บทที่ 668 ฝึกฝนเทคนิครวมร่างให้ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้ การล่าเหยื่อได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว หลิงม่อรวบรวมก้อนเหนียวหนืดไว้ด้วยกัน ปรากฏว่าได้เกินครึ่งถุงใหญ่เลยทีเดียว
เขาแกว่งถุงหนักๆ ไปมา แล้วจ้องหน้าสาวๆ ซอมบี้ที่ตอนนี้ดวงตากำลังแดงก่ำ บอกว่า “ถ้าอย่างนั้น…พวกเรามาแบ่งกันดีไหม?”
สาวๆ ซอมบี้พากันแลบลิ้นเลียปากแผล็บๆ พร้อมพยักหน้ารัว “ดี…”
การแบ่งก้อนเหนียวหนืดก็ต้องใช้ทักษะพิเศษเหมือนกัน หนึ่งคือระวังตัวทุกเวลา คอยป้องกันไม่ให้พวกเธอกพุ่งเข้ามากะทันหัน สองคือต้องแบ่งตามความเหมาะสมของซอมบี้แต่ละตัว โดยวัดจากพลังในปัจจุบันของพวกเธอ
ก่อนจะแบ่งกัน หลิงม่อมองอวี๋ซือหรานอย่างลังเลเล็กน้อย
ซอมบี้โลลิที่น้ำลายแทบจะไหลยืดจนถึงหน้าอกนิ่งงันไปก่อน จากนั้นก็ตะโกนลั่นเหมือนนึกออก “ไม่อนุญาตให้ยกเว้นส่วนของฉัน! ฉันเป็นร่างร่วมของเฮยซือนะ วิวัฒนาการของฉันก็เป็นวิวัฒนาการของเฮยซือ!”
“ชิ จู่ๆ ก็ฉลาดขึ้นมาซะงั้น…” ซย่าน่าแค่นเสียงพูด
อวี๋ซือหรานโมโหขึ้นมาทันที แต่เนื่องจากความภักดีของเฮยซือที่มีต่อซย่าน่า เธอในฐานะร่างร่วมจึงทำได้เพียงกระโดดโหยงเหยงอยู่กับที่ “ฉันได้ยินนะยะ!”
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกันได้แล้วนะ” หลิงม่อยื่นมือไปกดศีรษะอวี๋ซือหรานเบาๆ อย่างนึกปวดหัว “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันอย่างยุติธรรมแล้วกัน เฮ้อ…”
“เฮ้ออะไรยะ! มันก็เป็นเรื่องถูกต้องอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? เวลาแบบนี้แล้วยังจะมาสร้างกฏไม่ยุติธรรมกันอีก…” อวี๋ซือหรานยังคงบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจ
ถึงแม้เรื่องที่หลิงม่อกำลังคิดอยู่จะไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เสี้ยววินาทีที่แล้ว เขาคิดจะแบ่งให้อวี๋ซือหรานน้อยกว่าจริงๆ ตอนนี้เธอและเฮยซือเป็นร่างเดียวกัน หากคิดแบบนี้พลังต่อสู้ของเธอก็ไม่ได้เป็นสอง
แทนที่จะวิวัฒนาการต่อไป สู้ดึงความสามารถที่เกิดขึ้นหลังจากเธอและเฮยซือรวมเป็นร่างเดียวแล้วออกมาใช้ให้เต็มที่ไม่ดีกว่าหรือ
ทว่าตอนนี้พอลองคิดดูอีกที เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องแยกอวี่ซือหรานกับเฮยซือออกจากกลุ่ม
จากประสบการณ์ในปัจจุบันของหลิงม่อ ระหว่างที่จะชนชั้นสูงจะวิวัฒนาการไปถึงเจ้าเมือง เงื่อนไขสำคัญที่พวกเธอต้องการไม่ใช่การสะสมเชื้อไวรัสในร่างกาย แต่เป็นโอกาส…
ไม่ใช่ซอมบี้ชนชั้นสูงทุกตัวที่จะชิงก้าวข้ามสู่ระดับเจ้าเมืองจนสำเร็จ ก่อนที่จะกลายเป็นก้อนหินปูทางสู่ความสำเร็จของซอมบี้ตัวอื่นๆ
ทว่าซอมบี้ป่าเถื่อนมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติในเรื่องของวิวัฒนาการ แต่ก็มีข้อด้อยที่ชัดเจนเช่นกัน และสาเหตุหนึ่งเดียวที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ก็คือสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
หากไม่เร็วเท่าซอมบี้ตัวอื่น หรือมีความสามารถไม่เท่าซอมบี้ตัวอื่น ก็จะต้องถูกกำจัดทิ้ง
นี่คือสนามรบที่อาศัยสัญชาตญาณในการวิวัฒนาการเท่านั้น…
ดังนั้นหลิงม่อคิดว่า หากมีตัวเองอยู่ ซักวันพวกเย่เลี่ยนก็จะต้องก้าวข้ามอุปสรรคด่านนี้ไปได้อย่างแน่นอน
ยิ่งตอนนี้ พลังจิตของเขาก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว
เขาสามารถควบคุมซอมบี้เจ้าเมืองหนึ่งตัวได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว…
“ฝึกฝนเทคนิครวมร่างให้มากๆ หน่อย” หลิงม่อลูบหัวอวี๋ซือหราน แล้วพูดขึ้น
อวี๋ซือหรานเบิกตากว้างแล้วครุ่นคิด จากนั้นก็เหลือบไปมองหลี่ย่าหลิน สุดท้ายก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ถามอย่างสงสัยอีกครั้ง “แบบนั้นจะได้ผลจริงๆ หรอ? ไส้กรอก…”
“นี่เรียกฉันย่อๆ ว่าไส้กรอกแล้วหรอ…”
หลิงม่อใช้นิ้วมือกดคลึงขมับ แล้วพูดยืนยัน “แน่นอนสิ ทำไมจะไม่ได้ผล? ทันทีที่เธอฝึกฝนเทคนิครวมร่างสำเร็จ พลังของเธอจะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนนี้ไม่เพียงหนึ่งเท่า รอให้มีเวลาว่างแล้วฉันจะให้คำแนะนำเธอ”
“ให้คำ…แนะนำ?” อวี๋ซือหรานบิกตากว้าง
หลายวินาทีผ่านไป เธอก็รับคำอย่างเหม่อๆ “ใน…ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เอางั้น…ก็ได้”
เธอพูด พร้อมอดหันไปมองหลี่ย่าหลินกับซย่าน่าไม่ได้ สุดท้ายลูบๆ นิ้วมือตัวเอง “เทคนิครวมร่างหรอ…”
หลิงม่อหันกลับไปสนใจเรื่องการแบ่งก้อนเหนียวหนืดแล้ว พอคิดว่าอีกเดี๋ยวจะได้เห็นวิวัฒนาการของพวกเธอ เขาก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ทว่าความรู้สึกที่มากกว่ายังคงเป็นความกังวลใจ…ถ้าเกิดไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?
เขาหันไปจ้องไวรัสนางพญาสองก้อนนั้นของซอมบี้เจ้าเมืองซึ่งอยู่ในกระเป๋าครู่หนึ่ง ถ้าหากแม้แต่ของอย่างนี้ยังไม่อาจผลักดันให้พวกเธอก้าวข้ามด่านนั้นไปได้ ถ้าอย่างนั้นเขาคงต้องพุ่งเป้าไปที่ “ซอมบี้ความแกร่งสูงสุด” แทนแล้วจริงๆ
“ระดับอันตรายสูง…ไม่รู้ว่าแกร่งไปจนถึงระดับไหนแล้ว ถึงขั้นทำให้กองทัพอากาศให้ความสำคัญได้ขนาดนั้น…”
หลิงม่อใจลอยนึกไป แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมา จากนั้นก็ยื่นก้อนเหนียวหนืดจำนวนหนึ่งซึ่งถูกนับไว้แล้วให้เย่เลี่ยน “เอ้า”
หลังจากเย่เลี่ยนยื่นมือออกมารับไป เขาก็ล้วงไวรัสนางพญาออกมา หนวดสัมผัสกลายสภาพเป็นสสารเส้นเล็กๆ แล้วสับลงไปกลางฝ่ามือของเขา
ไวรัสนางพญาที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในฝ่ามือเขาเงียบๆ พลันถูกแบ่งออกเป็นสองก้อนภายในพริบตา
ขณะที่เอาหนึ่งในสองก้อนนั้นให้เย่เลี่ยน หลิงม่อจ้องดวงตาสีดำสนิทที่ลึกล้าดั่งบ่อน้ำของเธอ จากนั้นก็ลูบแก้มเธอเบาๆ นิ้วมือสัมผัสลูบไล้ไปตามลำคอยาวระหง แล้วสุดท้ายก็หยุดที่กระดูกไหปลาร้าของเธอ
“อย่าฝืนกำลังตัวเองมากไป” หลิงม่อบอก แล้วโน้มคอเธอเข้ามาทางตัวเอง ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากกลมมนของเธอ
เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง แล้วยิ้มออกมาอย่างซื่อๆ
หลี่ย่าหลินที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบยกมือ “ฉันเอาด้วย!”
“รู้แล้วๆ…” หลิงม่อทำหน้าหงิก แล้วรีบยื่นมือไปหาเธอ
คิดไม่ถึง รุ่นพี่ทำหน้าตกใจแล้วบอกว่า “ฉันจะเอาก้อนเหนียวหนืดต่างหาก!”
“…”
ปกติก้อนเหนียวหนืดที่กลืนกิน มีประโยชน์แค่ในเรื่องเติมพลังงานทางกายภาพที่ถูกเผาผลาญไปเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลังจากกลืนกินภายในครั้งเดียว เชื้อไวรัสปริมาณมากจะสร้างแรงกระตุ้นที่รุนแรงแก่ร่างกาย
สำหรับซอมบี้ชนชั้นสูงเหล่านี้ การกระตุ้นที่เชื้อไวรัสส่งผลต่อไวรัสนางพญษในสมองจะรุนแรงกว่าระดับหนึ่ง
ในระหว่างหลอมรวมและต่อสูกัน ไวรัสนางพญาที่อยู่ในสมองจะได้รับวิวัฒนาการเพราะเหตุนี้
แต่จะสามารถก้าวข้ามก้าวสำคัญนี้ไปได้ไหม กลับต้องดูที่ความเป็นไปได้
ไม่นาน เหล่าซอมบี้สาวก็พากันพิงตัวกับผนังด้วยสีหน้าทรมาน
และหลิงม่อถึงแม้ไม่ได้กลืนกินก้อนเหนียวหนืด แต่สีหน้าของเขากลับดูทุกข์ทรมานที่สุด
ให้พวกเธอเริ่มวิวัฒนาการพร้อมกันทั้งหมด แรงกดดันทั้งทางร่างกายและดวงจิตที่เขาจะต้องแบกรับ ก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าในพริบตา
บวกกับเมื่อกี้หลังจากที่เสี่ยวป๋ายวิวัฒนาการ พลังจิตที่เขาเผาผลาญไปยังไม่ฟื้นคืนมาทั้งหมด ตอนนี้เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะลำบากหน่อย
หลิงม่อเหงื่อท่วมศีรษะ เขานั่งลงหน้าประตูร้านขายของที่หาได้ชั่วคราว แล้วกำหมัดแน่น
เหงื่อบนฝ่ามือเริ่มทำให้ฝ่ามือเขาเหนียวเหนอะหนะ ความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องตรงขมับ รวมถึงความรู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายกำลังสูบฉีดเร็วกว่าเดิม ทำให้หลิงม่อหน้ามืดตาลาย
เวลาอย่างนี้หากหมดสติไป กว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าสิ่งที่ต้องเผชิญ คือเรื่องจริงที่ว่าหุ่นซอมบี้ทั้งหมดได้สลัดสายสัมพันธ์ทางจิตออกหมดแล้ว
ดังนั้นหลิงม่อยังคงกัดฟันอดทนต่อไป พร้อมกับพยายามเบิกดวงตาอันหนักหน่วงให้กว้างอยู่ตลอดเวลา
เสี่ยวป๋ายที่วิวัฒนาการเสร็จแล้วนอนหมอบอย่างสงบเสงี่ยมอยู่อีกทางหนึ่ง บางครั้งบางคราวมันก็ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นอยู่กับที่ แล้วเล่นเกม “ฉันหายไปแล้ว” อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เหมือนมันจะรู้ตัวว่าตัวเองสามารถหนีจาก “สายตา” ของหลิงม่อพ้น ดังนั้นมันจึงวิ่งไปซ่อนอยู่ในซอกตึกหลายครั้ง
แต่ปรากฏว่าหลิงม่อยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งเก่าๆ ตัวนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะไปตามหามันซักนิด
“แบ๊~~”
เสี่ยวป๋ายกลับมานอนหมอบอยู่ที่เดิมอีกครั้ง หลังเปล่งเสียงร้องหนึ่งเสียง มันก็ยกเปลือกตาอย่างเกียจคร้าน แล้วมองหลิงม่อเป็นระยะๆ
“คงไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ?”
หลิงม่ออดหันไปมองในร้านไม่ได้ จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที
พลังจิตถูกกระตุ้น และเห็นได้ชัดว่ากำลังอัพเกรดอย่างช้าๆ เช่นกัน ศักยภาพร่างกายเองก็เหมือนกำลังพัฒนาขึ้นด้วยเหตุนี้เหมือนกัน
ปฏิกิริยาเหล่านี้ของเขา บ่งบอกว่าตอนนี้เหล่าซอมบี้สาวในร้านกำลังอยู่ระหว่างวิวัฒนาการ แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตอนนี้เขายังไม่อาจยืนยันได้
ในมุมมองของหลิงม่อ คนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวข้ามสำเร็จ คงจะเป็นหลี่ย่าหลินและซย่าน่าที่อยู่ในระดับบนสุดของชนชั้นสูงแล้ว
และหลังจากผ่านการสั่งสมมาในระยะเวลาหนึ่ง พื้นฐานของพวกเธอก็แน่นมากแล้ว
เปรียบเทียบกันแล้ว เย่เลี่ยนที่วิวัฒนาการถึงชนชั้นสูงเป็นคนสุดท้าย ดูล้าหลังกว่าอย่างเห็นได้ชัด
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หลิงม่อบอกเธอว่าไม่ต้องฝืนตัวเองมาก หลิงม่อคิดว่า เธอแค่ต้องอัพเกรดให้เต็มที่เท่านั้นก็พอ
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นซอมบี้รูปแบบดั้งเดิม ถึงแม้ระดับวิวัฒนาการจะต่ำไปเล็กน้อย แต่เรื่องพลังก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
“กรร!”
เสียง “โครม” ดังมาจากประตูบานหนึ่งในร้าน หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” เขารีบยกมือจับขอบประตูแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น
เสียงดังโครมครามดังมาจากบานประตูห้องอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเธอได้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งแล้ว
ในการวิวัฒนาการเป็นหมู่อย่างนี้ หลิงม่อไม่มีทางปลอบประโลมทีละคนได้
อีกอย่าง การกระตุ้นซึ่งกันและกันอย่างนี้ ก็จะทำให้เชื้อไวรัสในร่างกายพวกเธอทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และนั่นก็จะทำให้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จในการก้ามข้ามเพิ่มมากขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลิงม่อคิดมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็ได้โอกาสทดลองพอดี
ทว่าตอนที่ทำจริงๆ ขั้นตอนเหล่านี้สำหรับหลิงม่อ ช่างทรมานเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดเลย…
หลิงม่อกำหมัดแน่น จ้องบานประตูเหล่านั้นด้วยสีหน้าซีดเซียว สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรน
—————————————————————————–