บทที่ 765 บอกแล้วว่าไม่ได้หนี
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิงม่อยังคงอยู่กลางอากาศ มือข้างหนึ่งของชายแว่นดำที่ยกค้างไว้พลันสะบัดลงไปทันที
ท่าโบกมือของเขาเป็นสัญลักษณ์ที่ส่งไปถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่ ความหมายง่ายๆ เพียงสองคำ : ลั่นไก!
ถูกหลิงม่อปั่นหัวถึงสองครั้งติดกัน ในที่สุดความอดทนของชายแว่นดำก็หมดลง
ฆ่าซะ!ฆ่าคนคนนี้ให้ตายซะ!
ส่วนพรรคพวกของเขา ไม่ออกมาตอนนี้ อีกเดี๋ยวจะหาไม่เจอเชียวหรือ? พอดีเลย ฉวยโอกาสนี้ให้พวกนั้นได้เห็น ว่าคนที่คิดจะทรยศนิพพานต้องพบกับจุดจบอย่างไร!
เมื่อเสียงปืนดังขึ้นรัวๆ ไม่แน่ว่าอาจมีไอ้ขี้ขลาดบางคนหวาดกลัวจนใสหัวออกมาเองก็ได้
พอคิดอย่างนี้ ชายแว่นดำก็สะบัดมือลงอย่างแรง! และเต็มไปด้วยจิตโหดเหี้ยม!
ขณะเดียวกัน สายตาทุกคู่ก็ได้พุ่งเป้าไปที่มือของชายแว่นดำ
สำเนียงการพูดที่เขาเพิ่งตะโกนขึ้นมาเมื่อกี้ ได้ดึงดูดความสนใจของคนมากมาย แล้วตอนนี้ยังทำสัญญาณมืออย่างนี้อีก เขาย่อมต้องกลายเป็นเป้าสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมือของเขาสะบัดลงสุด ลมเยือกเย็นสายหนึ่งก็ได้พัดผ่านกลุ่มคนไปอย่างเงียบเชียบ
คราวนี้จะเอาจริงแล้วสินะ…
ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และโผล่มาจากไหน แต่แค่เห็นพฤติกรรมที่ตัดสินชีวิตคนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ กลับเป็นตัวบ่งบอกถึงอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องมีคำพูดใด!
อะไรที่เรียกว่ามีอำนาจอยู่ในมือล่ะ? ถ้าไม่รู้ก็ดูการกระทำ และท่าทางอันมั่นใจนี้ได้เลย!
“ตายซะเถอะ!”
ชายแว่นดำจ้องหลิงม่อด้วยแววตาชั่วร้าย พร้อมเผยรอยยิ้มเยือกเย็น
ราวกับว่าเขามองเห็นจุดจบที่หลิงม่อไร้หนทางขัดขืน และร่วงลงมาเหมือนกระสอบทรายขาดๆ ใบหนึ่งแล้ว
ตัวทดลองพวกนี้พวกเขาเป็นคนล่อออกมาไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ศพเขาเป็นอาหารให้พวกมันไปแล้วกัน!
“คิดจะสู้กับฉัน? ช่างไม่รู้จักดูกำลังตัวเอง!”
ชายแว่นดำคิดในใจ แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติขึ้นมาทันที
เขาสะบัดมือสั่งยิงแล้ว แต่เสียงปืนล่ะ?
“เจ้าพวกนั้น…บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้คอยดูสัญญาณมือของฉันไว้!”
ชายแว่นดำเดือดดาล เมื่อกี้มือซ้ายของเขาโดดเด่นราวกับมีออร่อเจิดจ้าอยู่รอบๆ เขาสะบัดมืออย่างเข้มจนทุกคนเห็นอย่างชัดเจนแล้วนะ!
ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่บางคนที่ไม่ได้ถูกซอมบี้โรมรันพันตีต่างก็เขย่งปลายเท้า และหันไปมองยังประตูทางเข้า
น่าเสียดายที่ด้านหน้าของเขาไม่มีคนบังก็มีซอมบี้คอยยืนบังอยู่ มองเห็นได้ง่ายๆ เสียที่ไหน?
ส่วนเมื่อกี้ ทุกคนต่างพุ่งเป้าความสนใจไปที่ชายแว่นดำกับหลิงม่อ ไม่มีใครหันไปสนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลยซักคน
ชายแว่นดำใจเต้น “ตึกตัก” เขารีบหันขวับไปมองทางนั้นทันที
พอหันไปมอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ชายที่ยืนอยู่ข้างกายเขาพูดขึ้น “ทำไมคนพวกนั้นยืนเฉยไม่ขยับเลย?”
ณ ประตูทางเข้า เงาร่างอขงคนสิบกว่าคนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
ชายคนดังกล่าวหรี่ตาเล็กลงแล้วมองดูอย่างละเอียด แล้วจู่ๆ ก็ต้องซี๊ดปากด้วยความตกตะลึง
คนพวกนั้นไม่ได้กำลังยืนอยู่ แต่กลับถูกมัดติดกับฐานปืนกลและตาข่ายเหล็กต่างหาก! ไม่น่าล่ะถึงได้ดูแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
แต่ทว่า ใครกันที่สามารถจัดการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนโดยไม่ส่งเสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย? ต้องบอกก่อนว่าเมื่อกี้ตอนที่หลิงม่อกระโดดขึ้นไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนั้นยังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำสั่งของชายแว่นดำอยู่ จนถึงตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ได้?!!
เวลาเพียงชั่วพริบตา ชายคนนี้ก็เหงื่อไหลไปทั้งตัวแล้ว
ชายแว่นดำเองก็เหมือนจะสังเกตเห็นแล้ว แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ปืนกลสองลำในนั้นกลับเคลื่อนไหวขึ้นมา แล้วเสียงปืนก็ดังลั่นขึ้นทันใด!
“เชี่ยย!”
ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสบถออกมา แล้วทุกคนก็พากันหมอบลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว
เป้าของปืนกลสองลำนั้น คือพวกเขา!
พูดแล้วก็น่าอดสู สิ่งที่คนกลุ่มนี้ใช้ต่อกรกับพวกเขา ล้วนเป็นของของนิพพานทั้งนั้น!
ทั้งตัวทดลอง และปืนกล!
จะหยิบยืมวัตถุดิบจากท้องถิ่นก็ต้องมีขีดจำกัดกันบ้างสิ!
ชายแว่นดำมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วที่สุด แต่เขาเพิ่งจะโฉบหลบข้างหลังชายแซ่หลี จู่ๆ หลิงม่อที่ใกล้จะถึงพื้นกลับกระโดดขึ้นสูงอีกครั้ง และทำท่าคว้าอากาศใส่ชายแว่นดำที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 30 เมตร
ชายแว่นดำที่ยังคงก้มหน้าหลบอยู่ไม่ได้ระวังตัวเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันกลับมีเสียงตะโกนที่ดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน “เขากลับมาอีกแล้ว!”
เสียงตะโกนดังผสมผสานกับเสียงปืน จึงได้ยินไม่ชัด
“อะไรนะ?”
ชายแว่นดำเพิ่งจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกเชือกที่มองไม่เห็นรัดเข้าที่ลำคอ
ในฐานะผู้มีพลังพิเศษด้านพลังจิต เขาจะสามารถสร้างเกราะป้องกันอะไรให้ร่างกายตัวเองได้ล่ะ?
พอถูกเชือกเส้นนี้รัด เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว เท้าก็ลอยขึ้นเหนือพื้นทันที
“พลังพิเศษอะไรกันนี่!”
ได้ยินเสียงแหวกลมดังอยู่ข้างหู รวมถึงเสียงปืนมากมาย ชายแว่นดำถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ!
ฝีมือหลิงม่อ?
เขาเป็นแค่ผู้มีพลังจิต ตกลงยังมีกลยุทธ์ไหนที่ยังไม่ได้ใช้อีกกันแน่!
ชายแว่นดำก็อยากจะดิ้นขัดขืน แต่เห็นชัดว่าหลิงม่อได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ไม่เพียงเรี่ยวแรงที่มากจนน่าตกใจ แต่ยังเคลื่อนไหวเร็วมากจนน่าทึ่งอีกด้วย!
อีกอย่างเขาลอยอยู่กลางอากาศ เท้าลอยเหนือพื้น ศักยภาพร่างกายของชายแว่นดำก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนธรรมดามากนัก ดังนั้นความสามารถในการขัดขืนจึงเป็นศูนย์
คนที่ได้สติกลับคืนมาเร็วที่สุดก็คือชายที่ยืนข้างกายชายแว่นดำ เขารีบกระโดดขึ้น ยื่นมือออกไปหมายจะคว้าร่างชายแว่นดำลงมา แต่จู่ๆ ก็หันไปเห็นว่าหลิงม่อกำลังหรี่ตาจ้องเขาอยู่ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอ? ว่าฉันไม่ได้คิดจะหนีจริงๆ”
“แย่แล้ว…” ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีทันที ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนถูกหมัดที่มองไม่เห็นชกศีรษะเข้าอย่างแรง การเคลื่อนไหวจึงผิดพลาดไปอย่างช่วยไม่ได้
เขาล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างหมดรูป ยังไม่ทันลุกขึ้นยืนก็ตะโกนเสียงดังลั่น “จับเขาไว้!”
เสียงตะโกนของเขา ปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์
พอเห็นชายแว่นดำพุ่งตัวเข้าไปหาหลิงม่อด้วยความเร็วเหมือนจรวดในร่างคน ทุกคนต่างพากันตะลึงค้าง
คนคนนี้…ไม่ใช่แค่อวดเก่งเป็นอย่างเดียวแล้ว!
เขาถูกต้นจนจนมุมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เพียงไม่เป็นไร แต่เขายังกล้าแย่งตัวคนต่อหน้าธารกำนัล!
หรือว่า เขาไม่ได้คิดจะหนีตั้งแต่แรกแล้ว การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว ล้วนทำเพื่อสร้างโอกาสนี้ขึ้นมา
ถึงจะมีคนให้ความร่วมมืออยู่ข้างนอกนั่น ก็ไม่น่าถึงขั้นไม่กลัวอะไรเลยอย่างนี้หรือเปล่า!
และพอหลิงม่อเผยกลยุทธ์อันน่าแปลกนี้ เขาก็ได้ดึงดูดสายตาตะลึงพรึงเพริดของฝูงชนอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
เหล่าผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตต่างถูกเสียงปืนปลุกให้ตื่น ไม่คิดเลยว่าจะถูกทำให้ตะลึงอีกครั้งติดๆ กันอย่างนี้
“ต้องขนาดนี้เลยหรอ…” พวกเขาเริ่มมึนตึ๊บแล้ว หลิงม่อแทบไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเลย…
เสียงปืนทำให้หลายคนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น บางคนก็ยังมีความคิดที่จะเคลื่อนไหว แต่พอหันไปเห็นชายแว่นดำ พวกเขากลับลังเลขึ้นมาอีกครั้ง
เขาคนนี้เป็นใครกัน?
แล้วคนที่อยู่กลางอากาศนั่น แย่งตัวชายแว่นดำไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
หัวหน้าทีมวิจัยที่ยกมือกุมศีรษะและนั่งยองๆ อยู่ก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเหมือนกัน เขาเองก็กำลังลอบคาดเดาแรงจูงใจของหลิงม่ออยู่ในใจเงียบๆ
ดูจากรูปการ หมอนั่นคงต้องการจะจับตัวประกัน แล้วค่อยหันมาเจรจากับพวกเขาสินะ…
“แต่เขาคิดง่ายเกินไปแล้วมั้ง บอสใหญ่จะปล่อยพวกเขาไปเพื่อแลกกับคนคนเดียวได้ยังไง…” หัวหน้าทีมวิจัยคิดอย่างนี้ พลางหันกลับไปมองในตัวรถ
เขาหันไปมองอย่างได้ใจ แต่กลับพบว่าสีหน้าของบอสใหญ่เปลี่ยนไป!
ไม่ใช่ทั้งโกรธขึ้ง และไม่ใช่ชั่วร้าย แต่เป็นเป็นสีหน้าที่เหมือนกำลังถูกใครบีบหัวใจ
หรือพูดให้ชัดก็คือ บอสใหญ่ของเขากำลังเบิกตากว้าง มุมปากกระตุกสั่น เขานั่งพิงโซฟาเหมือนคนไม่มีแรง และสายตาของเขาก็กำลังจับจ้องไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย พอลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าปากของเขากำลังพยายามสูดอากาศ ราวกับว่าลมหายใจติดขัดอย่างไรอย่างนั้น
“บอสใหญ่…”
หัวหน้าทีมวิจัยวิ่งย่อตัวเข้าไปหาเขา แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไรใช่ไหม? บอสใหญ่?”
หลังจากตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง จู่ๆ หัวหน้าทีมวิจับก็เริ่มหัวใจเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง เขาเหมือนจะจับประเด็นสำคัญได้รางๆ แล้ว แต่กลับไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ในเวลาสั้นๆ…
ขณะเดียวกับที่หลิงม่อลงมือ เขาได้หันไปส่งสัญญาณมือให้พวกมู่เฉินอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินจ้องมองเขาตลอดอยู่แล้ว อารมณ์ของเขาขึ้นๆ ลงๆ ตามทุกการเคลื่อนไหวของหลิงม่อด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ พอเห็นสัญญาณที่ถูกส่งมา มู่เฉินก็อยากจะร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบแก้มเลยทีเดียว
“เจ้าหัวหน้าทีมจอมแหลนั่น…”
เขาบ่นขมุบขมิบ พลางช่วยเหล่าหลันให้คลานออกมาจากใต้ท้องรถ
หลันหลันยังหันไปมองทางหลิงม่ออยู่ ปากก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ช่างเป็นคนที่มีความกล้าจริงๆ…”
“รีบไปเถอะน่า!”
มู่เฉินลากเหล่าหลันออกมาเสร็จ ก็รีบมุดตัวแทรกผ่านช่องแคบระหว่างท้ายรถกับตาข่ายเหล็ก จากนั้นก็วิ่งย่อไปยังประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“พวกเราไม่ไปทางรูโหว่นั่นแล้วหรอ?” เหล่าหลันยังคงถาม
“หลิงม่อให้พวกเราไปทางประตูหน้า!” มู่เฉินพูด แต่ในใจตัวเองกลับลอบเต้นโครมคราม
เจ้าหลิงม่อ กล้าเกินไปแล้ว…
แย่งตัวคนต่อหน้าธารกำนัล แล้วยังให้พรรคพวกของตัวเองหนีออกไปทางประตูหน้าอีก…
ถึงสมาชิกระดับสูงของนิพพานจะไม่โมโหจนอกแตกตาย แต่ก็ต้องโมโหจนเพลิงโทสะลุกท่วมท้องแน่นอน!
พอวิ่งเข้าไปใกล้ สีหน้าของมู่เฉินก็เริ่มดูประหลาดไป ส่วนหลันหลันนั้นกลับอ้าปากกว้าง
ปืนกลสองลำนั้นลั่นไกอย่างดุเดือด แต่ปากปืนกลับไม่ได้เล็งไปยังคน เพียงแค่ยิงข่มไม่ให้พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น…พอพวกเขาขยับ ปากปืนก็กดต่ำลง แล้วยิงข่มให้พวกเขาก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
ใครจะกล้าเผชิญหน้ากับลูกปืนกันล่ะ?…
ปืนกลเบาประเภทนี้ต้องอาศัยการกดไกเพื่อยิงออกไป และปืนกลสองลำนี้ก็ “ควบคุม” โดยเจ้าหน้าที่ยามสองคนที่ถูกมัดตัวติดฐานปืนกลไว้
สองคนนี้เหมือนถูกตีจนสลบไปแล้ว นิ้วชี้ของพวกเขาถูกคนจัดวางให้อยู่บนไกปืน
แต่ทำไมนิ้วของพวกเขาถึงได้กดลงไปในขณะที่พวกเขาไม่ได้สติอย่างนี้ จุดนี้มู่เฉินเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“อาจเป็นเพราะฟ้ามืดเกินไป จนเรามองเห็นไม่ชัดล่ะมั้ง…” เขาทำได้เพียงคิดอย่างนี้
หลันหลันกับเหล่าเหลันเองก็ตะลึงเหมือนกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ถูกมู่เฉินเร่งให้วิ่งผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไปที่ประตูทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“ทำไมปืนนั่นไม่ยิงไปที่คนล่ะ?” หลันหลันวิ่งไปด้วย ถามไปด้วย
มู่เฉินเกือบจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง แล้วมองหน้าหลันหลันอย่างตกใจ “เพราะจะทำให้มีคนตายเยอะมากน่ะสิ”
“พวกนายไม่กลัวว่าต่อไปจะถูกไล่ล่าหรอ?” หลันหลันกระพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา แล้วบอกว่า “นี่ฉันกำลังคิดแทนพวกนายอยู่นะ”
“ฆ่าพวกเขาตอนนี้ แล้วจะต่างอะไรกับฆาตกรโรคจิตล่ะ? ต่อไปก็ไม่แน่ว่าคนพวกนี้เลือกที่จะวิ่งเข้าหาความตายนี่ ผ่านเรื่องวันนี้ไป หากพวกเขาคิดจะหาเรื่องพวกเรา ก็คงต้องพิจารณาถึงกำลังของตัวเองให้ดีก่อน” มู่เฉินบอก
“พูดเหมือนนายก็ร้ายกาจมากอย่างนั้นแหละ…” หลันหลันตัดบทอย่างไร้เยื่อใย
เหล่าหลันกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าพวกนายโหดเหี้ยมขนาดนั้นจริงๆ ฉันเองก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ความฝันจะสำคัญ แต่จะโยนลูกสาวเข้ากองไฟก็ไม่ได้นี่นา”
“ตาเฒ่าคนนี้มีเหตุผลไม่น้อยเลยนะ…แต่ขอล่ะ ช่วยสั่งสอนลูกสาวตัวเองให้ดีๆ ก่อนได้ไหม!” มู่เฉินพูดขึ้นอย่างเอือมระอา
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังมาจากด้านหลัง “มีคนหนีไปทางประตูหน้าแล้ว!”
“คนนั้น…เหมือนจะเป็นรองหัวหน้าทีมวิจัยนี่!”
หัวหน้าทีมวิจัยเพิ่งจะหันไปเร่งคนให้ไปแย่งตัวชายแว่นดำกลับมา พอได้ยินเสียงตะโกนนี้ดังขึ้น ก็ถึงกับหน้ามืดขึ้นมาทันที
—————————————————————————–