บทที่ 737 ห้องแห่งความลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มหาลัยแพทย์ฯ ในยามค่ำคืนถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด มีเพียงเสียง “สวบสาบ” ที่ดังแว่วออกมาจากพุ่มไม้และป่าด้านข้างเป็นบางระยะเท่านั้น
หากมองเข้ามาจากด้านนอก กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่ยื่นออกไปนอกรั้วดูเหมือนเงาตะคุ่มมากมาย เมื่อลมพัดพวกมันก็เปลี่ยนรูปร่างไป และดูเหมือนเหล่าวิญญาณที่กำลังพยายามจะหนีออกจากกรง
“อึก…”
เงาร่างที่โงนเงนไปมาเงาหนึ่งปรากฏบนทางเดินอันว่างเปล่า สองแขนของมันห้อยอยู่ข้างลำตัว และแกว่งไปมาเหมือนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ศีรษะของเงาร่างนั้นเอียงไปด้านข้าง ดวงตาสีเลือดบนใบหน้าที่บิดเบี้ยวกำลังจดจ้องไปยังเงาที่สั่นไหวเหล่านั้นเขม็ง
ขณะที่มันเดินไปถึงรั้วล้อมนั่น และกำลังเงยหน้าจ้องกิ่งไม้เหล่านั้นอย่างเหม่อลอย จู่ๆ มันกลับแหงนหน้าขึ้นเหมือนรู้สึกได้ถึงบางอย่าง
“ป๊าบ!”
ในดวงตาของมันสะท้อนเงาสีขาวขนาดใหญ่ที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า และกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นศีรษะของมันถูกเหยียบเข้าอย่างแรง ภาพสุดท้ายที่ซอมบี้ตัวนี้เห็น คือภาพที่เงาสีขาวขนาดใหญ่นั่นกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้าอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของมันโงนเงนไปมา และไม่นานก็ล้มพับไป…
“เมื่อกี้ไม่ทันมอง แต่เสี่ยวป๋าย เหมือนแกจะเหยียบโดนอะไรซักอย่างรึเปล่า?”
ในพุ่มหญ้า อวี๋ซือหรานกระโดดลงจากหลังของเสี่ยวป๋าย แล้วถามเสียงเบา
“แบ๊…” เสี่ยวป๋ายส่ายหัวไปมาด้วยใบหน้าใสซื่อ
บนหลังของมันยังมีคนนั่งอยู่อีก 2 คน คนหนึ่งกำลังเบิกตากว้างมองรอบข้างอย่างอยากรู้อยากเห็น อีกคนกำลังถือเคียวดาบไว้ พร้อมกับสีหน้าที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด
ทั้งสองก็คือเย่เลี่ยนกับซย่าน่านั่นเอง ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ พวกเธอได้รับสัญญาณจากหลิงม่อหลังจากที่รอคอยมานาน จากนั้นพวกเธอก็รีบเดินทางมาที่มหาลัยแพทย์ฯ พร้อมกับเสี่ยวป๋ายและอวี๋ซือหรานทันที
“พี่หลิง…อยู่ทางนั้น” เย่ลี่ยนยกมือขึ้นชี้เข้าไปในส่วนลึกของมหาลัยแพทย์ฯ
ซย่าน่ากระดกมุมปากขึ้น แล้วพูดว่า “ฮิฮิ คราวนี้พวกเราได้เคลื่อนไหวโดยลำพังเลยนะเนี่ย…”
“ทำไมเธอต้องดีใจขนาดนั้นด้วย?” อวี๋ซือหรานขมวดคิ้วถาม เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่าการได้ช่วยเจ้ามนุษย์ไส้กรอกมันเป็นเรื่องน่าสนุกตรงไหน ไปออกล่าเหยื่อยามว่างยังจะน่าสนใจกว่าอีก ถึงจะกินไม่ได้ แต่แค่ดูก็ได้นี่…
“เปล่านี่ ฉันออกจะจริงจังนะตอนนี้” ซย่าน่าส่ายหัว “เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าคิดแต่จะเล่นสนุกท่าเดียว พี่หลิงต้องเคลื่อนไหวเองลำบากแน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงต้องบุกทั้งข้างในและข้างนอก เพื่อจัดการเรื่องราวให้…ช่างเถอะ พวกเธอทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจที่ฉันพูดเลยซักนิด…”
อวี๋ซือหรานกลอกตาขาว เธอล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วคลี่ออกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่คือแผนที่ที่เขาทิ้งไว้ให้ ตรงนี้คือที่ที่เสี่ยวป๋ายเคยไปสำรวจมาแล้ว ส่วนโซนที่พวกเราต้องไปค้นหา เขาก็วาดเอาไว้ให้คร่าวๆ แล้ว ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้…แต่ถึงจะมีแผนที่ก็ยังต้องระวังอยู่ดี เพราะที่นี่มียามลาดตระเวน”
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเรียนรู้จากเสี่ยวป๋ายจนฉลาดขึ้นมาแล้ว…” ซย่าน่าพูดชม
“แน่นอนสิ…” อวี๋ซือหรานได้ใจ แต่แล้วก็ชะงักไป
ทำไมรู้สึกว่าคำพูดของเธอมันแปลกๆ นะ…
“ใช่สิ แล้วพวกเธออีกคนล่ะ?” อวี๋ซือหรานหมายถึงหลี่ย่าหลิน
ซย่าน่ายิ้มขำ พลางตอบ “อยู่กับยัยครึ่งมนุษย์นั่น เพื่อดูแลความปลอดภัยให้เธอน่ะ”
อวี๋ซือหรานนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกว่า “เธอช่างเป็นซอมบี้ที่มีความอดทนจริงๆ ถ้าเป็นฉันล่ะก็…ยัยมนุษย์คนนั้นคงตายไปนานแล้ว”
ขณะเดียวกัน ตัดภาพมายังอาคารที่พัก
สวี่ซูหานกำลังขดตัวอยู่ในมุมห้อง เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ในขณะที่สายตาจ้องมองหลี่ย่าหลินที่อยู่ตรงหน้า
ฝ่ามือเรียวยาวของอีกฝ่ายกำลังกุมไหล่เธอไว้แน่น อาจดูนุ่มนวลและบอบบาง แต่มือนั่นกลับสามารถฉีกร่างเธอให้เป็นสองท่อนได้ทุกเมื่อ
แต่แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้สวี่ซูหานขวัญหนีดีฝ่อ คือสายตาของหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องมาทางเธอเขม็ง
“เธอ…เธอจ้องฉันทำไม?” สวี่ซูหานเม้มปาก แล้วถามขึ้น
หลี่ย่าหลินกระพริบตาปริบๆ “ก็ซย่าน่าบอกให้ฉันจับตาดูเธอไว้”
“…” สวี่ซูหานมองดวงตาประหลาดที่มีสีแดงผสมสีเหลืองอำพันคู่นั้นของหลี่ย่าหลิน แล้วถามด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้ “แล้วทำไมตาของเธอถึงได้เปลี่ยนสีล่ะ?”
“จ้องนานน่ะ” หลี่ย่าหลินบอก พลางแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียริมฝีปาก
“อา…” สวี่ซูหานรีบหันหน้าหนี ร่างกายเธอสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ปากขยับพูดอย่างไร้เสียงว่า “ช่วยด้วย…”
ในพุ่มหญ้า ซย่าน่าดึงสติกลับมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “อื้ม เชื่อมั่นในความอดทนของเธอได้…คิดว่านะ เอาล่ะ พวกเราเริ่มเคลื่อนไหวเถอะ ตามที่พี่หลิงสั่งไว้ พวกเราห้ามแยกกัน และห้ามทำเรื่องเสี่ยงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากถูกใครจับได้ให้รีบส่งสัญญาณบอกเขา เขาจะช่วยพวกเราเบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นออกไปเอง”
“เบี่ยงเบนยังไง?” อวี๋ซือหรานถามอย่างสงสัย
ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ถ้าหมดหนทางจริงๆ…ฉี่ไกลสามเมตรท้าลมแรงหรืออะไรก็ต้องลองทำล่ะ”
“อย่างนั้นหรอ…ฉันทำได้ไหม?” อวี๋ซือหรานยังคงถามต่อ
“พี่หลิงกลับมาเมื่อไหร่ก็ให้เขาสอนเธอสิ…”
ขณะที่พวกเย่เลี่ยนกำลังจะแฝงตัวเข้าไปในมหาลัยแพทย์ฯ หุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุมอยู่ก็ได้เดินมาถึงพื้นที่ครึ่งหลังของห้องทดลองลับแล้ว
หลังจากเจอซอมบี้กลายร่างหญิงตัวนั้น หลิงม่อก็ได้เห็นซอมบี้กลายร่างที่ไม่เหมือนกันอีกหลายตัว
ดูจากระดับความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของซอมบี้กลายร่างเหล่านี้ เห็นชัดว่าพวกมันถูกจับมาที่นี่ และถูกทำให้กลายพันธุ์เป็นซอมบี้กลายร่าง บางตัวก็มีภัยแฝงซุกซ่อนอยู่ในตัวเหมือนซอมบี้สาวตัวแรกอยู่แล้ว บางตัวก็ถูกฉีดเชื้อไวรัสบางอย่างเข้าไป จนทำให้ร่างกายบางส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
การกลายพันธุ์ของซอมบี้กลายร่างคือการปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายเป็นหลัก และการกลายพันธุ์ของซอมบี้ทั่วไปที่เกิดขึ้นเมื่อวิวัฒนาการถึงระดับซอมบี้เจ้าเมือง โดยปกติมักเป็นเพราะความสามารถพิเศษที่เกิดจากเชื้อไวรัส
หลิงม่อคิดว่าซอมบี้กลุ่มแรกนอกจากซอมบี้ร่างแม่แล้ว ตัวอื่นๆ ที่เหลือเป็นซอมบี้ประเภทที่เชื้อไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลง และซอมบี้กลุ่มหลังนั้นเป็นเพราะยีนที่แท้จริงของพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ความสามารถพิเศษบางอย่างดูน่าเหลือเชื่อ แต่ในโลกแห่งธรรมชาติ มีสัตว์มากมายที่มีลักษณะพิเศษเหล่านั้นอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลก แต่ถึงจะพูดอย่างนี้ พอลักษณะพิเศษเหล่านั้นมาปรากฏอยู่บนตัวเหล่าซอมบี้ มันกลับกลายเป็นคนละเรื่องไปเลย
สถานการณ์ของบรรดาซอมบี้กลายร่างพวกนี้ทำให้หลิงม่ออดคิดลึกกว่านี้ไม่ได้ว่าทีมวิจัยฉีดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดไหนให้พวกมันกันแน่ แล้วพวกเขาได้มันมาจากไหน…
“อืม ที่นี่ยังมีประตูอีกบาน…” ในขณะที่เดินมาจนสุดทาง หลิงม่อก็พบว่าด้านหน้ายังมีประตูอยู่อีกหนึ่งบาน
และประตูบานนี้ก็แตกต่างไปจากประตูบานอื่นๆ เพราะมันคือประตูเหล็กที่หนักและหนามาก…
หลิงม่อล้วงกุญแจพวงเดิมออกมาอีกครั้ง หลังจากลองไขดูหลายดอก ในที่สุดก็ได้ยินเสียง “แกร่ก” ดังขึ้นเบาๆ
“แอ๊ด…”
เมื่อผลักประตูออกช้าๆ กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหนึ่งก็ลอยมาเตะจมูกทันที
กลิ่นนี้เสียดแทงจมูกกว่ากลิ่นฉุนพวกนั้นมาก แต่ในนั้นก็ยังมีกลิ่นอายของเชื้อไวรัสผสมอยู่จางๆ
เมื่อได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนดังแว่วมาจากด้านใน หลิงม่อก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าตัวเองอาจเจอบางสิ่งที่น่าทึ่งเข้าแล้ว…
“เอี๊ยดๆๆๆ…”
ดูเหมือนว่าประตูบานนี้ไม่ได้ใส่น้ำมันหล่อลื่นมานานมากแล้ว ดังนั้นตอนที่ผลักประตูในตอนสุดท้ายมันจึงส่งเสียงดังชวนเสียวฟัน ขณะเดียวกัน สภาพในห้องก็ปรากฏสู่สายตาของหลิงม่อ…
โซ่ตรวนมากมาย…นี่คือสิ่งแรกที่หลิงม่อเห็นในห้องนี้
มีทั้งที่ถูกตรึงไว้บนเพดาน และทั้งที่ถูกตอกไว้กับผนัง อีกด้านของโซ่ตรวนที่มีขนาดเท่าข้อมือเหล่านั้น ล้วนถูกโยงไปที่เงาร่างสีดำที่อยู่กลางห้องทั้งหมด
สิ่งที่จำเป็นต้องใช้โซ่ตรวนมากมายขนาดนี้มาพันธนาการไว้ กลับไม่ใช่ซอมบี้ที่ดูร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นซอมบี้เพศชายตัวหนึ่งที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างไป และถูกมัดไว้ทั้งตัวไม่ต่างจากขนมบ๊ะจ่าง ผิวหนังทั่วกายของซอมบี้ตัวนี้กลายเป็นรอยย่นไปทั้งหมด จึงยากที่จะตัดสินอายุของมันจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่ใบหน้าซีดขาวนั่นกลับเหมือนศพแห้งๆ ที่เพิ่งคลานออกมาจากหลุมอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนมีระดับพลังทำลายล้างไม่สูง แต่ระดับความน่าสยองกลับสูงมาก
มันจ้องหลิงม่อเขม็ง และดิ้นขัดขืนอย่างต่อเนื่อง ทำให้โซ่ตรวนเหล่านั้นเกิดเสียงครืดคราดไม่หยุด
พอเห็นมันได้แต่บิดตัวไปมาอยู่ที่เดิม หลิงม่อก็เกิดสงสัยขึ้นมา จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาลงไปที่เท้าของมัน
“โหดเหี้ยมจริงๆ…”
เหล็กเส้นสองเส้นเจาะทะลุหลังเท้าของซอมบี้ตัวนั้น แล้วปลายด้านบนของเหล็กเส้นก็ยังถูกดัดจนงอเป็นรูปครึ่งวงกลม เพื่อยึดร่างมันให้ติดกับพื้นจุดนั้นโดยสิ้นเชิง นอกจากว่าฝ่าเท้าของมันจะเละหมด ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็หนีออกมาไม่ได้ ลำคอของมันถูกสวมไว้ด้วยโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง ทำให้ไม่อาจก้มหน้าลงไป จึงไม่มีทางที่มันจะกัดข้อเท้าตัวเองจนขาดได้
ถึงแม้ซอมบี้จะบ้าคลั่งมาก แต่ในสถานการณ์ที่สูญเสียความสามารถในการขัดขืนไปทั้งหมดอย่างนี้ การดิ้นรนก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
หลิงม่อรู้สึกหนังศีรษะชาเล็กน้อย เขาสามารถเห็นสภาพดวงจิตของซอมบี้ตัวนี้ มันใกล้เคียงกับของเย่เลี่ยนมาก ดังนั้นพอเห็นซอมบี้ตัวนี้ถูกมัดไว้ที่นี่ หลิงม่อก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซอมบี้ตัวนั้นกัดฟันกรอด สายตาที่จ้องมองหลิงม่อ พลันประกายแววแปลกประหลาดไปชั่ววินาทีหนึ่ง
และแววตานั้น ก็ถูกหลิงม่อจับสังเกตได้ทัน
“หืม? เจ้านั่นมีสติปัญญา?”
หลิงม่อยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ แล้วสังเกตเจ้าซอมบี้ตัวนี้อยู่ครู่หนึ่ง
พอเห็นซอมบี้ตัวนี้ไม่ได้มีปฏิกิริยาที่มากขึ้น หลิงม่อก็ครุ่นคิด แล้วสุดท้ายก็ก้าวถอยไปข้างหลังสองก้าว
ตามคาด สีหน้าของซอมบี้ตัวนั้นดูร้อนรนขึ้นมาทันที
มันพยายามดิ้นรนอีกสองสามที พร้อมกัดฟันและแยกเขี้ยวใส่หลิงม่อ ปากที่ถูกมัดไว้แน่นอ้าออกแล้วเปล่งเสียงคำราม “ฮื่อๆ” ออกมา
ปฏิกิริยาอย่างนั้นทำเอาหลิงม่ออึ้งไปอีกครั้ง แต่ไม่นานสีหน้าของหลิงม่อก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
หุ่นซอมบี้เดินหน้าสองก้าว จากนั้นก็ถอยสองก้าว พลางกวักมือเรียก…
“ฮื่อๆๆๆ…” ซอมบี้ยังคงดิ้นขัดขืนต่อไป มันเบิกตากว้าง เหมือนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ
หลิงม่อกลับฉีกยิ้มกว้าง แล้วเดินเข้าไปตรงหน้าซอมบี้ตัวนั้นอย่างท้าทาย
พอเห็นหลิงม่อเดินเข้ามาใกล้ ซอมบี้ตัวนี้พลันดิ้นพล่านขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ หลิงม่อกลับหยุดชะงักในขณะที่ห่างจากมันเพียง 2 เมตร
สีหน้าของซอมบี้ค้างเติ่งไป มันจ้องหน้าหลิงม่อเขม็ง พร้อมกับพยายามยืดคอเข้ามาหาอย่างสุดความสามารถ…
“อยาก…กินฉัน?”
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ แล้วอ้าปากถามอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันเขาก็ฉีกยิ้มประหลาดออกมาด้วย
ดวงตาของซอมบี้ตัวนั้นเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง
“แกเอาแต่ดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าแกจะทำอะไรจริงๆ ซักที ที่แยกเขี้ยวแยกฟัน ก็เพื่อหลอกล่อให้ฉันเข้ามาล่ะสิ?” หลิงม่อพูดช้ามาก แต่ดูเหมือนซอมบี้ตัวนี้จะฟังรู้เรื่องทั้งหมด มันขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาไปมองหลิงม่อ ขณะเดียวกันสีหน้าของมันก็ค่อยๆ สงบลงมา
ตอนนี้ มันรู้แล้วว่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวนี้ไม่ใช่อาหารของมัน…
—————————————————————————–