บทที่ 816 รนหาที่ด้วยตัวเอง
Ink Stone_Fantasy
“แอ๊ด…”
เมื่อประตูถูกปิดลงช้าๆ ชายแว่นดำก็เริ่มมีสีหน้าลนลานขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินตามหลิงม่อเข้ามาในห้อง ในสมองของเขาก็มีความคิดผุดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน แต่จะไม่พูด หรือพูดอะไร เขากลับคิดไม่ได้ซักที
ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นหลิงม่อถามเขาเกี่ยวกับเรื่องเส้นทาง ตอนนี้สิ่งที่เจ้าหมอนี่อยากรู้ จะต้องเป็นข้อมูลลับเกี่ยวกับคลังเก็บเสบียงอาหารแน่นอน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงม่อถึงไม่ส่งมอบตัวเขาตั้งแต่แรก กระทั่งทำไมถึงไม่กลับไปที่ฟอลคอนทันที แต่กลับมาอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างกันดารอย่างนี้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาให้ความสำคัญ
สิ่งที่เขากำลังคิดมีอยู่เพียงเรื่องเดียว : หรือว่า…เขาต้องหักหลัง “ตัวเอง” จริงๆ?
ความรู้สึกอย่างนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ถึงแม้เป็นเพราะระยะทางที่ไกลออกไปเรื่อยๆ สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับร่างจริงรวมถึงร่างแยกอื่นๆ จึงถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงไปแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำทั้งหมดที่อยู่ในสมองของเขาล้วนเป็นของบอสใหญ่ พอถึงเวลาที่ต้องหักหลังตัวเองจริงๆ เขาก็อดรู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้…
ชายแว่นดำในตอนนี้ไม่หลงเหลือความยโสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ด้านหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาเลือกยอมจำนนชั่วคราว ในอีกด้าน เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังมาก และเมื่อหลิงม่อเปิดปากพูดประโยคแรกออกมาอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดของเขาก็พุ่งปรี๊ดขึ้นจนแทบจะทำให้เขากระอักเลือดออกมา
“อย่ายืนอยู่เลย นั่งเถอะ คราวนี้เห็นแก่ที่แกมีผลงานไม่น้อย” หาได้ยากที่หลิงม่อจะทำตัวอ่อนโยน ทว่าขณะที่พูด เขากลับล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้เงียบๆ และจ้องศีรษะของชายแว่นดำอย่างสนอกสนใจ
ชายแว่นดำหงุดหงิด “…ผลงาน…ผลงานบ้าอะไร! ข้าเป็นบอสใหญ่ของนิพพานนะโว้ย! หมายถึงหนึ่งในร่างแยกของบอสใหญ่น่ะ! แกช่วยใส่ใจความรู้สึกของเชลยบ้างได้ไหม การกระทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากการทรมานเลยซักนิด!” เขาในฐานะบอสใหญ่ของนิพพานกลับทำได้เพียงมองดูศัตรูหนีไปอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อ แค่ความรู้สึกนี้ก็แย่มากแล้ว แต่ถ้าหากเส้นทางที่อีกฝ่ายใช้หนีเป็นเส้นทางที่ตัวเองบอกล่ะ? และถ้าหากมันเป็นเส้นทางที่ตัวเองบอกอย่างเต็มใจล่ะ?
มันไม่ใช่แค่รู้สึกแย่แล้ว แต่แทบจะทำให้บ้าได้เลยต่างหาก!
คำพูดที่เหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษของหลิงม่อ กลับเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดใส่กองไฟสำหรับชายแว่นดำ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการฟันเขาด้วยดาบซึ่งๆ หน้าเลยซักนิด! แถมไม่ใช่แค่โดนฟันเป็นบางส่วน แต่ถูกฟันไปทั่วร่างกายเลยต่างหาก!
“ไม่นั่งจริงหรอ? เฮ้อ งั้นก็ช่างเถอะ” หลิงม่อเดินไปหาเก้าอี้มานั่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ถามว่า “แกคิดไปถึงไหนแล้ว?”
“ไม่ถึงไหน…” ชายแว่นดำตวัดเสียงตอบอย่างหงุดหงิด ดวงตาที่เดิมก็เหลือกขาวอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งเหลือกขาวหนักกว่าเดิม บวกกับมันเอาแต่กลิ้งกลอกไปมาไม่หยุด จึงดูเหมือนคนที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่าน
“ความจริงฉันยังให้เวลาแกได้อีกหน่อย แต่เวลาที่จะให้เหลือไม่มากแล้ว” หลิงม่อไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจกับคำตอบของชายแว่นดำแต่อย่างใด เขายังคงพูดต่ออย่างใจเย็น “แกก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว”
ชายแว่นดำหัวใจกระตุกวูบ ลมหายใจพลันกระชั้นถี่ พลางรีบถาม “เรื่องอะไร?”
“เหอะๆ ดูไม่ออกจริงๆ หรอ? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง…” หลิงม่อพูดพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่…” ชายแว่นดำเบิกตากว้างจ้องหลิงม่อเขม็ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองจับประเด็นสำคัญบางอย่างได้รางๆ แต่กลับคิดไม่ออกว่ามันคือเรื่องอะไรกันแน่…
“ไม่ได้ไปฟอลคอน แต่มาที่คลังน้ำมันแทน…ทหารนายนั้นยังมีท่าทีเคารพเขามากด้วย…ใช่แล้ว เวลาพวกเขาคุยกัน ก็คุยกันลับหลังพวกเราตลอด ไม่ใช่แค่ปิดบังฉันคนเดียว แม้แต่พวกเหล่าหลันก็ยังถูกปิดบังด้วย…”
ยิ่งคิด ชายแว่นดำก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าสงสัย จู่ๆ ดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา “แก…แกตั้งใจมาที่นี่?”
“หมายความว่าไง?” หลิงม่อกลับไม่ได้ตอบคำถามเขาตรงๆ
“นายทหารคนนั้นรู้จักกับแกดี เขาต้องตั้งใจออกมารับแกโดยเฉพาะแน่นอน พวกแกไม่ไปฟอลคอน เพราะมีเรื่องต้องการปิดบังเบื้องบน?” ชายแว่นดำอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “แกคิดจะจับฉันไว้เพียงคนเดียว? ไม่ได้ทำเพื่อนิพพาน แต่คิดจะครอบคลองทุกอย่างเพียงคนเดียว? ฉันเข้าใจแล้ว…เข้าใจแล้ว! แกช่างทะเยอทะยาน…ฟอลคอนกลายเป็นแพะรับบาปแทนแก กลายเป็นผู้ปิดทองหลังพระให้แก! แต่ว่า…พวกนั้นก็สมควรโดนแล้ว…”
หลังจากพูดรัวเป็นชุด เขากลับพบว่าหลิงม่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยน เขาทั้งไม่เปิดปากปฏิเสธ แต่ก็ไม่คิดจะยอมรับเช่นกัน แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ชายแว่นดำก็ยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้องแล้ว…
“แกจะเอายังไง!” ชายแว่นดำหรี่ตา แล้วถาม
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความทะเยอทะยานอย่างนี้ ถ้างั้นเรื่องนี้…ใช่ว่าจะไร้หนทางเจรจาซะทีเดียว!
“โกดังเก็บเสบียงอาหารและคลังเก็บอาวุธล้วนอยู่ในเมืองอื่น บางที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารด้วยซ้ำ หากไม่มีการสนับสนุนจากฟอลคอน ถึงเขาจะได้ข้อมูลเหล่านี้ไปแต่ก็ไม่สามารถครอบคลองสิ่งของเหล่านั้นไว้แต่เพียงผู้เดียวอยู่ดี และหากฟอลคอนเสียผลประโยชน์ในครั้งนี้ไป ก็เท่ากับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย!รอให้ถึงวันที่สาขาย่อยของพวกเราขยายไปถึงสถานที่ตั้งโกดังเหล่านั้นก่อนเถอะ นิพพานไม่เพียงจะกลายเป็นค่ายผู้รอดชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทิศตะวันตก แต่จะกลายเป็นค่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั่วประเทศ…หรือกระทั่งทั่วโลกด้วยซ้ำ!”
ชายแว่นดำจ้องหลิงม่อ ในขณะที่ลอบยิ้มเย็นชาอยู่ในใจ “ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นคนทะเยอทะยานจนไม่ดูกำลังตัวเองขนาดนี้…ดูจากจุดเริ่มต้นของมันในตอนนี้ ถึงจะได้ครอบคลองโกดังซักแห่งสองแห่ง แต่ในระยะเวลาสั้นๆ มันก็ยังห่างชั้นกับนิพพานมาก และความห่างชั้นนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายอะไรที่หมอนี่กลืนลงไป มันต้องสำรอกกลับคืนมาให้ฉันทั้งหมด!”
คิดมาถึงตรงนี้ นิสัยยโสโอหังของชายแว่นดำก็เริ่มหวนกลับมา เพียงแต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกชาแปลกๆ ที่ลำคอ และเมื่อความรู้สึกนี้ชัดเจนขึ้นมา สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดไปทันที…
“แม่เอ็ง เกือบลืมไปเลยว่าไอ้ตัวประหลาดนั่นยังอยู่บนตัวฉัน!”
และในเวลานี้ ในที่สุดหลิงม่อที่เอาแต่เงียบก็เปิดปากพูด เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และวางปากกาแท่งหนึ่งลงบนสมุดเล่มนั้น “เขียนที่อยู่โกดังทุกแห่งมาให้หมด รวมถึงรายละเอียดสิ่งของและจำนวนที่ถูกเก็บไว้ในโกดัง ฉันต้องการรู้ทั้งหมดนั่น อย่ามาบอกกับฉันว่าแกรู้แค่คร่าวๆ เวลาที่แกเค้นถามคนพวกนั้น แกเองก็คงใช้สารพัดวิธีมาแล้วใช่ไหมล่ะ? อีกอย่าง…อย่าเล่นลูกไม้ แกรู้ว่าจะเจออะไรถ้าทำแบบนั้น”
พูดไป หลิงม่อก็ยกนิ้วชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มประหลาดออกมา
พอเห็นท่าทางอย่างนั้นของเขา ชายแว่นดำก็ร่างกายแข็งทื่อ ช่วงนี้ เจ้ามาสเตอร์บอลสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้เขาไว้ไม่น้อย…
“แกจะรับรองความปลอดภัยของฉันยังไง?” ชายแว่นดำกัดฟันกรอดถาม
หลิงม่อมองหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ บอกว่า “อย่างน้อยก็ต้องรอยืนยันว่าข้อมูลถูกต้องแม่นยำก่อน แกถึงจะมีสิทธิ์เจรจาต่อรองเรื่องเงื่อนไขกับฉันหรือเปล่า?”
ชายแว่นดำขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ยังคงมองไปที่สมุดเล่มนั้น เขายังคงสับสนกับเรื่องนี้มาก และถึงแม้เขาจะยอมประนีประนอมแล้ว แต่ก็ไม่มีทางยอมบอกข้อมูลทั้งหมดให้หลิงม่ออย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้พอเขาคิดได้ว่าในที่สุดเขาก็มีทางเอาคืนเจ้าหมอนี่แล้ว ชายแว่นดำก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“มันคงคิดว่าเล่นงานฉันได้อยู่หมัดแล้วสินะ…ก็ดี ฉันจะบอกที่อยู่ทั้งหมดให้แก แล้วคอยดูแกเดินเข้าไปหาความตายด้วยตัวเอง! หึหึหึ…แต่ว่า จะบอกง่ายๆ ไม่ได้…” ขณะที่ลอบหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ชายแว่นดำกลับแค่นเสียงเย็นชาออกมา แล้วบอกว่า “ฉันขอคิดดูอีกหน่อย…”
“อย่างนั้นหรอ” ไม่คิดว่าหลิงม่อจะไม่เค้นถามเขาต่อจริงๆ แต่จู่ๆ กลับเดินเข้ามาหาเขา ในขณะที่ถือขวดปริศนาไว้ในมือด้วย “งั้นก่อนหน้านั้น แกช่วยอะไรฉันเล็กๆ น้อยๆ หน่อยแล้วกัน…”
ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอันคุ้นเคยของหลิงม่อปรากฎ ชายแว่นดำก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ทว่าขณะเดียวกัน ความสงสัยสุดท้ายในใจเขาก็ได้หายไปด้วย…ถ้าหากหลิงม่อกำลังแสดงละคร ตอนนี้คงรีบสั่งให้เขาเขียนข้อมูลพวกนั้นแล้ว ไม่มีเวลามาทำเรื่องพวกนี้แน่นอน…
“เดี๋ยวนะ! ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ฉันควรแอบดีใจอยู่ดี!” ชายแว่นดำคำรามในใจ ปากก็ถามว่า “กะ…แกคิดจะทำอะไร…ฉันรับปากว่าจะให้ความร่วมมือแล้วนี่…อ๊ะ…อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นกะทันหันในห้องดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที ทว่านอกจากหวังหลิ่นและเหล่าเจิ้งที่เหลือบมองเพียงสองสามครั้งอย่างอดไม่ได้ คนอื่นๆ ต่างทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
หลายวินาทีผ่านไป หลิงม่อกระชากเจ้า “รอยโรค” นั้นขึ้นมาอย่างแรง จากนั้นก็เหลือบมองชายแว่นดำอย่างเอือมๆ หมอนั่นเป็นลมไปแล้ว ทว่าเขาไม่ได้เป็นลมเพราะเจ้า “รอยโรค” แต่กลับเป็นลมเพราะเจ้ามาสเตอร์บอลที่เอาแต่วิ่งวนไปวนมาอยู่บนหน้าผากเขา…
“จิ๊บ จิ๊บ!”
เจ้ามาสเตอร์บอลกระโดดขึ้น และทิ้งตัวลงบนศีรษะชายแว่นดำเป็นพักๆ และทุกครั้งมันก็ทำให้ชายแว่นดำครางออกมาด้วยความเจ็บปวดแม้ว่าจะอยู่ในภวังค์หลับใหลก็ตาม…
—————————————————————————–