บทที่ 821 ต้องแค้นขนาดไหน?
Ink Stone_Fantasy
น้ำเสียงขอวชายสวมแว่นแฝงไปด้วยความผ่อนคลายและอารมณ์ดี เขายกมือจับแว่น แล้วจ้องประตูเครื่อง “ถึงแกจะควบคุมเฮลิคอปเตอร์ได้ก็ไม่มีประโยชน์ เชื้อเพลิงที่ถูกบรรจุไว้ในเฮลิคอปเตอร์มีมากพอสำหรับบินมาถึงที่นี่เท่านั้น ถ้าหากแกไม่เชื่อ ก็ลองบังคับให้พวกนั้นเอาเครื่องขึ้นสิ แต่พอถึงตอนนั้น ถ้าเครื่องตกจนร่างแหลกเป็นจุล จะมาหาว่าพวกฉันไม่เตือนไม่ได้นะ”
พอได้ยินอย่างนี้ มู่เฉินก็อึ้ง จากนั้นก็เกรี้ยวกราดขึ้นมา “ช่างวางแผนได้รอบคอบจริงๆ! นี่ต้องแค้นกันถึงขนาดไหนเนี่ย? เอ๊ะ เดี๋ยวนะ…เหมือนเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับฉันนี่!”
“แค้นใหญ่หลวงเลยล่ะ” หลิงม่อบอกเสียงเรียบ เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาล กลอุบายเล็กน้อยแค่นี้ไม่ถือว่าน่าทึ่งแต่อย่างใด…
“ฉันจะออกไปแสดงความบริสุทธิ์ใจดีไหม? นายช่วยยืนยันให้ฉันได้หรือเปล่า?” มู่เฉินถามอย่างสับสน
“นายเป็นแค่ครูฝึกของฉัน พวกเขาไม่น่าจะสร้างความลำบากใจให้นาย…” หลิงม่อขมวดคิ้วตอบ
“…ชิท! อยู่กับนายซวยไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ!” มู่เฉินสบถ เขาพลิกมือชักมีดออกมา แล้วพูดอย่างมีน้ำโห “ถ้าหากพวกนั้นลงมือ ฉันก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน! แต่ว่าหัวหน้า เรื่องนี้มันเป็นมายังไงกันแน่ นายรู้ไหม?”
“คิดว่าน่าจะรู้…”
ขณะเดียวกับที่พูด หลิงม่อก็หันไปมองทางห้องนักบินอีกครั้ง และซย่าน่าเองก็เหมือนได้รับสัญญาณอะไรบางอย่าง จู่ๆ เธอก็ยิ้มประหลาดพร้อมกับเดินเข้าไปทางหลี่ย่าหลิน เธอยกมือขึ้นและเหวี่ยงลงอย่างแรงทันใด และก่อนจะลงมือก็ไม่มีสัญญาณเตือนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่มู่เฉินเห็นเข้าก็ยังอดรู้สึกหนังศีรษะตึงชาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักบินคนนั้นเลย
มือขาวเนียนข้างนั้นของเธอ เวลานี้กลับดูเหมือนค้อนเหล็กที่กำลังเหวี่ยงลงมาอย่างไร้ความปราณี ทันทีที่มันถูกเหวี่ยงลงมา จุดจบที่เขาต้องเจอก็คือถูกทุบกะโหลกจนยุบ ซึ่งแค่นึกภาพก็รู้แล้วว่ามันเป็นการตายที่น่ากลัวมาก ถึงแม้เขาจะเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์อย่างนี้มาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องน่ากลัวจนทำให้ขวัญกระเจิงอย่างนี้
นักบินคนนั้นตะโกนออกมาแทบจะในทันที “อย่า! อย่าฆ่าฉัน! อย่าฆ่าฉันเลย!”
“คิกคิก…” ฝ่ามือของซย่าน่าชะงักหยุดทันที เธอเลียริมฝีปากเล็กน้อย แล้วหันไปมองที่นั่งผู้ช่วยนักบิน ผู้ช่วยนักบินคนนั้นเองก็ตกใจหน้าซีดเผือด จนแม้แต่ริมฝีปากของเขาก็กำลังสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“อย่า…อย่าฆ่าฉัน…” ผู้ช่วยนักบินพึมพำอย่างหวาดกลัว
“ดูเหมือนพวกนายต่างก็ไม่อยากตายสินะ…ถ้าอย่างนั้นก็ดี ใครก็ได้บอกฉันซิ ว่าตกลงในนี้มีเชื้อเพลิงเหลืออยู่อีกเท่าไหร่?” ซย่าน่าถามด้วยเสียงยิ้มๆ
“ฉัน…ฉันจะบอก!”
“ฉันก็จะบอก…”
หลายวินาทีผ่านไป ซย่าน่ายืนตัวตรง แล้วหันกลับมามองหลิงม่อ พร้อมพยักหน้ายืนยัน
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรอ…” หลิงม่อพูดอย่างกังวล
ชายสวมแว่นตะโกนเสียงดังเข้ามาจากข้างนอกอีกครั้ง “เจ้าแซ่หลิง แกยังไม่ยอมออกมาอีก?…อ๋อ ฉันรู้แล้ว แกคงคิดจะจับสองคนนั้นเป็นตัวประกันสินะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันขอเตือนให้แกล้มเลิกความคิดนั้น แล้วก็รีบออกมาซะ…ยอมรับความจริงๆ ซะตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องกลัวมาก ที่พวกฉันเลือกใช้วิธีการอย่างนี้ ก็เพื่ออยากต่อรองอย่างสันติไม่ใช่หรือไง? แต่ถ้าหากแกยังไม่ยอมให้ความร่วมมือล่ะก็…”
“สถานการณ์ตอนนี้…ช่างดูสันติเสียจริง” ทันใดนั้น เสียงพูดจาเสียดสีของหลิงม่อก็ตัดบทเขา
ชายสวมแว่นอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเยาะ และกวาดตามองพิจารณาหลิงม่อที่ปรากฏกายอยู่ตรงประตูเครื่องอย่างไร้ความกลัว “แกคือเจ้าแซ่หลิงคนนั้น? หึหึ…ฉันขอเตือนแก ว่าอย่าทำอะไรนักบินสองคนนั้นจะดีกว่า…”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของเขา หลิงม่อเพียงยักคิ้วเบาๆ จากนั้นก็กระโดดลงมาบนพื้น
แต่เขาเพิ่งจะขยับตัว คนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่รอบๆ ก็รีบขยับปืนตามทันที แม้แต่ชายสวมแว่นก็ยังหรี่ตาอย่างระแวดระวัง
ส่วนหลัวหมิงนั้นก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ โดยเฉพาะเมื่อสายตาของหลิงม่อกวาดผ่านร่างเขา เขาก็อดนึกถึงสถานการณ์น่าอึดอัดที่ตัวเองเคยเจอก่อนหน้านี้ขึ้นมาไม่ได้ สายตาของคนคนนี้ เหมือนมีบางสิ่งซ่อนอยู่ สิ่งที่ทำให้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ยาก…
และความรู้สึกของเขาในตอนนี้ ที่เดิมทีควรจะดีใจและตื่นเต้นมาก จู่ๆ กลับกลายเป็นว่ามีความลนลานผสมขึ้นมาเล็กน้อย…
“แล้วแกใหญ่มาจากไหนกัน?” หลิงม่อถามอย่างไม่ไว้หน้า
เขาไม่ได้มองหน้าชายสวมแว่นเลยด้วยซ้ำ แต่กลับกวาดมองไปรอบๆ แทน…
ความโกรธแล่นปราดผ่านดวงตาของชายสวมแว่น เสียงหัวเราะของเขาค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับเสียงพูดเย็นชาที่เข้ามาแทนที่ “เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือยังกล้าอวดดีขนาดนี้ แกไม่ลองนับดูล่ะ ว่าตอนนี้มีปืนกี่กระบอกที่กำลังเล็งแกอยู่ แค่ฉันตะโกนสั่ง แกก็จะถูกยิงจนร่างพรุนทันที…”
เห็นหลิงม่อไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัว ชายสวมแว่นก็หัวเราะเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “แกคงกำลังมองหาเฮลิคอปเตอร์อีกลำอยู่ใช่ไหมล่ะ? วางใจเถอะ พวกนั้นกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้าในตำบลนี้แหละ พวกฉันสำรวจมาแล้ว แกเคยทำให้เครื่องบินของกองทัพอากาศตก ถึงจะไม่รู้ว่าแกใช้วิธีไหน แต่คราวนี้แกไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นอีกแน่นอน…สั่งให้คนของแกออกมาให้หมด แล้วตามพวกฉันไปแต่โดยดี ถ้าไม่อย่างนั้น พรรคพวกของแกก็ต้องตายไปพร้อมกับแก…”
พูดไป เสียงหัวเราะเย็นชาของชายสวมแว่นก็ค่อยๆ จางหายไปอีกครั้ง เขาหมายจะได้เห็นความลนลานและหวาดกลัวจากสีหน้าของหลิงม่อ แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องเขาเหมือนกำลังมองคนโง่ก็ไม่ปาน นั่นทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้ง และไม่สบายใจเล็กน้อย
ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้ดูใจเย็นนักนะ! ตัวมันถูกปืนจ่อ ในขณะที่พวกพ้องของมันบินวนอยู่เหนือพื้นดิน เรื่องพวกนี้ไม่ทำให้มันรู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ? หรือว่า มันรู้อยู่แล้วว่าทางค่ายไม่มีทางฆ่ามัน ถึงได้ทำท่าทางเหมือนไม่สนใจอะไรอย่างนั้น? หรือไม่อย่างนั้น มันยังมีแผนการอื่นอยู่อีกงั้นหรือ?
“หึหึ เจ้าแซ่หลิง ฉันขอเตือนว่าแกอย่าคิดจะเล่นตุกติกอะไรอีก ทางค่ายถือว่าอดทนกับแกมามาก เท่านี้ก็ถือว่าให้เกียรติ์แกมากแล้ว…ฉันเคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนแกก็เป็นแค่ผู้รอดชีวิตที่รับจ้างทำงานให้พวกฉันเท่านั้น…ที่แกมอบกองทัพอากาศให้พวกฉัน ก็เพราะตัวเองไม่มีปัญญาเก็บเอาไว้กับตัว ตอนนี้พวกฉันก็แค่ต้องการให้แกมอบมันให้พวกฉันจริงๆ เท่านั้น…” ชายสวมแว่นยังคงพูดต่อ เขารู้ว่าในเฮลิคอปเตอร์ยังมีคนอยู่อีกหลายคน แต่ขอเพียงกำราบหลิงม่อได้ คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
“วางแผนจับฉัน จากนั้นก็ใช้ฉันบีบอวี่เหวินซวน อย่างนี้เรียกว่าให้เกียรติ์? ถ้าฉันเป็นคนที่แค่รับจ้างทำงานให้พวกแกจริงๆ แล้วทำไมพวกแกต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากถึงขนาดนี้ด้วย? ด้วยความสามารถของพวกแก แค่นิ้วเดียวก็น่าจะขยี้ฉันให้ตายได้แล้วนี่? ส่วนเรื่องที่ฉันมอบกองทัพอากาศให้น่ะ…ฉันไม่ได้ให้พวกแก แต่ให้อวี่เหวินซวนต่างหาก เข้าใจหรือเปล่า?” หลิงม่อพูดอย่างเอือมระอา
สำหรับคนที่โลภมากจนหน้ามือตามัว คำแก้ตัวจะฟังดูดีหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ต่างหาก ถึงแม้สิ่งที่พูดออกมาล้วนเป็นตรรกะโจร แต่พวกเขาก็สามารถพูดให้มันดูดีได้ทั้งนั้น กระทั่งพูดได้อย่างไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่หลิงม่อไม่เคยคิดมาก่อน ว่าแนวคิดอย่างนี้จะแพร่หลายในฟอลคอนอย่างรวดเร็วขนาดนี้
“ซูเชี่ยนโหรว…เธอเคยรับปากอะไรกับฉันไว้บ้างนะ…” หลิงม่ออดถอนหายใจไม่ได้
“ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติอยู่แล้ว เจ้าหนู แกยังเด็กเกินไป…” ชายสวมแว่นรู้สึกถึงความผิดปรกติมากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “แกรู้แต่แรกแล้ว? รู้ได้ยังไง?”
พอคำถามนี้หลุดออกมาจากปากเขา หลัวหมิงก็เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก จู่ๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่าความลนลานในใจเขามาจากไหน…
“ตอนที่สองคนนั้นมารับฉัน ฉันก็รู้แล้ว” หลิงม่อหัวเราะ แล้วบอกว่า “แต่ตอนแรกฉันแค่สงสัย ฉันเพิ่งมาแน่ใจตอนที่เฮลิคอปเตอร์บินมาจอดที่นี่ ผู้ช่วยนักบินคนนั้นส่งสัญญาณมือเฉพาะ แล้วยังเน้นคำว่า ‘เตรียมตัวให้พร้อม’ อีกด้วย ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นการส่งซิกอะไรบางอย่างหรือเปล่า แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นเพราะเฮลิคอปเตอร์อีกลำต่างหาก” เขามองหน้าชายสวมแว่น “พลังจิตของแกไม่เลวเลย สามารถอำพรางคนมากมายขนาดนี้ไว้ได้ ทำให้ฉันเดาอะไรไม่ถูก แต่ฉันแค่นั่งอยู่บนเครื่องไม่ยอมลงมา แกก็เริ่มร้อนรน…”
ชายสวมแว่นแค่นเสียงเย็นชาอย่างโมโห แต่ไม่นานเขาก็หัวเราะ “ถือว่าแกมีความสามารถด้านการสังเกตแล้วกัน แต่แล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายแกก็มาอยู่ที่นี่อยู่ดี?” เขาส่งสัญญาณมือให้คนเหล่านั้น แล้วบอกว่า “ไปเอาตัวพวกนั้นมา แล้วยังหมอนี่อีก มัดตัวมันไว้! เจ้าแซ่หลิง ไม่ว่าแกจะอ่านสัญญาณมือนั้นผิดหรือไม่ เรื่องนี้ก็ได้จบลงแล้ว…”
“เหอะเหอะ…” หลิงม่อกลับส่ายหน้าไปมา และแทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ก็ดังใกล้เข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้ทันที…
—————————————————————————–