บทที่ 844 เสี่ยวป๋ายในป่าใหญ่
Ink Stone_Fantasy
เวลานี้ ณ ชายขอบของป่ารกทึบ กลุ่มคนสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังชายหญิงคู่หนึ่ง หนึ่งในกลุ่มกำลังหมอบฟังอยู่กับพื้น แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่แน่ใจว่า “น่าจะอยู่ข้างในแล้ว แต่ระยะทางไกลเกินไป ผมก็บอกแน่ชัดไม่ได้…”
“ไม่ พวกมันเข้าไปแล้วแน่ๆ” ชายหนุ่มพูดอย่างมั่นใจ
เขาทอดมองเข้าไปในป่ารกทึบด้วยสายตาเย็นชา พูดเสียงต่ำว่า “พวกเราเสียเวลาไปมากขนาดนี้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ศพก็ยังไม่มีให้เห็น ส่วนพวกนั้น…ที่ถ่วงเวลาพวกเรา ก็เพราะต้องการหนีเข้ามาในนี้ไม่ใช่หรอ? ไม่อย่างนั้น การวิ่งไปตามถนนใหญ่ไม่ใช่แผนการที่ดี แล้วยังมีโอกาสปะทะกับทีมช่วยเหลือที่มาใหม่อีก…ตอนนี้พวกนั้นถ่วงเวลาได้สำเร็จ แน่นอนว่าต้องอยู่ในนั้นอยู่แล้ว”
เหตุผลนี้ช่างทำให้คนฟังคลั่งจนแทบกระอักเลือด ชายหนุ่มวิเคราะห์ไปพลาง อดรู้สึกเดือดดาลไปพลางไม่ได้ เขากำหมัดแน่นจนดัง “กร๊อบ” ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
ทว่าในเวลาอย่างนี้ คนที่กล้าเปิดปากพูดก็คงจะมีแต่ไคลี่เท่านั้น หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แล้วพูดอย่างสนใจว่า “ศพน่ะเห็นมาเยอะแล้ว แต่น่าเสียดายที่มีแต่ซากกระดูกที่ตายมานานแล้ว…พอคิดว่าเขายังรอดไปได้ทั้งที่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น ฉันก็…” เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากบาง แล้วพูดเสียงเบา “ฉันก็อดตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ ไม่ได้เลย…”
เธอยกมือขึ้นแตะคาง ไล้ปลายนิ้วไปตามคอยาวระหง และหยุดที่หน้าอกของตัวเอง ดูจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่องของเธอ ก็รู้แล้วว่าแม้แต่หายใจยังลำบาก บวกกับเปลือกตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง สภาพของเธอในตอนนี้ดูน่าสยดสยองมาก
หลายคนในกลุ่มต่างพากันเบือนหน้าละสายตาออกไป คนที่ยืนอยู่ใกล้เธออดถอยห่างออกไปไม่ได้
“ฉันจะจับตาดูเขาไม่ละสายตาเลย…” ไคลี่พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ชายหนุ่มไม่หันมามองเธอด้วยซ้ำ แต่เขากลับหันไปสั่งการสมาชิกทีม “แยกกันกลุ่มละสามคน เคลื่อนตัวออกค้นหาในรูปครึ่งวงกลม พวกมันมีตัวถ่วง ไม่มีทางสู้แรงฝ่ายเราได้แน่นอน แต่ถึงจะค้นหาเจอแล้ว ก็ห้ามบุ่มบ่ามทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด แค่ส่งสัญญาณทันทีก็พอ! นอกจากนี้ ทีมย่อยทุกทีมต้องรักษาระยะห่างที่สามารถให้ความช่วยเหลือกันและกันได้ทันท่วงที เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจครับ!” ทุกคนรับคำอย่างพร้อมเพรียง ความจริงถึงชายหนุ่มไม่บอก คนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำงานอย่างบ้าบิ่นไม่ไตร่ตรองก่อนอยู่แล้ว
สำหรับชายหนุ่ม ปัญหาสำคัญในคืนนี้ก็คือพวกเขาถูกทำให้เสียเวลา แต่สำหรับสมาชิกธรรมดาเหล่านี้ เรื่องที่น่าช็อกมากที่สุดกลับเป็นสมาชิกทีมที่ตายไปสองคน ซ้ำมันยังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาชายหนุ่มอีกด้วย…
“แยกย้ายได้!” เมื่อชายหนุ่มโบกมือให้สัญญาณ ทีมย่อยต่างๆ ของทีมทำลายล้างต่างก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า อาศัยท้องฟ้ายามค่ำคืนหายตัวเข้าไปในทุ่งหญ้าสูงอย่างไร้ร่องรอยโดยพลัน…
………..
“ตามมาแล้ว…” ณ เงามืดใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนแห่งหนึ่ง อยู่ๆ เสียงพูดของซย่าน่าก็ดังขึ้น
“อืม ในระยะห่างเท่านี้ ปล่อยให้พวกเธอได้ลองทักทายพวกนั้นดูหน่อยแล้วกัน ขอเพียงหาโอกาสได้…” หลิงม่อนั่งยองๆ อยู่ด้านหลังพุ่มหญ้า พูดเสียงเบา แต่ถ้าหากฟังดูดีๆ จะรู้ว่า น้ำเสียงของเขาในตอนนี้คล้ายกับน้ำเสียงของผู้หญิงที่ชื่อไคลี่มาก…
ด้านหนึ่ง เขากำลังรอความสนุกที่จะได้จากการล่า ในอีกด้านก็กำลังรอจังหวะโจมตีกลับอย่างใจเย็น…
“พวกเธอ? อ้อ…ฉันเข้าใจแล้ว” หลี่ย่าหลินพูดแทรกอย่างยิ้มๆ
ทว่ากลับไม่เห็นเงาเย่เลี่ยนอยู่บริเวณนี้ ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่เหล่าเจิ้งกับคนอื่นๆ ต่างก็หายตัวไปจากตรงนี้กันหมดแล้ว
“เวลาอย่างนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความอดทน…ทว่าในสถานการณ์ที่การมองเห็นถูกบดบัง และพื้นที่ก็ยังโล่งกว้างแบบนี้ ถึงแม้จะรอบคอบอีกซักแค่ไหน หรืออดทนอีกซักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ต้องมีช่องโหว่มากมายโผล่ขึ้นมาเพราะปัจจัยเหล่านี้อยู่ดี” หลิงม่อพึมพำ “พวกเธอคอยดูให้ดี ว่าใครกันแน่ที่เป็นนักล่าผู้เชี่ยวชาญตัวจริง…”
เขาเพิ่งจะหัวเราะเย็นชา เสียงซย่าน่าก็ดังมาจากข้างหลัง “ผู้เชี่ยวชาญที่ว่านั่นหมายถึงพวกเราต่างหาก ปัจจัยที่หยิบยืมมาก็ลักษณะภูมิประเทศ…ก็แค่รับมือกับมนุษย์ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้…”
“พวกเขามีอาวุธนี่นา…” หลิงม่อตอบอย่างปวดหัว
“เหอะ…”
“ระวังตัวไว้หน่อยเถอะน่า…”
“เข้าใจแล้วน่า” ซย่าน่าถือเคียวดาบแหวกหญ้าไปข้างหน้า แล้วหายตัวไปในบริเวณใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางป่าทึบกันกว้างใหญ่ไพศาล ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว…
ทีมย่อยสามคน นี่เป็นการแบ่งทีมที่สมเหตุสมผลที่สุด ทั้งสามารถสังเกตการณ์ได้รอบด้านไปพร้อมกัน แล้วยังสามารถเพิ่มกำลังป้องกันซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพด้วย นอกจากนี้พลังต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ต้องออกค้นหาอยู่ในสถานที่อย่างนี้ สมาชิกทีมทำลายล้างต่างก็ยังรักษาความสงบขั้นพื้นฐานไว้ได้
พวกเขาเชื่อว่าถึงแม้จะต้องเจอกับการลอบโจมตีจากพวกหลิงม่อ แต่ด้วยการตั้งค่ายกลอย่างนี้พวกเขาต้องถอยหนีไปได้อย่างไร้การสูญเสียแน่นอน
ทว่าความเชื่อนี้ กลับถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่เงาสีขาวสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
เงาร่างนี้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ตำแหน่งที่เลือกทิ้งตัวก็ช่างเลือกได้อย่างหลักแหลม
มันหลีกเลี่ยงชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางสุด และอ้อมผ่านไคลี่ที่อยู่ด้านหน้าสุดไป ช่วงเวลาที่เลือกปรากฏตัว ก็เป็นช่วงที่ทุกคนต่างก็ไม่ได้หันมามองข้างหลังพอดี…
“แบ๊!”
เมื่อเสียงคำรามประหลาดดังก้อง ทันใดนั้นเงาร่างสีขาวขนาดมหึมาก็พุ่งพรวดออกมาจากพุ่มหญ้า จากนั้นก็เหวี่ยงร่างเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคนสุดแรงเกิด
สามคนนี้คอยมองไปรอบข้างอย่างระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่ได้เงยหน้ามองข้างบนศีรษะ ยิ่งไม่มีทางนึกว่าการลอบโจมตีที่คอยระแวดระวังมาโดยตลอดจะโผล่มาในรูปแบบนี้
“มีสัตว์ประหลาดกระโจนออกมาจากพุ่มหญ้า!”
ท่ามกลางสถานการณ์ฉุกละหุกฉุกเฉิน ทั้งสามทำได้เพียงแตกกลุ่มไปคนละทาง
ทว่าทั้งสามกลับมีความสามารถที่ถือว่าไม่ธรรมดา แม้ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาก็ยังพยายามวิ่งออกไปให้พ้นเขตปกคลุมของเงาร่างสีขาวนั้นอย่างสุดความสามารถ
“เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว…”
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะลอบดีใจเงียบๆ แต่วินาทีถัดมาม่านตาเขากลับหดตัว และแหกปากร้องเสียงดัง “ไอ้เชี่ย!”
เจ้าสัตว์ประหลาดเงาร่างสีขาวตัวนั้น กลับขยายตัวใหญ่ขึ้นหนึ่งรอบในขณะที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ!
สมาชิกทีมสองคนที่เดิมถอยหนีไปและเตรียมตัวโต้กลับพลันตัดสินใจผิดพลาดทันที “ป๊าบ” พวกเขาถูกอุ้งเท้าใหญ่ยักษ์ปัดร่างกระเด็นออกไปไกล
ส่วนสมาชิกอีกหนึ่งคนที่เหลือได้ตีลังกากลิ้งตัวไปข้างหลังแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเงาร่างสีขาวตัวนี้กลับไม่ลืมที่จะเหยียดขาออกมาข้างหลัง และถีบอาวุธปืนที่เขายกขึ้นอย่างเร่งรีบดัง “โครม”
ปรากฏว่าเขากลับเป็นคนที่ถูกถีบลอยออกไปไกลที่สุด อึดใจเดียวร่างเขาก็ลอยไปกระแทกกับพื้นที่ห่างออกไปไกลถึงสิบกว่าเมตร
และจนถึงตอนนี้ ทั้งสามจึงเพิ่งจะมีโอกาสส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดตามๆ กัน
ทีมย่อยอีกทีมที่อยู่ไม่ไกลพลันยกปืนขึ้นเล็ง และรีบวิ่งมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ตึงตึงตึง!
ขณะที่เสียงปืนดัง เงาร่างสีขาวนั้นกลับหดตัวจนมีขนาดเท่าเดิมแล้ว มันยันอุ้งเท้ากับพื้นแล้วกระโจนหายเข้าไปในพุ่มหญ้าอย่างรวดเร็ว
“ชิทท! เมื่อกี้มันตัวบ้าอะไรวะ!”
สมาชิกทีมคนหนึ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าบนร่างกายเขาถูกฉีกทึ้งจนขาด เผยให้เห็นเสื้อเกราะที่สวมไว้ด้านใน ใบหน้าเขามีรอยเลือดสีแปลกๆ ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันร่างกายเขาโงนเงนไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
สมาชิกอีกคนกล้ามเนื้อทั่วร่างกายปูดโปน จนกระทั่งหลังจากยืนขึ้นแล้วร่างกายเขาจึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
“สัตว์กลายพันธุ์ใช่ไหม? แต่มันไม่โจมตีพวกหลิงม่อที่อยู่ข้างหน้า กลับมาหมายหัวพวกเราแทน…” สมาชิกทีมคนหนึ่งเพิ่งพูดขึ้น แต่อยู่ๆ สีหน้าเขาก็ถอดสี “บิลลี่ล่ะ!”
“ฉันเห็นเหมือนเขาถูกถีบลอยออกไป…”
ทั้งห้าคนรีบกระโจนไปข้างหน้าทันที จนกระทั่งเมื่อไปถึงจุดที่บิลลี่ร่วงลง พวกเขากลับมองเห็นเพียงรอยลากยาวๆ บนพื้น…
คราบเลือดที่เลอะไปตามรอยลากทำเอาทั้งห้ากลืนน้ำลายดังเอื้อก และมองเห็นความหวาดกลัวจากแววตาของกันและกัน
“ความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายของบิลลี่คือเพิ่มกำลังป้องกัน ทำให้ไม่ถูกโจมตีจนเลือดตกยางออกได้ง่ายๆ ดังนั้นถึงจะเผชิญหน้ากับซอมบี้ระดับวิวัฒนาการเขาก็ยังทนไหว ถึงจะเผชิญหน้ากับสัตว์กลายพันธุ์ก็มีพลังป้องกันในระดับหนึ่งเช่นกัน…แต่ว่านี่มัน…” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าสลด
สมาชิกอีกคนพูดต่อว่า “นับตั้งแต่ที่เขาร่วงลงมาที่นี่ ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเขาอีกเลย…”
ด้านหน้ามีแต่ป่ารกทึบ ทั้งห้าคนลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะถอยกลับ…
“จิ๊…ก็นึกว่าจะมีคนที่ไม่กลัวตายออกมาค้นหารอบๆ ซักคนสองคนซะอีก…”
ขณะที่พวกเขาหันหลังชนกันและถอยกลับอย่างรวดเร็ว ในพุ่มหญ้าที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร เงาร่างเล็กกระจิดริดเงาหนึ่งกำลังจ้องพวกเขาอย่างเย็นชา
และข้างเท้าของเธอ ชายที่ชื่อบิลลี่กำลังพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่ใบหน้าของเขากลับถูกเหยียบไว้ ร่างกายทุกส่วนก็ถูกเส้นไหมสีเงินดูประหลาดตามากมายรัดไว้อย่างแน่นหนา ยิ่งเขาดิ้น เส้นไหมสีเงินพวกนี้ก็ยิ่งรัดแน่น และเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายเขา ก็ถูกเส้นไหมสีเงินดูดกลืนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง…
“เฮยซือ ดูดเลือดเขาให้แห้งไปเลย ภายในสามนาทีนี้พวกเราต้องวาดแผนที่ย่อยแสดงตำแหน่งของคนพวกนี้ให้เจ้ามนุษย์ไส้กรอก…” อวี๋ซือหรานเพิ่มแรงที่เท้าอีกครั้ง เมื่อเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้น ดวงหน้างามละเอียดของเธอพลันเผยรอยยิ้มได้ใจ “รับมือกับซอมบี้วิวัฒนาการและสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ได้งั้นหรอ? น่าเสียดาย ที่นี่มีแต่ซอมบี้ชนชั้นสูง กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ระดับสูงกว่าชนชั้นสูงอีกหนึ่งตัว…ก่อนหน้านี้ไม่สามารถยื้อหยุดพวกแกไว้ได้ แต่ตอนนี้อยู่ในป่าใหญ่ พวกแกก็เป็นได้แค่เหยื่อผู้อ่อนแอตัวเล็กๆ เท่านั้น…”
—————————————————————————–