บทที่ 673 มุ่งโจมตีฝ่าเท้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่เขาพูด ก็เพื่อจะทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิเท่านั้น
สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง กลับเป็นไพ่ลับที่หลิงม่อเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว
ในขณะที่สัตว์ประหลาดตาม่วงเค้นสมองเพื่อคิดหาประโยคโต้กลับ ทันใดนั้น กลับมีหนวดสัมผัสหลายสิบเส้นพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน
พลังงานทางจิตเหล่านี้ “พุ่งทะลุ” ปูนซีเมนต์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย และห่อหุ้มพื้นที่รัศมีสิบเมตรรอบตัวซอมบี้ตาม่วงอย่างเงียบเชียบ
เวลานี้ ซอมบี้ตาม่วงยังคงโฉบเฉี่ยวไปมาอยู่อย่างนั้น แทบจะในขณะเดียวกับที่หนวดสัมผัสโผล่ออกมา หางตาของหลิงม่อกระตุอย่างควบคุมไม่ได้
โดนแล้ว!
และในแทบจะทันที ที่คำสั่งของหลิงม่อถูกส่งผ่านกระแสจิตไป
หนวดสัมผัสทางจิตที่โดนตัวซอมบี้ตาม่วงพลันกลายสภาพเป็นสสารทันใด มันเลื้อยพันแข้งข้างหนึ่งของซอมบี้ตาม่วงเหมือนเถาวัลย์ และเกาะติดแน่นไม่ปล่อย
ซอมบี้ตาม่วงถูกจู่โจมกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว มันจึงรีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ถูกพันแข้ง ซอมบี้ตัวนี้ก็พยายามดิ้นขลุกขลักสุดแรง
พละกำลังมหาศาลถูกส่งมาจากอีกด้านหนวดสัมผัส ทว่าหลิงม่อได้เตรียมการรับมือไว้ก่อนแล้ว
ขณะเดียวกับที่อดกลั้นต่อความปวดหัว หลิงม่อรีบเพิ่มระดับการถ่ายเทพลังงานทางจิตอย่างรวดเร็ว
แต่พละกำลังของซอมบี้ตัวนี้ ก็ยังคงเหนือกว่าที่หลิงม่อจินตนาการไว้มาก
ระดับความเร็วที่เขาเขาถ่ายเทพลังงานทางจิตออกไป กลับเร็วสู้พลังทำลายล้างที่เกิดจากการดิ้นขัดขืนของซอมบี้ตัวนี้ได้
พอเห็นหนวดสัมผัสเส้นนั้นเริ่มเลือนราง หลิงม่อก็ขมวดคิ้วแน่น
“มนุษย์ผู้โง่เขลา”
เสียงของซอมบี้ตาม่วงแฝงไปด้วยความกระด้างและเย็นชาของซอมบี้ ได้ยินแล้วเสียดแทงแก้วหูมาก
ซอมบี้ตัวนี้แม้มองไม่เห็นหนวดสัมผัสของหลิงม่อ แต่กลับสามารถรับรู้ได้ว่าพลังงานและกลิ่นอายที่มาจากแหล่งเดียวกับมนุษย์คนนั้นกำลังพยายามฉุดรั้งตัวเองไว้
ทว่าระดับพลังเท่านี้ กลับไม่ทำให้ซอมบี้ตาม่วงรู้สึกถึงความอันตรายและแรงกดดัน
“น่าใจอยู่ แต่อ่อนแอเกินไป” ตอนนี้ซอมบี้ตาม่วงกลายเป็นพูดเก่งขึ้นมา แต่พอฟังดูดีๆ มันกลับใช้คำว่า “น่าสนใจ” ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
เห็นชัดว่าซอมบี้ตัวนี้มีโอกาสใช้ภาษาสื่อสารกับคนหรือพวกเดียวกันไม่มาก ถึงจะพูดคล่องกว่าซอมบี้ระดับสูงตัวอื่นมาก แต่คำศัพท์ที่ใช้ได้คล่องก็ยังคงมีน้อยมาก
แต่ตอนนี้หลิงม่อไม่มีเวลามาดูถูกอีกฝ่ายแล้ว เพราะตาของเขาแทบจะมองไม่ชัดอยู่แล้ว
และอาการนี้ ก็เกิดจากการที่พลังจิตถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งย่ามใจเร็วไป…”
หลิงม่อกัดฟันกรอดในใจ ทันใดนั้นสายตาเขาก็มุ่งมั่นขึ้นมา
เสี้ยววินาทีที่หนวดสัมผัสทางจิตเส้นนั้นกำลังจะหายไป หนวดสัมผัสอีกหลายเส้นก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นใต้เท้าของซอมบี้ตาม่วง
เห็นชัดว่าซอมบี้ตาม่วงเองก็คาดไม่ถึง ทั้งที่หลิงม่อใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังลอบโจมตีได้อีกล่ะ?!
แถมยังเล็งโอกาสได้ยอดเยี่ยมสุดๆ!
หนวดสัมผัสที่รัดแข้งของซอมบี้ไว้แน่นยังไม่หายไป แล้วตอนนี้ก็ยังมีหนวดสัมผัสมาตรึงมันไว้กับที่เพิ่มขึ้นอีกในพริบตา
ขณะที่หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นโผล่พ้นพื้นดินมา อาจดูเหมือนพวกมันโผล่ขึ้นมาพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วกลับมีความแตกต่างเรื่องเวลาอยู่เล็กน้อย
หนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารเหล่านี้ล้วนพุ่งเข้ามาในจุดเดียวกัน และจุดดังกล่าว ก็คือคือฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงนั่นเอง!
ซอมบี้ที่เหนือกว่าระดับเจ้าเมืองจะมีผิวที่เหนียวและแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงแม้หลิงม่อจะยังไม่เคยพบเห็นกับตัว แต่ก็พอเตรียมใจมาบ้างแล้ว
แต่ฝ่าเท้า จุดนี้ถือเป็นจุดอ่อนอย่างแน่นอน!
ทว่าถึงจะหาจุดอ่อนเจอก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนอื่นจะต้องโจมตีให้โดนก่อน
และการจะโจมตีซอมบี้ตาม่วงตัวนี้ ก็ยากที่จะจับโอกาสได้
ถ้าหากหลิงม่อตรึงมันไว้กับที่ได้ แล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที นึกออกเลยว่าเขาจะต้องเจอกับการขัดขืนที่รุนแรงกว่าเดิมของมันอย่างแน่นอน แลพอถึงเวลานั้นก็อาจเป็นไปได้มากว่า ไม่เพียงโจมตีพลาดเป้า ศัตรูหลุดจากพันธนาการ แต่ดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อจะยังได้รีบบาดเจ็บอีก
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าปฏิกิริยาของซอมบี้ตัวนี้จะไวอีกแค่ไหน ในสถานการณ์ที่ถูกทำให้ไขว้เขว ก็คงไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติใต้ฝ่าเท้าตัวเองหรอก!
และกว่ามันจะรู้สึกได้ ก็สายเกินไปแล้ว
เพราะระยะห่างระหว่างเท้ากับผิวพื้น เท่ากับ 0!
ในขณะที่หนวดสัมผัสเส้นที่หนึ่งแทงทะลุพื้นรองเท้า แล้วสัมผัสโดนฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วง หลิงม่อก็สัมผัสได้ถึงพลังป้องกันอันยอดเยี่ยมทันที
แทงไม่เข้าเลย!
อย่าว่าแต่แทงทะลุเลย หลิงม่อถึงขั้นรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับด้วยซ้ำ
และผลกระทบต่อดวงแสงแห่งจิต ก็ทำให้เขาตาพร่ามัวอีกครั้ง
แต่เส้นหนึ่งล้มเหลว ก็ไม่ได้แปลว่าการเคลื่อนไหวต่อไปของหลิงม่อจะชะงักลง
หนึ่งครั้งไม่สำเร็จ ก็เอาซักสิบครั้งเป็นไง?!
และในทุกๆ ครั้ง พลังจิตที่หลิงม่อถ่ายเทออกไป ก็เพิ่มขึ้นเยอะกว่าเมื่อกี้มาก!
ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวินาที หนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อโจมตีฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่ค่อนข้างอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า
ซอมบี้ตาม่วงคาดไม่ถึงซักนิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น กว่ามันจะเริ่มดิ้นขัดขืนอีกครั้ง การโจมตีของหลิงม่อก็ดำเนินไปถึงครั้งที่ 15 แล้ว
“อะ…อะ…ไอ้มนุษย์เลว!”
ซอมบี้ตาม่วงอยากจะด่ากราด แต่ระหว่างนั้นดันติดอ่างเสียก่อน
ถึงแม้มันจะด่าคนได้ไม่เจ็บแสบ แต่พละกำลังของซอมบี้ตาม่วงกลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
มันบิดตัวหนึ่งที หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนเส้นประสาทในสมองกำลังถูกดึงออกมาข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น
เขาเบิกตากว้างทันที ความผิดปกติที่เคยถกเขาข่มทับไว้ก่อนหน้านี้ ก็เหมือนซัดสาดกลับมาที่ตัวเขาอีกครั้ง แถมยังเหมือนทวีความรุนแรงขึ้นไม่เพียงหนึ่งเท่า
“ของขวัญ” ที่ราชินีแมงมุมทิ้งไว้ให้หลิงม่อเริ่มแผลงฤทธิ์ ภาพยุ่งเหยิงมากมายผุดขึ้นมาตรงหน้าหลิงม่ออย่างต่อเนื่อง เขากระทั่ง “มองเห็น” แมงมุมตัวเล็กๆ ที่ร่างกายท่อนบนและศีรษะเป็นราชินีแมงมุมตัวหนึ่ง ไต่ขึ้นไปตามขนคิ้วของเขา
“อา…”
หลิงม่อกับซอมบี้ตาม่วงตัวนั้นครางออกมาพร้อมกัน
ฝ่ายหนึ่งยืนกุมเท้าอยู่กับที่ อีกฝ่ายกลับกำลังสะบัดศีรษะอย่างแรง
หลิงม่อกระพริบตาแรงๆ สองที กว่าภาพตรงหน้าจะชัดเจนขึ้นเล็กน้อยในที่สุด
ซอมบี้ตาม่วงตัวนั้นกำลังสำรวจฝ่าเท้าของตัวเอง ปากก็พูดว่า “ไม่นึกเลยว่าจะถูกมนุษย์…ไม่นึกเลย…”
หลิงม่อหรี่ตาเล็ก เขายังรู้สึกมึนหัวอยู่เล็กน้อย
เขาลองสัมผัสรู้ข้างหลังตัวเองครู่หนึ่ง ตอนนี้เย่เลี่ยนกำลังย้ายหนอนดักแด้ของอวี๋ซือหรานกับเฮยซือไว้บนหลังเสี่ยวป๋าย
และตอนนี้ข้อดีของการที่เสี่ยวป๋ายมีร่างกายขนาดใหญ่ก็แสดงออกมาให้เห็น มันไม่เพียงแบกกระเป๋าเป้กองพะเนิน แต่ยังแบกร่างเหล่าซอมบี้สาวยกเว้นเย่เลี่ยนไว้บนหลังทั้งหมด…
“ยังมีอีก?”
ซอมบี้ตาม่วงหันไปมองดักแด้แวบหนึ่ง แล้วรีบวางเท้าลง
พอมันวางเท้าข้างนั้นลง เลือดก็ไหลออกมาทันที
“ฟืดด~”
เย่เลี่ยนรีบย่นจมูกขึ้นลง
ซย่าน่าและหลี่ยาหลินที่นอนหมอบอยู่บนหลังเสี่ยวป๋ายก็แงยหน้าขึ้นแล้วสูดดมจมูกเช่นเดียวกัน แม้แต่ดักแด้ตัวใหญ่ก็ยังดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย
บรรยากาศแปลกไปชั่วขณะ ซอมบี้ตาม่วงเบิกตากว้างจ้องทีมที่เกิดจากการรวมตัวกันอย่างแปลกๆ ของซอมบี้ มนุษย์ และสัตว์กลายพันธุ์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะซอมบี้สาวที่แตกต่างไปจากพวกสามคนนั้น
และซอมบี้สาวสามตัวนี้ ก็ได้ถูกกลิ่นเลือดซึ่งมีส่วนผสมของเชื้อไวรัสอยู่สูงมาก ดึงดูดซะแล้ว…
“รีบไปสิ!”
หลิงม่อโบกมือให้พวกเธอโดยไม่หันมามอง
มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะตะกละกันอยู่อีก นั่นมันกินได้ที่ไหน?!
กัดไปก็มีแต่ก้างทั้งนั้น!
เย่เลี่ยนรีบดึงสติทันที เธอเบิกตากว้างมองฝ่าเท้าของซอมบี้ตาม่วงแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นบนหลังเสี่ยวป๋าย เพื่อเตรียมหนีอย่างรวดเร็ว
ซอมบี้ตาม่วงเห็นเข้า ก็เริ่มร้อนรน
หลิงม่อขวางอยู่ตรงหน้ามันไม่ยอมถอย เจ้ามนุษย์คนนี้ทุ่มสุดตัวจนทำให้มันบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า ถึงแม้ไม่ได้เจ็บหนัก แต่เลือดกลับไหลไม่ยอมหยุด
“มนุษย์…” ซอมบี้ตาม่วงเดือดดาล
“ไม่ต้องเตือนก็รู้ว่าเป็นมนุษย์” หลิงม่อกระพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้น
“…” ซอมบี้ตาม่วงเงียบไปอีกครั้ง เห็นชัดว่ามันไม่รู้ว่าควรตอกกลับอย่างไรดี
ซอมบี้ตาม่วงค่อยๆ เดินออกมาจากแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่แยงตา
และท่ามกลางสายตาอันพร่ามัวของหลิงม่อ ก็ปรากฏรูปร่างหน้าตาของซอมบี้ตาม่วงอย่างชัดเจนในที่สุด
ทว่าเพิ่งจะเห็นแวบแรก หลิงม่อก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นไม่น้อย
นี่…นี่มันไม่ถูกต้องแล้ว!
เงาร่างที่ยืนอยู่ในเงามืดนี้ มีผิวที่ขาวมาก ผมยาวหยิกฟูเล็กน้อยถูกปล่อยไว้ข้างหลัง บนตัวสวมเสื้อผ้าหลวมโคร่งไว้
มองแวบแรก มันดูไม่ต่างจากซอมบี้ที่เดินเร่ร่อนอยู่ตามถนนพวกนั้นซักนิด
แต่หากมองดูที่แขนมันดีๆ ก็จะรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
แล้วหลิงม่อก็รู้ว่าทำไมมันถึงได้เร็วขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ซอมบี้ตัวนี้ใช้ ไม่ใช่แค่เพียงเท้าเท่านั้น
มองจากมุมของหลิงม่อ ระหว่างแขนและร่างกายของซอมบี้ตัวนี้ มีเยื่อบางๆ ที่แทบจะโปร่งใสกั้นอยู่หนึ่งชั้น
และแขนของมันก็มีรูปร่างที่พิสดารเล็กน้อย เหมือนกระดูกข้างในเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ บางอย่างขึ้น
ทว่าหากมองดูอย่างละเอียด ก็จะพบว่าไม่ได้มีแค่เพียงกระดูกเท่านั้น แม้แต่ผิวและเส้นชีพจร ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวมากด้วย
เมื่อมันกางแขนออกเล็กน้อย เยื่อบางๆ นั่นก็กางออกตามด้วย
เส้นชีพจรบนเยื้อบางๆ นั่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วยังมีเส้นเลือดเล็กๆ อีกมากมายอยู่บนนั้นด้วย
“นั่น…นั่น…”
หลิงม่อเบิกตากว้าง “มนุษย์นกนี่นา!”
—————————————————————————–