอมบี้หญิงพลันโฉบร่างอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าไปอยู่ตรงหน้าทูจื่อทันที
“ไม่…” ทูจื่อยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง จะมีเวลามาเตรียมรับมือได้อย่างไร เขารู้สึกได้เพียงสัมผัสเย็นๆ ที่ลำคอ แล้วกระแสเลือดอุ่นๆ ก็ทะลักออกมา
สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น คือเลือดของตัวเองที่กระฉูดออกจากเส้นเลือดตรงลำคอ กระเซ็นใส่หน้าซอมบี้หญิงตัวนั้น และใบหน้าที่ถูกเหล็กเส้นแทงจนเป็นแผลนั่น กลับยังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังเดิม
“ว๊ากกกก!”
เสี่ยวหลี่ตกใจจนทิ้งเหล็กเส้นในมือออกไป เขารีบถอยกรูดไปข้างหลัง แต่เพิ่งจะถอยได้สองก้าวก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไป
เห็นซอมบี้หญิงหันหน้ามามอง เสี่ยวหลี่รีบตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ”ชะ…ช่วยด้วยย!”
ขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้างแล้ว พวกเขารีบวิ่งกรูกันเข้ามา
ซอมบี้หญิงจ้องเสี่ยวหลี่แวบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นมันกลับหันหน้ากลับไป แล้ววิ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของถนนแทน
เห็นทุกคนวิ่งกรูผ่านหน้าตัวเองไป แต่เสี่ยวหลี่ยังคงนั่งหอบหายใจแรงอยู่บนพื้น สีหน้าเหมือนคนหวาดกลัวสุดขีด
เหมือนเขาจะยังตั้งตัวไม่ติดกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ เอาแต่มองศพสองศพที่นอนอยู่บนพื้น แล้วตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
“นั่น…”
มู่เฉินตื่นตะลึง เขารีบหันหน้าไปมองหลิงม่อ แต่กลับได้ยินหลิงม่อบอกว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
“แต่ว่านั่น…” มู่เฉินเบิกตากว้าง เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่หลิงม่อกลับเริ่มเคลื่อนไหวก่อนแล้ว
เขาแนบตัวชิดกำแพง แล้วเดินนำหน้าไปยังประตูก่อน
มู่เฉินอ้าปากค้าง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินตามไปแต่โดยดี
ที่ประตูหลังอาจมีคนไม่น้อยไปกว่าที่นี่ ฉวยโอกาสตอนชุลมุนวุ่นวายนี้ หนีไปจากที่นี่ดีที่สุด
ทว่าระหว่างที่กำลังเดินไปทางประตูใหญ่ หลิงม่อกลับสับสนในตัวเองเล็กน้อย
สติปัญญาบอกเขาว่า เขาทำเรื่องนี้เพียงเพราะสร้างโอกาสในการหลบหนีเท่านั้น แต่ส่วนลึกในจิตใจ…
ตอนนี้ไม่มีใครเฝ้าประตูแล้ว ซอมบี้หญิงที่ใกล้จะถูกฆ่าเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา และฆ่าคนไปสองคนติดๆ กัน พลังและความเร็วที่ระเบิดออกมาแกร่งกว่าเมื่อกี้หลายเท่า
สถานการณ์ไม่คาดฝันอย่างนี้ ทำให้เหล่าคนที่มองดูอย่างคึกคักต่างช็อกไปตามๆ กัน ถ้าหากยืนมองมันวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น เดาว่าพวกเขาก็คงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับผลที่จะตามมาด้วย
ทว่าในขณะที่พวกเขาวิ่งตามไป กลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชั่วขณะหนึ่งในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีศีรษะปุกปุยสีขาวปรากฏและหายไปอย่างรวดเร็ว
“ฟู่! ฟู่!”
อวี๋ซือหรานกำลังนอนอยู่บนศีรษะของเสี่ยวป๋าย และเป่าก้อนเหนียวหนืดก้อนหนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมหยุด
เมื่อเห็นว่าสุดถนนมีซอมบี้โผล่ออกมาหลายตัว เธอก็รีบใช้มือตบๆ เสี่ยวป๋าย แล้วบอกว่า “โอเคแล้ว ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย”
เสี่ยวป๋ายเพิ่งจะหมุนกาย ก็ติดแหง็กอยู่กับช่องกำแพง มันพยายามเบียดเสียดอยู่สองสามที แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมอย่างเงียบๆ แล้วเดินถอยหลังออกจากตรอกเล็กๆ เส้นนั้นแทน
ในระหว่างนี้ อวี๋ซือหรานก็บ่นประปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ “จู่ๆ ก็เรียกฉันมาทำเรื่องอย่างนี้ ทั้งที่มีซอมบี้อยู่ตรงนี้ตัวหนึ่งแล้วแท้ๆ”
การปรากฏตัวกะทันหันของฝูงซอมบี้ ทำให้เหล่าสมาชิกนิพพานที่กำลังวิ่งไล่ซอมบี้หญิงอึ้งไปตามๆ กัน
พอหันกลับไปมองข้างหลัง พวกเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า ตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของฝูงซอมบี้โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!” หนึ่งในนั้นกระชับอาวุธแน่น แล้วขบกรามคำรามลั่น
ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาจะยังมีความคิดหันไปจ้องประตูใหญ่อีกที่ไหน และแน่นอนว่าพวกเขามองไม่เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งออกมาทางประตูใหญ่ด้วยเช่นกัน
ทว่าในขณะที่หลิงม่อกำลังก้าวเท้าข้ามประตู เสียงเรียกเบาๆ ของซย่าน่ากลับดังมาจากข้างหลัง “พี่หลิง”
“หื้ม?” หลิงม่อหยุดก้าว แล้วหันกลับมามองเธอ
ซย่าน่าขบริมฝีปาก แล้วบอกว่า “ภาพเหตุการณ์เมื่อกี้ พวกเราเห็นแล้วไม่สบายใจจริงๆ”
หลิงม่อขยับปาก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอเบาๆ เท่านั้น
“อย่าลูบหัวสิ ฉันจะไม่โตเอานะ” ซย่าน่าขัดขืน
“เธอไปเอาความเข้าใจผิดๆ นี้มาจากไหนกันนะ…” หลิงม่อพูดไม่ออก
ซย่าน่าหัวเราะคิกคัก “เอาเป็นว่า ไม่ต้องคำนึงถึงหมู่คณะมากนัก พี่ตัดสินใจตามที่ตัวเองเห็นสมควรก็พอ ไม่ต้องรู้สึกกดดันหรอกนะ”
หลิงม่ออึ้งไปชั่วขณะ กว่าเขาจะได้สติ ซย่าน่าก็ดึงสวี่ซูหานเข้าไปเดินกับเหล่าซอมบี้สาวเสียแล้ว
พวกเธอเดินตามอยู่ข้างหลัง หลิงม่อกวาดมองหนึ่งรอบ แต่กลับสบตาเข้ากับเย่เลี่ยนพอดี
เด็กโง่ของเขาทำหน้ามึนๆ จากนั้นมุมปากก็ขยับยกขึ้น ดวงตากลมโตหยีเล็กลงอย่างน่ามอง
หลิงม่อเองก็อดยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้ ในใจก็คิดไปว่า “ก็จริงนะ…แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้คำว่าหมู่คณะ สมกับเป็นซย่าน่าที่ยังอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตจริงๆ เลยนะ…
หลังออกจากตึก ทุกคนก็แนบตัวชิดกำแพง อาศัยกระถางดอกไม้เป็นสิ่งบังตา โน้มตัวลงต่ำแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปยังอีกทางหนึ่ง
ขอเพียงระหว่างทางไม่เจอสมาชิกนิพพานคนอื่นๆ และไปจากถนนเส้นนี้ได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็จะถือว่าหลุดจากการล้อมของนิพพานสาขาย่อยชั่วคราวแล้ว
ไม่นาน พวกเขาก็วิ่งไปจนถึงมุมเลี้ยวหนึ่งของถนน
ทว่า ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขากำลังจะเลี้ยวเข้าไป หลิงม่อกลับชะงักเท้ากะทันหัน สายตาฉายแววแปลกไป “เดี๋ยวก่อน”
“ทำไม มีอะไรงั้นหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
ตอนนี้มันเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนะ จู่ๆ ก็หยุดวิ่งทำไมน่ะ…
หลิงม่อไม่พูดอะไร ทว่าผ่านไปไม่นาน เขาก็ยิ้มเย็นชาออกมา “คนพวกนี้ แต่ละคนใจคอโหดเหี้ยมกันจริงๆ”
มู่เฉินยังคงมึนตึ๊บ แต่หลิงม่อกลับค่อยๆ เดินออกไปก่อนแล้ว
“ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมีโอกาสรอดมาเจอกันจนได้ รู้ไหม ฉันตั้งใจจะจับนายเป็นตัวทดลองมานานแล้ว”
กลางถนนแคบๆ เงาร่างหนึ่งยืนด้วยท่าผ่อนคลายอยู่ตรงนั้น เขามองมาเหมือนการปรากฏตัวของหลิงม่อ “อยู่ในความคาดหมาย” อยู่แล้ว
“เป็นอะไรไป ทำไมไม่พูดล่ะ? ทำอย่างนี้เสียมารยาทนะ”
ชายคนนั้นคาบบุหรรี่ไว้ในปาก เขามองหลิงม่อขึ้นลงอย่างพิจารณา “อ้อ ใช่สิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันซ่งจินเซิน เป็นคนของนิพพาน”
“สำนักงานใหญ่?” หลิงม่อพูดขึ้นเชิงถาม
“แน่นอน” ชายคนนั้นหรี่ตา พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา
หลิงม่อเหลือบมองสองข้างทาง แล้วบอกว่า “ดูท่าทางมั่นอกมั่นใจอย่างนี้…เรียกคนของแกออกมาให้หมดเถอะ พ่าจินเซิน” (พ่าจินเซิน ชื่อทับศัพท์ภาษาจีนของโรคพาร์กินสัน)
ซ่งจินเซินมือกระตุก บุหรี่ในมือเกือบร่วงตกพื้น “อ้าปากพูดก็ท้าทายกันเลย?”
แถมยัง…จี้จุดได้แม่นซะด้วย!
“ที่แท้ก็ผู้มีพลังจิต” ซ่งจินเซินใช้ปากคาบบุหรี่อีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นปรบเบาๆ สองสามที
“มีปากก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์” หลิงม่อพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ซ่งจินเซินชะงักไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา “หรือว่านายใช้ปากของนาย ด่าอ้ายเฟิงกับหมายเลข 0 จนตายหรอ?”
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย XX แล้วก็ไม่ได้ทำงานในโรงแรมเก่าแก่…”
หลิงม่อพูดไปได้ครึ่งเดียว แต่เห็นสีหน้าของซ่งจินเซินเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด จึงพูดเพียงว่า “พวกนั้นตายยังไง เดี๋ยวแกก็ได้รู้เอง”
—————————————————————————–