“พูดตามจริงนะ ผมเสียใจจริงๆ เป็นทหารรับจ้างมาหลายปี หาเงินได้ไม่น้อย แต่ท่านไม่รู้หรอกว่าทหารรับจ้างเป็นอาชีพที่ไม่รู้ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ไหม ไม่มีใครรู้ว่าจะตายพรุ่งนี้หรือเปล่า พวกเราเลยไม่เก็บเงิน มีเงินก็ใช้ กินดื่มเที่ยวผู้หญิงกินแต่เนื้อ นอกจากดูดกัญชาแล้ว เราแทบจะลองอาหารเลิศรสมาแล้วทั้งหมด ตอนนั้นก็คิดว่าชีวิตดีจริงๆ ตอนนี้มาคิดดู ผมอยากตบปากตัวเองตอนนั้นจริงๆ!
อาหารเลิศรสอะไรนั่นเทียบไม่ได้กับเส้นผมลูกสาวผมเส้นหนึ่งด้วยซ้ำ…” พูดถึงตรงนี้หานเซี่ยวกั๋วก็คลำกระเป๋าอย่างเคยชิน แต่ร่างเปลือยอยู่ จะหากระเป๋าจากไหน? เขากำลังหาบุหรี่ต่างหาก
เขาไม่พกบุหรี่มานานแล้ว ฟางเจิ้งก็ไม่สูบบุหรี่ แน่นอนว่าไม่มี
ดังนั้นหานเซี่ยวกั๋วเลยได้แต่ถอนหายใจ พูดต่อ “ไม่มีเงิน เห็นอาการลูกสาวหนักขึ้นทุกวัน หัวใจผมเหมือนมีคนกำลังเอามีดฟัน! แต่ลูกสาวผมเห็นผมหน้ามุ่ยยังจับมือผมและร้องเพลงให้ฟัง ปลอบใจผม…ท่านรู้ไหม เสียงเธอเพราะมาก แต่มันกลับกำลังทุบตีหัวใจผมในใจ เจ็บมากเลยล่ะ”
“ไม่มีทางเลือกจริงๆ ผมถึงวางแผนปล้นรถขนเงิน ไม่มีเวลาดูลาดเลาเลยอาจต้องฆ่าคน! ผมรู้ว่าจะหนีจากการสะกดลอยยังไง เลยพกปืนกับมืดที่เก็บไว้ดูสมัยเป็นทหารรับจ้างมาด้วย อาศัยจังหวะที่พวกเขาลงรถขนย้ายเงินทำการปล้น
ผมไม่อยากฆ่าคน แต่คนคุ้มกันนั่นไม่ยอม มือหัก แถมยังกอดกระเป๋าเงินไม่ยอมปล่อย ไม่มีทางเลือก ผมถูกจับไม่ได้ ผมต้องหนี จำเป็นต้องฆ่าเขา! ไต้ซือ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากฆ่าใคร แต่ผมไม่มีทางเลือก!” หานเซี่ยวกั๋วคลึงศีรษะด้วยความเจ็บปวด
ฟางเจิ้งกล่าว “ถ้างั้นทำไมถึงจะฆ่าอาตมา?”
“ฆ่าคนนึงก็คือฆ่า ฆ่าสองคนก็คือฆ่า ขอแค่ไม่เปิดเผยร่องรอยและส่งเงินไปรักษาลูกสาวผมได้ ผมยอมแบกรับบาปกรรมไว้ทั้งหมด!” หานเซี่ยวกั๋วตอบกลับอย่างแน่วแน่
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย มองหานเซี่ยวกั๋วอย่างสงบนิ่งพลางถาม “อาตมาช่วยลูกสาวโยมได้เชื่อไหม?”
“ไต้ซือ ท่านช่วยลูกสาวผมได้?” หานเซี่ยวกั๋วอึ้ง ถ้าเป็นตามจิตใต้สำนึกเขาไม่เชื่อ! แต่พอตรึกตรองดูแล้วฟางเจิ้งใช่คนธรรมดาหรือ? ปืนฆ่าไม่ตาย ฝนตกไม่เปียก ใครเคยเห็นบ้าง? ไม่มีใครเคยได้ยิน! หลวงจีนมหัศจรรย์แบบนี้บางทีอาจมีวิธีรักษาลูกสาวเขาจริงๆ! อย่างน้อยโรงพยาบาลก็ทำไม่ได้ อาการก็ร้ายแรงอยู่ในช่วงปลาย ต่อให้ใช้ยาก็ใช้ได้สักระยะ ต่อเวลาลูกสาวเขาเท่านั้น
“อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ช่วยได้จริงๆ แต่อาตมาลงเขาไม่ได้ ต้องให้ลูกสาวโยมขึ้นเขามาที่นี่เอง” ฟางเจิ้งนึกถึงยาเม็ดนั้นของตน น่าจะช่วยลูกสาวหานเซี่ยวกั๋วได้ ตัวเขาไม่ป่วยอยู่แล้ว กินข้าวผลึกดื่มน้ำบริสุทธิ์ในโอ่งพุทธทุกวัน ฝึกวิทยายุทธ์ประกอบกับมีจีวรขาวจันทร์ปกป้อง โดยพื้นฐานแล้วไม่ต้องใช้ยารักษานี่ สู้ส่งออกไปแลกเป็นบุญกุศลดีกว่า
นอกจากนี้ ฟางเจิ้งก็เห็นใจจากคำพูดของหานเซี่ยวกั๋วจริงๆ เด็กหญิงสามสี่ขวบคนหนึ่งไม่ควรรับความเจ็บปวดแบบนี้
“ขอบคุณมากครับไต้ซือ!” หานเซี่ยวกั๋วคุกเข่าลงกับพื้น เอาหัวโขกดังโป๊กๆๆ
ฟางเจิ้งประคองหานเซี่ยวกั๋วขึ้นมา แต่หานเซี่ยวกั๋วออกแรงจะคุกเข่าให้ได้จึงพบกับเรื่องน่าตกใจ ฝ่ามือฟางเจิ้งราวกับเหล็กกล้า เขาไม่มีแรงต่อต้านเลย! นี่ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าฟางเจิ้งเป็นนักบวชเทพรุ่นหนึ่ง พระอาจารย์ชั้นสูงหรือพระเกจิ
ฟางเจิ้ง “อาตมาจะไม่ให้ยานี่กับโยมเปล่าๆ หรอกนะ”
“ผมซื้อ! ผมจะให้เงินทั้งหมดที่นี่!” หานเซี่ยวกั๋วตอบตามจิตใต้สำนึก
ฟางเจิ้งส่ายหน้า ยิ้ม “อาตมาเป็นนักบวชในป่าเขาจะเอาเงินพวกนี้ไปทำไม?” แต่กลับคิดในใจว่า ‘แกไม่บริจาคล่ะ เอามาให้ฉันทำไม ฉันเอามาก็ไม่มีประโยชน์!’
หานเซี่ยวกั๋วไม่รู้ว่าฟางเจิ้งกำลังคิดอะไรจึงเกาหัว “ไต้ซือ ท่านไม่ต้องการเงิน แล้วต้องการอะไร?”
“ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง วางมีดสังหารลง บรรลุธรรมะ” ฟางเจิ้งตอบอย่างเคร่งขรึม
หานเซี่ยวกั๋วนึกอะไรได้จึงจ้องฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งจ้องตาอีกฝ่าย ดวงตามั่นคง เรืองรองดั่งดารา!
พอเห็นนัยน์ตาฟางเจิ้ง หานเซี่ยวกั๋วก็นึกถึงร่างเงาที่เปล่งแสงสว่างแห่งพุทธข้างหลังตอนที่สติพร่าเลือน…จึงกัดฟันพูดไป “ไต้ซือ ผมเข้าใจแล้ว! วางใจเถอะ ขอแค่ลูกสาวผมหายป่วย ผมจะไปมอบตัวเอง!”
“อมิตพุทธ” ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าวิธีที่ตนทำจะนับว่าชี้แนะให้อีกฝ่ายกลับตัวได้หรือไม่ แต่ว่าเขาทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ใช้คำพูดและการกระทำแห่งจิตวิญญาณเปลี่ยนนิสัยคนในระดับที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ให้อีกฝ่ายรู้ความผิดตัวเอง ส่วนเขาเองยังไม่รู้เลยว่าทำได้ยังไงเหมือนกัน
ฟางเจิ้ง “โยมมีวิธีให้ลูกสาวมาที่วัดเอกดรรชนีไหม?”
หานเซี่ยวกั๋วพยักหน้า “ผมโทรหาภรรยาเก่าได้ครับ ให้เธอพาหมี่ลี่มาเขาเอกดรรชนี”
“ภรรยาเก่า?” ฟางเจิ้งงุนงง
“อืม…ภรรยาเก่า ช่วงหนึ่งที่ผมปล้นเพื่ออยู่รอดได้ทำหนังสือหย่าวางไว้ในบ้านแล้ว และยังมีจดหมายฉบับหนึ่ง ผมเชื่อว่าเธอเชื่อ น่าจะเซ็นแล้ว” หานเซี่ยวกั๋วพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฟางเจิ้งส่งมือถือให้หานเซี่ยวกั๋ว เขารับไป เงียบอยู่ครู่หนึ่งถึงต่อหาสายคุ้ยเคย อารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และมีความกลัวและกังวลบ้าง…เขาค่อยๆ เดินออกจากห้อง ฟางเจิ้งไม่ได้ตามไป เขาไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวคนอื่นขนาดนั้น
แต่ผ่านไปไม่นานหานเซี่ยวกั๋วก็วางมือถือลงด้วยหน้ามืดทะมึน
“ไต้ซือ ภรรยาผมไม่ยอมพาลูกสาวมา เธอให้ผมมอบตัวเพื่อจะได้ผ่อนปรน แลกเป็นโอกาสได้พบหน้าลูกสาว อาการป่วยลูกสาวผมหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” หานเซี่ยวกั๋วนั่งลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ฉุดดึงเส้นผมอย่างแรง ชายที่เดิมทีหลักแหลมและโหดเหี้ยม ตอนนี้นั่งร้องไห้
ฟางเจิ้งถอนหายใจเบา ไม่พูดอะไร เขาออกจากวัดเอกดรรชนีไม่ได้ หานเซี่ยวกั๋วก็ไม่มีทางไปได้ ภูเขาเอกดรรชนีมีทางเดียว ลงเขาจะต้องถูกจับแน่ อีกอย่างต่อให้อยู่บนเขาก็ต้องถูกจับไม่ช้าก็เร็ว
ส่วนจะช่วยหานเซี่ยวกั๋วอ้อมผ่านตำรวจลงเขา? ฟางเจิ้งไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แม้หานเซี่ยวกั๋วจะเป็นแกะต่อหน้าเขา แต่ต่อหน้าคนอื่นกลับเป็นหมาป่าที่ดุร้ายที่สุด ควบคุมตัวเองไม่ได้บ่อยครั้งมาก แถมยังฆ่าคนอีก จะช่วยเขาลงเขาย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่ส่งเสริมความผิดต่างหาก!
หานเซี่ยวกั๋วร้องไห้อยู่พักหนึ่งแล้วกัดฟัน ยืนขึ้น “ไต้ซือ ยังมีวิธีสุดท้าย แต่ว่าผมต้องให้ท่านรับประกันว่าจะช่วยลูกสาวผมได้แน่!”
ฟางเจิ้งประนมมือ พอคาดเดาได้บ้างแล้วจึงถอนหายใจ “อมิตพุทธ อาตมาใช้หัวรับรองให้โยมได้ว่าถ้าลูกสาวโยมมาที่นี่ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแข็งแรงแน่นอน แต่พวกเราต้องทำกฏสามข้อ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะไม่ช่วยลูกสาวโยม”
…………………………