บทที่ 805 การวิ่งอย่างบ้าคลั่งบนบันได
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลันหลันก็ถามขึ้นว่า “เมื่อกี้…เสียงอะไร? คงไม่ใช่ซอมบี้หรอกนะ?”
ก่อนขึ้นมาพวกเขาจัดการซอมบี้ไปไม่น้อยแล้ว แต่ทางเข้าบันไดค่อนข้างอยู่ในที่ลับ ซอมบี้จะตามขึ้นมาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?
และถึงจะเป็นซอมบี้จริง แต่ก็ไม่น่าจะสร้างเสียงอย่างนี้ขึ้นมาได้
เสียงเมื่อกี้ หากฟังดูดีๆ ไม่มีทางที่มันจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตแค่หนึ่งตัวหรือสองตัวแน่นอน…
ไม่ใช่แค่หลันหลัน คนอื่นๆ ก็เริ่มตระหนักได้แล้วเหมือนกัน
แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาทุกคนกลับพร้อมใจกันหันไปมองหลิงม่อเป็นตาเดียว และรอฟังการตัดสินใจของเขาอย่างพร้อมเพรียง
“…ไม่คิดจะปกปิดแม้กระทั่งเสียงแล้วสินะ? แต่จำนวนคนมีไม่น้อยเลยจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ คงจะให้พวกเสี่ยวป๋ายขวางไว้ไม่ได้แล้ว…”
หลิงม่อเงียบไปสองวินาที แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น “ไป! ขอแค่ขึ้นไปถึงดาดฟ้าได้ พวกเราก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ!”
“นั่นมันรนหาที่ตายชัดๆ เลยนะ…” เหล่าหลันเตือน
“เรื่องนั้นฉันรู้…ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ไปกันเถอะ!”
สิ้นเสียงเด็ดขาดของหลิงม่อ ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หลันหลันที่เพิ่งจะหันกลับมา รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจับแขน จากนั้นเธอก็คล้ายตาลายขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะพบว่าตัวเองถูกกระชากให้ออกวิ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
เธอเงยหน้ามอง แล้วก็เห็นว่าคนที่กระชากเธอให้วิ่งกลับเป็นสวี่ซูหานที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจามาตลอดทาง แต่ผู้ประกาศข่าวสาวคนนี้กลับสวมหมวกผ้ากันแดดรูปทรงประหลาดบังหน้าไว้ จึงมองไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่…
เหล่าเจิ้งที่อยู่อีกด้านก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยเหมือนกัน คอเสื้อด้านหลังของเขาถูกเคียวดาบเกี่ยวไว้ และถูกซย่าน่าลากขึ้นไปข้างบนด้วยความเร็วสูงทันที
แม้แต่ชายแว่นดำก็ยังถูกมู่เฉินยื่นมือออกมากระชากไว้ด้วย หลังจากคำรามเสียงต่ำ ความเร็วของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นในพริบตา
ชั่วพริบตา พวกหลิงม่อวิ่งขึ้นไปข้างบนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเลยทีเดียว
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ชายแว่นดำตกตะลึง…ที่แท้หลิงม่อก็มีแผนรับมือแต่แรกแล้วงั้นหรอ?
ในทีมของหลิงม่อมีสมาชิกสี่คนที่ร่างกายอ่อนแอ หากจะให้สมาชิกทีมอีกครึ่งที่เหลือแบกพวกเขาสี่คนเดินทางตลอดห้าวัน นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในสถานการณ์คับขัน พวกเขากลับสามารถใช้วิธีที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ได้ และเมื่อใช้วิธีนี้ พวกเขาก็จะสามารถรักษาจุดแข็งของตัวเองไว้ได้มากที่สุด เพื่อเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
อย่างเช่นในตอนนี้ ความจริงแล้วมีคนเพียงคนเดียวในทีมเท่านั้นที่กำลังใช้พลังงานอย่างมหาศาล นั่นก็คือมู่เฉิน…แต่เหล่าสมาชิกทีมที่เป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้ กลับไม่มีใครได้ใช้กำลังมากนัก
และในบรรดาคนเหล่านี้ เหล่าเจิ้งก็ถือเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษ เพราะถึงแม้เขาจะใช้เรี่ยวแรงไปมาก แต่ความสามารถพิเศษของเขากลับไม่พึ่งพาเรี่ยวแรงทางกายมของเขาแต่อย่างใด…
อาจดูเหมือนเป็นการวิ่งหนีธรรมดา แต่ความจริงหลิงม่อกลับวางแผนอย่างละเอียดไว้ก่อนแล้ว
ตรงจุดนี้ ชายแว่นดำเพิ่งจะมาสังเกตเห็นเอาป่านนี้…
“แต่การกระทำหลายอย่างของเขาก็ยังมีจุดน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย สาเหตุที่ต้องปิดบังไว้ คงเป็นเพราะไม่ไว้ใจฉันสินะ?” ชายแว่นดำคิดในใจ “หึหึ ก็จริง เพราะจริงๆ แล้ว ฉันก็เป็นคนคนเดียวกับที่ไล่ล่าเขานี่ คิดจะหลบหนีต่อหน้าต่อตาศัตรูอย่างนี้ ดูแล้วหมอนี่คงเป็นคนชอบเสี่ยงสินะ…”
ไม่ว่าเสียงที่ดังมาจากข้างล่างจะเป็นเสียงอะไร แต่ทุกคนกลับสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างชัดเจน และการตอบสนองต่อสถานการณ์ของหลิงม่อก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว…
ในระหว่างห้าวันที่พวกเขาเร่งเดินทางโดยไม่หยุดพัก เหล่าเจิ้งและหวังหลิ่นที่เดิมไม่รู้เรื่องนักก็เริ่มเข้าใจความจริงมากขึ้นแล้ว หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความช็อกในตอนแรกไป พวกเขาก็ยอมรับความจริงนี้ได้อย่างเงียบๆ ในเวลาต่อมา ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเหอหงเยี่ยนในตอนนั้น พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าจากนิพพานอยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องมันก็แค่ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง
เพียงแต่อีกฝ่ายดันตามมาทันในเวลานี้ พวกเขาจึงอดรู้สึกตื่นตระหนกและลนลานไม่ได้
“ทำไมพวกเขาตามมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?” เหล่าเจิ้งอ้าปากถามอย่างยากลำบาก
ตอนนี้หลิงม่อกับเย่เลี่ยนเปลี่ยนมาวิ่งรั้งท้ายอยู่ข้างหลังทุกคน พอได้ยินก็ตอบว่า “เพราะทางเส้นนี้ใกล้ที่สุด และเป็นทางที่พวกนิพพานใช้กันมากที่สุด เหมือนเป็นเส้นทางลับเฉพาะนั่นแหละ”
“หา? ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็…” หวังหลิ่นตกใจ เธอลังเลไปชั่วขณะ แต่กลับอดพูดต่อไม่ได้ว่า “พวกเราก็เท่ากับรนหาที่ตายน่ะสิ?”
คำพูดของเธอสื่อความในใจของเหล่าเจิ้งและคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี…ใครเขาหนีกันอย่างนี้วะเนี่ย?!
“ดูเผินๆ อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่เธอลองคิดดูดีๆ อีกครั้งสิ ทีมที่ออกมาไล่ล่าพวกเราต้องไม่ใช่แค่ทีมเดียวแน่นอน และพวกเขาต้องเป็นผู้มีความสามารถพิเศษทุกคน ยิ่งกว่านั้นคนที่สามารถจับร่องรอยของพวกเราได้ก็คงมีไม่น้อย ดังนั้นไม่ว่าพวกเราจะใช้เส้นทางไหน ก็ต้องถูกคนพวกนั้นตามหลังมาอยู่ดี ฉะนั้นการเดินอ้อมไปอ้อมมาจึงไม่มีประโยชน์”
“อีกอย่างไม่ว่าจะเดินอ้อมยังไง พวกเราก็ต้องเดินกลับไปยังเส้นทางหลักอยู่ดี การเดินทางในป่าเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเราอยู่แล้ว และเมืองเฮยสุ่ยก็เป็นถิ่นของพวกนั้น เรื่องชำนาญเส้นทางพวกนั้นได้เปรียบเราแน่นอน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราสู้เลือกใช้ทางลัดที่ใกล้ที่สุด เพื่อจะได้ถึงปลายทางเร็วๆ และสลัดพวกนั้นให้หลุดอย่างเร็วที่สุดไม่ดีกว่าหรอ?”
หลิงม่ออธิบายรัวและเร็ว ในเวลาคับขันอย่างนี้ เขาไม่อยากให้เหล่าสมาชิกทีมลนลานมากเกินไป
เหล่าเจิ้งและคนอื่นๆ ยังคงเงียบกริบ แต่ชายแว่นดำกลับตะลึงตาค้างไปแล้ว
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีนี้ดึงสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายให้เท่าเทียมกันเสียเลย…นี่คือความคิดที่หลิงม่อต้องการจะสื่อออกมา
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่ต้องบอกว่า วิธีการที่ตรงไปตรงมาอย่างนี้ของหลิงม่อ กลับเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดแล้ว…
เพียงแต่ว่า…
“ตกลงจุดหมายปลายทางคือที่ไหนกันแน่? อย่าบอกนะว่าเป็นที่นี่?” หลันหลันอดถามขึ้นไม่ได้
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งด้วยความเร็วดังขึ้นรางๆ
“เหล่าเจิ้ง!” หลิงม่อตะโกนขึ้นทันที
เหล่าเจิ้งที่ถูกเรียกชื่อได้สติกลับคืนมาทันที เขารีบรับคำ จากนั้นสายตาก็แปรเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นขึ้นมาทันใด
บันไดด้านหลังหลิงม่อพลันเกิดคลื่นพลังบางอย่างขึ้น แสงสว่างเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเสียง “แกร่ก แกร่ก” ดังขึ้นเบาๆ รอยแยกและใยแมงมุมมากมายก็พลันปรากฏขึ้นมา
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังออกมาจากในรอยแยกบนกำแพงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีเงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์มุดออกมาจากในนั้นครึ่งตัว และพยายามดิ้นรนอยู่บนนั้นอย่างทุกข์ทรมาน เสียงกรีดร้องเหล่านี้ราวกับเสียดแทงผ่านเยื่อแก้วหูและดังเข้าไปในสมอง จนชวนให้รู้สึกลนลานทำอะไรไม่ถูก…
ถึงแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่การต้องมองดูโลกมายาถูกสร้างขึ้นต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ทุกคนต่างก็ยังตกตะลึงไปตามๆ กัน
เมื่อโลกมายาค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ขอบตำคล้ำของเหล่าเจิ้งก็ยิ่งคล้ำลงกว่าเดิม เขาพูดอย่างอ่อนล้าว่า “ที่นี่สภาพแวดล้อมตายตัวเกินไป ถ้าหากอีกฝ่ายมีพลังจิตเหมือนกัน คงจะถ่วงเวลาได้ไม่นาน! บวกกับต้องสร้างผลกระทบที่ไร้ความต่าง ประสิทธิภาพที่ได้ต้องลดลงมากอย่างแน่นอน”
“ผลกระทบที่ไร้ความต่าง”เป็นศัพท์เฉพาะที่เหล่าเจิ้งใช้ ซึ่งหมายถึงโลกมายาที่ไร้คนคอยบงการ ถ้าไม่อย่างนั้นหากให้เหล่าเจิ้งเป็นคนคอยควบคุมโดยตรง โลกมายาก็จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ จนกระทั่งอาจกลายเป็น “โลกใบน้อย” ขึ้นมาเลยก็ได้…
“ไม่เป็นไร นายเก็บพลังจิตเอาไว้ อีกเดี๋ยวยังต้องวานให้นายร่วมมือกับฉันอีก” หลิงม่อบอก
“ยังเหลืออีกกี่ชั้น?” ในตอนนี้เอง จู่ๆ มู่เฉินก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เหล่าหลันตอบอย่างมั่นใจมากว่า “ยังเหลืออีกแปดชั้น” มีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์ในฐานะหนอนหนังสือได้…
“แปดชั้นหรอ…” หลิงม่อคำนวณในใจ แล้วก้มมองอุปกรณ์ในมือ “น่าจะพอแล้ว…”
“นะ…น่าจะ?” มู่เฉินโวยวาย แต่กลับไม่ได้วิ่งช้าลงแต่อย่างใด…
เอาวะ ‘น่าจะ’ ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลยตั้งเยอะ!
เจ็ดชั้น…
ห้าชั้น…
“อ๊ากก!”
ทันใดนั้น เสียงลั่นร้องก็ดังมาจากชั้นล่าง และไม่นานเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยก็ดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง แต่หลังจากได้ยินเสียงนี้ ทุกคนกลับไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พวกเขายิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม
“ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ตกใจได้แค่คนสองคนเท่านั้น…” เหล่าเจิ้งพูดด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
“ไม่แปลกหรอก ก็นายสร้างขึ้นมาแบบลวกๆ แต่พวกที่มาไล่ล่าฉัน ต้องมีฝีมือมากแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามมาทันเร็วขนาดนี้” หลิงม่อกลับส่ายหน้าพูดขึ้น เขาไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจเหล่าเจิ้ง เพียงแต่กำลังวิเคราะห์บนพื้นฐานของความจริง การทำความเข้าใจพลังของคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุด เป็นกลยุทธ์สำคัญในการต่อสู้
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ซย่าน่าก็พูดขึ้นว่า “พี่หลิงไม่ได้คิดจะใช้โลกมายาถ่วงเวลาพวกเขาอยู่แล้ว แต่ยังไงต่อไปพวกเขาจะต้องระวังตัวมากขึ้นแน่นอน ถ้าหากพวกเขาช้าลง พวกเราก็จะมีเวลามากขึ้น”
“ที่แม้ก็อย่างนี้นี่เอง…แต่…” เหล่าเจิ้งขมวดคิ้วอย่างสงสัย ตกลงว่าบนดาดฟ้ามีอะไรอยู่กันแน่?
อีกสองชั้น!
หลายสิบวินาทีผ่านไป พวกหลิงม่อก็เห็นประตูเหล็กบานหนึ่งปรากฏอยู่ข้างหน้าพวกเขา
“เข้าไปกันก่อนเลย!”
หลิงม่อกลับชะงักเท้าก่อนที่ประตูเหล็กบานนั้นจะถูกเปิดออก จากนั้นก็หันไปคว้าแขนเย่เลี่ยนให้หยุด “เด็กโง่ เธอเฝ้าประตู” จากนั้นเขาก็หันไปมองเหล่าเจิ้งที่ถูกปล่อยตัวลงมา บอกว่า “เหล่าเจิ้งตามฉันมา รุ่นพี่ก็อยู่ด้วยแล้วกัน ที่เหลือเข้าไปให้หมด”
—————————————————————————–