บทที่ 710 โลกของซอมบี้ มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ…
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ก้อนสีแดง” ที่เจ้าหัวโตหมายถึง ก็คือไวรัสนางพญาของเจ้า “วิกผม” นั่นเอง
เมื่อเปลวเพลิงเริ่มอ่อนลง ไวรัสนางพญาสีแดงก้อนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นอยู่ท่ามกลางกองเถ้าถ่านที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นไหม้
ถึงแม้จะถูกไฟเผา แต่ไวรัสนางพญาก้อนนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย
ความจริงสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างเจ้า “วิกผม” และเฮยซือได้หลุดออกจากนอกกรอบของสัตว์กลายพันธุ์ไปแล้ว และนางพญาในร่างกายของพวกมันก็แตกต่างไปจากนางพญาของสัตว์กลายพันธุ์ธรรมดามากเช่นกัน
หลิงม่อเพียงเหลือบมองแวบแรก ก็เห็นจุดแตกต่างถึง 2 จุดแล้ว
ข้อแรก มันมีขนาดเล็กมาก ข้อสอง คือสีของมัน
ไวรัสนาพญาที่มีสีแดงกระทั่งออกดำได้ขนาดนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
อีกอย่างทั้งที่ไวรัสนางพญาก้อนนั้นเป็นเหมือนแค่สิ่งแพร่เชื้อโรค แต่ตอนนี้มันกลับกำลังกระตุกเบาๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
แค่จุดนี้จุดเดียว ก็มากพอที่จะทำให้คาดเดาได้แล้วว่าระดับความเข้,ข้นของเชื้อไวรัสที่อยู่ในนั้นสูงขนาดไหน!
แค่เจ้าก้อนนี้ก้อนเดียวไม่รู้มีค่าเท่าก้อนเหนียวหนืดตั้งกี่ก้อน…
เขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตฆ่าเจ้า “วิกผม” จนสำเร็จ แต่จู่ๆ เจ้าหัวโตนี่กลับคิดจะโผล่มาช่วงชิง…
แค่คิดจะช่วงชิงยังไม่พอ แต่นี่มันยังสั่งให้หลิงม่อเดินไปหยิบมาประเคนให้มันถึงที่อีก!
ไอ้ซอมบี้เลว!
หลิงม่อสาปส่งมันในใจอย่างแค้นเคือง
เขาไม่ได้วู่วามขยับตัวทันที ตอนนี้ยิ่งถ่วงเวลาได้นานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งฟื้นพลังได้มากขึ้นเท่านั้น…
“หึหึ ตกใจกลัวไปแล้วหรอ?” เจ้าหัวโตยังรู้จักหัวเราะเยาะคนอื่นอีกด้วย “ฉันสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพวกเดียวกันกลุ่มนั้นได้ ก่อนที่พวกมันจะมา ฉันจะฆ่าแกซะ”
ไอ้ซอมบี้เลวนี่ยังรู้จักข่มขู่คนอื่นอีกด้วย!
“หรือพูดเหมือนมนุษย์อย่างพวกแกก็คือ ตอนนี้แกเป็นลูกไก่ในกำมือฉันที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอดยังไงล่ะ” เจ้าหัวโตเริ่มติดใจกับการพูดจาถากถางดูถูก มันพูดพล่ามอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย เหมือนกำลังดื่มดำกับความรู้สึกแมวไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น
ไอ้เลว เห็นฉันเป็นหนูซะได้…หลิงม่อไฟโทสะลุกท่วม
แค่ฟังจากการพูดจาที่มีหลักการและเหตุผลของมัน อย่างน้อยตอนนี้หลิงม่อก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วว่า สติปัญญาของมันเหนือกว่าซอมบี้ทุกตัวที่เขาเคยเจอมา
“ไวรัสนางพญาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก้อนนี้เหมาะกับหลี่ย่าหลิน ส่วนของเจ้าหัวโตนี่…ต้องเหมาะกับซย่าน่ามากแน่ๆ” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
สติปัญญาของเจ้าหัวโต อย่างน้อยก็น่าจะเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่แล้ว
ทว่าสติปัญญากับความปราดเปรื่องของสมองเป็นคนละเรื่องกัน แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ความคิดของไอ้ซอมบี้เลวนี่ก็ถือว่ามีไหวพริบดี
“เร็วเข้า ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะกินแกซะ มนุษย์อย่างพวกแกคงจะกลัวการที่ต้องกลายเป็นเหยื่อของสิ่งมีชีวิตอื่นสินะ? ฉันค้นเจอข้อมูลบางอย่างในความทรงจำของตัวเอง มันบอกไว้ว่าหากมนุษย์ถูกกินทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด”
แล้วเจ้าหัวโตก็ส่ายหน้าไปมา บอกว่า “มนุษย์ถึงได้กลายเป็นเหยื่อไงเล่า…”
“ตรรกะเทพจริงๆ…” หลิงม่ออดกลอกตามองบนไม่ได้
อย่างไรก็ยังเป็นซอมบี้อยู่วันยังค่ำ ความคิดเรื่องความรู้ทั่วไปบางอย่างของพวกมันไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกับมนุษย์เลย
“แต่ความจริงฉันก็ชื่นชมการกระทำบางอย่างของมนุษย์อยู่นะ ดูสิ เจ้าโง่คู่ครองของฉันไม่เห็นจะฉลาดเรียนรู้เรื่องอย่างนี้บ้างเลย มันถึงได้ถูกแกฆ่าตายอย่างนั้น…อืม ความจริงแกทำให้มันตายแค่ครึ่งเดียว แต่ฉันต่างหากที่เป็นคนฆ่ามัน จากนั้นก็อาศัยมันเพื่อวิวัฒนาการ…แต่ยังไงฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าการตายของมันเป็นความผิดของแก”
เจ้าหัวโตพูดล่ามเยอะมาก แถมยัง…กร่างสุดๆ!
หลิงม่อหงุดหงิด ที่แท้เจ้าหัวโตนี่วางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ไม่คิดว่ามันจะฆ่าคู่ครองของตัวเองด้วย นี่ถือเป็นความรู้ใหม่เกี่ยวกับซอมบี้ที่หลิงม่อเพิ่งได้รับ
โดยปกติแล้ว ซอมบี้ทั่วไปไม่มีทางทำอย่างนี้แน่นอน…และเจ้าตัวนี้ เห็นชัดว่าไม่ใช่ซอมบี้ทั่วไป!
มันกลืนกินไวรัสนางพญาของเจ้าซอมบี้นกไป ดังนั้นตอนนี้ไวรัสนางพญาในร่างกายของมันก็ยิ่งมีค่าขึ้นไปอีก…
“อยากกินฉันหรอ…ก็ลองดูสิ”
สติปัญญาของซอมบี้ตัวนี้สามารถเอาชนะซอมบี้ส่วนใหญ่ได้ แต่หลิงม่อเป็นมนุษย์…
เขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ไวรัสนางพญาก้อนนั้น ขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบมองไปทางประตูห้องน้ำ
“ฮ่าๆๆๆๆ…” พอเห็นมนุษย์ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เจ้าหัวโตก็ดูได้ใจมากกว่าปกติ
เดาว่ามันคงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์มากนัก ถึงแม้เจ้ามนุษย์ตรงหน้าจะมีกลิ่นหอมมาก แต่เทียบกับการกิน มันกลับสนใจบางสิ่งในตัวหลิงม่อมากกว่า
ตอนนี้เปลวเพลิงดับมอดไปแล้ว หลิงม่อก้มเก็บไวรัสนางพญาขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับไป พลางแอบยืนบังประตูอย่างเนียนๆ
เขาคาดเดาว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้จะต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันมองพิรุธออก หลิงม่อจึงแสร้งทำหน้าตกตะลึงในเสี้ยววินาทีที่หันกลับไป
เมื่อคลื่นดวงแสงแห่งจิตกระเพื่อม คำสั่งของเขาก็ได้ถ่ายทอดผ่านกระแสจิตออกไป
ขณะเดียวกัน มือจับประตูของประตูบานนั้นก็กำลังถูกบิดออกช้าๆ
ทว่าสีหน้าตกตะลึงที่หลิงม่อจงใจแสร้งทำ กลับกลายเป็นความตกตะลึงจริงๆ เมื่อหลิงม่อได้มองเห็นรูปร่างของเจ้าหัวโตอย่างชัดเจน
คำพูดคำจาที่อวดตัวว่าใหญ่โตเป็นชุดๆ ประกอบกับน้ำเสียงอันเย็นชาของเจ้าหัวโต ทำให้หลิงม่อคิดว่าตัวเองจะได้เห็นซอมบี้รูปร่างหน้าตาดุร้ายน่ากลัว…
ไม่คิดเลยว่าพอหันกลับมา…ไอ้หัวโล้นขนาดใหญ่นั่นมันอะไรกัน!
แล้วไหนจะตาที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวนั่นอีก ถึงจะดูออกตั้งแต่แวบแรกว่ามันเป็นสีแดงม่วง แต่นั่นมันไม่น่ากลัวซักนิด ตรงกันข้ามกลับดูตลกสุดๆ!
ดวงตาก็เล็กมากอยู่แล้ว ขอร้องช่วยหยุดทำเป็นหรี่ตาไปหรี่ตามาได้ไหม…
อีกอย่าง ปากเล็กขนาดนั้นจะกัดใครได้จริงๆ หรอ! นี่ต้องใช้หลอดดูอะไรอย่างนั้นช่วยไหม?
แล้วไอ้แขนขาบางๆ นั่นมันอะไรกัน สารอาหารไปกระจุกอยู่บนหัวหมดแล้วหรอ?
หลิงม่อรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ถ้าจะแข่งกันเรื่องอัปลักษณ์ เจ้าตัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็อัปลักษณ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลย!
โดยเฉพาะหัวที่ทั้งโล้นและใหญ่มากนั่น หลิงม่อหยุดตัวเองไม่ให้มองมันไม่ได้เลย!
เจ้าหัวโตมองหน้าหลิงม่ออย่างงุนงงชั่วขณะ จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
มันหัวเราะหึหึ แล้วนั่งส่ายหัวไปมาอยู่บนขอบหน้าต่าง “เจ้ามนุษย์ผู้อ่อนแอ…น่าประหลาดใจมาก ทำไมแกถึงทำให้พวกเดียวกันกลุ่มนั้นไม่ฆ่าแกได้”
“แกคงคิดว่าฉันดูร้ายกาจมากใช่ไหมล่ะ? นี่เป็นสิ่งที่ฉันค้นเจอในความทรงจำ ดูเหมือนมีคนมากมายที่ชอบทำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้…” เจ้าหัวโตพูดเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว บวกกับความคิดพิลึกพิลั่นของซอมบี้ หลิงม่อจึงเดาไม่ออกเลยซักนิดว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
ซอมบี้ทั่วไปเวลาเห็นเขาก็มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น : กิน
ถึงแม้เจ้าตัวนี้เองก็จ้องเขาตาเป็นมัน แต่ดูเหมือนมันจะอยากทำอย่างอื่นด้วย
เจ้าหัวโตพูดไปได้ครึ่งเดียวก็เงียบไป
หลิงม่อนิ่งรอ 2 วินาที กำลังนึกสงสัยว่าทำไมมันไม่พูดแล้ว แต่กลับเห็นว่ามันกำลังจ้องหลิงม่ออย่างไม่ละสายตา
หมายความว่าไง? หลิงม่ออึ้ง หนังตาพลันกระตุกสั่น
เจ้านั่นคงไม่ได้รอให้เขาเป็นคนพูดต่อหรอกนะ?
เชี่ย ตอนวิวัฒนาการจนกลายพันธุ์สมองถูกไฟเผาไปด้วยหรือไงวะ…
แต่นั่นก็ถือว่าเป็นวิธีถ่วงเวลาที่ดีเหมือนกัน หลิงม่อกำไวรัสนางพญาก้อนนั้น แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง บอกว่า “ศัลยกรรมฉีดน้ำเกลือเข้าหน้าผาก?” (ศัลยกรรมฉีดน้ำเกลือเข้าหน้าผาก หรือ แฟชั่นเอเลี่ยนที่เหล่าวัยรุ่นญี่ปุ่นนิยมทำ โดยการฉีดน้ำเกลือใส่หน้าผากให้นูนขึ้น และใช้นิ้วมือกดให้เป็นรอยบุ๋มตรงกลาง)
เขาเค้นสมองคิดหนักมากกว่าจะคิดออก…
คนเหล่านั้นจะทำให้หน้าผากปูดโปนขึ้นมาโดยการฉีดน้ำเกลือใส่ เดาว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้คงจะวิวัฒนาการตัวเองให้กลายเป็นอย่างนั้นไปด้วย แปลว่ามันรู้จักตามเทรนด์อยู่เหมือนกัน…
“ไม่ใช่!” เจ้าหัวโตหรี่ตาเล็ก แล้วตวาดลั่น
หลิงม่อจ้องหัวโล้นๆ ของมัน…หรือมันกำลังคอสเพลย์เลียนแบบดาราบางคน?
ซอมบี้ติ่งดารา?
แต่ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีคนแห่กันไปโกนหัวเลยนี่นา…
“ตุ๊กตาส่ายหัวต่างหากล่ะ” เจ้าหัวโตพูดขึ้นอย่างได้ใจ
หลิงม่อถึงกับหมดคำพูด นั่นมันเทรนด์ฮิตของสมัยไหนแล้ววะนั่น…
“คือ…นายรู้ใช่ไหมว่าการที่มนุษย์เล่นอย่างนั้นก็เพื่อเป็นการล้อเลียนน่ะ?” หลิงม่อพูดขึ้น
“ล้อเลียนคืออะไร?” เจ้าหัวโตกลอกตามองข้างบนทำท่าครุ่นคิด ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำให้ตัวเองดูน่าขำไปเสียแล้ว…
แน่นอนหลิงม่อไม่มีทางเป็นฝ่ายตอบคำถามก่อน ถ่วงเวลาได้ยิ่งนานยิ่งดี…
แต่ความจริง คำพูดไร้สาระมากมายเหล่านี้ของเจ้าหัวโต กลับเปลี่ยนความรู้ที่หลิงม่อเข้าใจว่าถูกมาโดยตลอดไอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดมาโดยตลอดว่าทิศทางการกลายพันธุ์ของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ ส่วนมากขึ้นอยู่กับว่าเชื้อไวรัสจะเลือกวิวัฒนาการตามสภาพร่างกายของเจ้าตัวหรือตามสภาพแวดล้อมภายนอก …
แต่จากที่เจ้าหัวโตพูดแล้ว ทำไมฟังเหมือนมันเลือกได้เองล่ะ?!
ระหว่างการวิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยน สิ่งที่หลิงม่อเป็นกังวลมากที่สุดก็คือร่างกายของพวกเธอจะมีการกลายพันธุ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะหากการกลายพันธุ์อย่างนั้นปรากฏชัดขึ้น พวกเธอก็จะไม่สามารถเข้าใกล้มนุษย์ได้อีกต่อไป
ตัวตนถูกเปิดเผย ความสามารถพิเศษถูกเปิดโปง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับหลิงม่อและสาวๆ ซอมบี้ของเขา
แม้แต่สวี่ซูหานเอง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรับเรื่องจริงที่ว่าพวกเย่เลี่ยนเป็นซอมบี้ได้แล้ว และสมัครใจที่จะเก็บเป็นความลับ แต่ถ้าเธอรู้ว่าพวกเย่เลี่ยนถูกหลิงม่อควบคุม เกรงว่าคงจะไม่ใจเย็นอย่างนี้อีกต่อไป
ดังนั้นการทำให้พวกเย่เลี่ยนพยายามปกปิดตัวตนเอาไว้จนถึงที่สุด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่หลิงม่อต้องพยายามด้วยเช่นกัน
และการวิวัฒนาการและกลายพันธุ์ ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากช่วงหนึ่ง!
ซึ่ง!
—————————————————————————–