ไชฟางรีบโทรหาโอวหยางหวาไจ
แต่อีกด้านของสายกลับตะคอกด้วยความโมโห “ชาวบ้านบ้านั่นบอกทางฉันผิด…”
โอวหยางหวาไจยิ่งขับยิ่งรู้สึกผิดปกติ ในที่สุดก็เจอชาวบ้านหมู่บ้านอื่นเลยถามทาง ทันใดนั้นก็โมโหใหญ่ มาผิดทาง! เสียเวลาเปล่าไปเกือบชั่วโมง!
ในตอนนี้ไชฟางโทรเข้ามา ก็ได้ยินโอวหยางหวาไจตะคอกด้วยความโมโหพอดี
ไชฟางได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นยิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาแล้วถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก
ส่วนฟางเจิ้งเห็นคนมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังไม่รู้จักอีก แววตาที่มองเขาก็เหมือนมองพวกลวงโลก แววตายั่วยุมองเขาจนรู้สึกไม่สบาย จึงเข้าไปหลังลาน เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านข่าว ไม่รู้ควรทำยังไงกับคนพวกนี้ดี เขาจะได้ยินเสียงเย้ยเยาะที่ดูเหมือนระวังแต่จงใจให้เขาได้ยินอยู่ตลอดเวลา
ฟางเจิ้งไปแล้ว พอคนที่ไม่รู้จักเพียงคนเดียวจากไป ในลานก็คึกคักกว่าเดิม ล้อมรอบต้นโพธิ์ด้วยความประหลาดใจ และล้อมรอบใบหน้าเฉินจิ้งด้วยความแปลกใจเช่นกัน…
ฟางเจิ้งรอข้างหลังสักครู่หนึ่งก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ทำไมข้างนอกถึงเสียงดังและก่อความวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ?
‘ไม่ได้การแล้ว คนพวกนี้เสียงดังไปแล้ว’ ฟางเจิ้งออกไปอีกครั้ง
พอออกมาจากประตู ฟางเจิ้งโกรธแล้ว แขกปัญญาชนที่ว่าล้อมรอบต้นโพธิ์ ชี้นู่นชี้นี่ บางคนยังร้องขานกวีเสียงดัง สีหน้าฮึกเหิมนั้นเหมือนกับตัวเองดำดิ่งเข้าไป ฟางเจิ้งฟังหลายท่อนแล้วก็…
“ต้นโพธิ์หนอต้นโพธิ์ เหตุใดเจ้าถึงเขียวชอุ่มเช่นนี้?
“เหตุใดถึงเขียวชอุ่มเช่นนี้? หรือเจ้าไม่รู้กันว่าภาคเหนือเข้าฤดูหนาวแล้ว ควรถอดใบเขียวแล้วสวมด้วยอาภรณ์ใบไม้ร่วง?…”
ฟางเจิ้งสีหน้าดำคล้ำ ถึงเขาจะเรียนมาน้อย แต่ก็เคยอ่านกวีโบราณมาบ้าง เขารู้ว่าอะไรคือกวีโบราณและก็รู้จักกวีสมัยใหม่ ทว่าเขาไม่ชอบกวีสมัยใหม่มาตลอด มักจะรู้สึกว่าคือการเอาภาษาและเนื้อหาในห้องเรียนมาเรียบเรียงใหม่ นี่คือกวีสมัยใหม่ ขาดกลิ่นอายสัมผัสในโครงกวี หรือจะพูดว่าฟางเจิ้งไม่มีรสนิยมทางนี้ก็ได้…
ตอนนี้ได้ยินคนพวกนี้แต่งกวีกันก็อดด่าทอในใจไม่ได้ ‘อะไรกันวะเนี่ย! มาขับกวีเสียงดังกันอยู่ได้!’
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยรีบเข้าไป “อมิตาพุทธ พวกโยม พุทธศาสนาเป็นแดนอันเงียบสงบ ถ้าจะร้องกวีเชิญออกไปเถอะ”
“เฮ้ย ทำไมเณรพูดอย่างนี้? ปัญญาชนกำลังท่องกวีถือเป็นความงดงาม! ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้มีการประลองของโอวหยางหวาไจ เณรว่าพวกเราจะมาไหม? ต่อให้เชิญพวกเราก็ไม่มาหรอก!” ชายที่กำลังขับกวีไม่พอใจ คนคนนี้หน้าแบน มีรอยแผลบนหน้า บอกว่าเป็นปัญญาชน แต่ฟางเจิ้งคิดว่าถ้าสวมที่ครอบหน้าเหลี่ยมให้เขาจะให้ความรู้สึกเหมือนโจรทันที
“พวกเราขับกลอนในวัดของเณร ข้ามเรื่องเป็นเกียรติมากน้อยแค่ไหนไปก่อน ไม่แน่นะร้อยปีจากนี้อาจจะเหมือนหอคอยเยวี่ยหยางก็ได้ อาศัยกลิ่นอายของปัญญาชนจนมีชื่อเสียงโด่งดังไง” มีคนพูดต่อ
“เณรไม่เข้าใจกวีก็ไม่ต้องมายุ่ง ไปเอาน้ำหลังวัดมาดีกว่า อย่ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของพวกเราเลย”
ฟางเจิ้งฟังเจ้าพวกนี้พูดแสดงความคิดเห็นกันไม่หยุดก็โมโห แต่คงไม่ดีนักถ้าจะแสดงออกมา เขาคิดอะไรออกจึงหมุนตัวจากไป
ครั้นออกไปจากวัด ฟางเจิ้งก็ผิวปาก หมาป่าตัวใหญ่คลานออกมาจากในกองหิมะกองหนึ่ง คือหมาป่าเดียวดายนั่นเอง
“อย่าแอบอู้ ในวัดมีพวกต่ำช้าให้นายไปไล่อยู่ อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว! อย่าให้ถึงตาย อย่าให้เห็นเลือด ที่เหลือนายจัดการเองด้วย”
พูดจบฟางเจิ้งก็กลับเข้าไปในวัด
ชายที่พูดจาเย้ยเยาะก่อนหน้าหัวเราะเสียงดัง “เณร ทำไมกลับมาอีกล่ะ? ไหนว่าไม่ชอบฟัง? ไม่ชอบฟังก็ออกไปเดินเล่นเถอะ”
ฟางเจิ้งมองค้อน นี่เป็นคนแบบไหนกัน? นี่มันวัดเขานะโว้ย!
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาภพุทธ พวกโยมมั่นใจนะว่าจะก่อความวุ่นวายที่นี่? อีกเดี๋ยวพระโพธิสัตว์จะลงทัณฑ์ อย่าหาว่าอาตมาไม่เตือนแล้วกัน”
“พระโพธิสัตว์ลงทัณฑ์? ฮ่าๆ ชีวิตนี้ฉันไม่เคยเห็นพระโพธิสัตว์มาก่อนเลย ถ้าได้เจอก็ดีสิ!” เขาหัวเราะเสียงดัง คนอื่นก็หัวเราะตามไปด้วย
จิ่งเหยียน เฉินจิ้ง และไชฟางมองฟางเจิ้ง จากนั้นพลันนึกอะไรได้จึงรีบออกจากวัดไป
กระทั่งไชฟางยังช่วยฟางเจิ้งโน้มน้าวคนพวกนั้นให้ออกมา แต่ไม่มีใครออกด้วย แถมยังข่มขู่ว่าไชฟางไม่ใช่ปัญญาชน ไม่มีความกล้าหาญ!
ฟางเจิ้งเห็นควรว่าจะออกมาได้แล้วจึงปิดประตูใหญ่ จากนั้นไปหลังวัดเปิดประตูหลัง ให้หมาป่าเดียวดายเข้ามา
“อมิตาพุทธ อาตมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ฟางเจิ้งพึมพำ
หมาป่าเดียวดายแสยะยิ้มก่อนเดินออกไป
ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายจากในลาน มีเสียงหมาป่าเดียวดายเห่า และก็มีเสียงปัญญาชนที่กล้าหาญเหล่านั้น ดูคึกคักเอามากๆ
“หมาป่า!”
“แม่งเอ๊ย หมาป่าจากไหนวะ!”
“หมาป่าตัวใหญ่ขนาดนี้เกิดมาจากวัวรึไง?”
“ใครมันปิดประตูวะ? เปิดประตู!”
“อ๊าก ก้นฉัน!”
แควก…
“กางเกง กางเกงฉัน…”
“รองเท้าฉันล่ะ?!”
“ช่วยด้วย…”
สามนาทีต่อมา เมื่อฟางเจิ้งออกมาอีกครั้ง ในลานก็ว่างเปล่า แต่มีเศษผ้ากับรองเท้าเต็มพื้น เหมือนกับตลาดทรุดโทรมอย่างไรอย่างนั้น
ฟางเจิ้งส่ายหน้า หยิบไม้กวาดเข้าไปกวาดมารวมเป็นกองแล้วเอาใส่ถังขยะ ก่อนจะไปเปิดประตู บ้าเอ๊ย ผลักไม่ไป!
ได้ยินเสียงคนข้างนอกดังขึ้น “หมาป่าชนประตูแล้ว! ดันประตูไว้! มาดันประตูเร็ว!”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก นี่คือความกล้าหาญของพวกเขารึ? แข็งแกร่งเกินไปไหม?
จิ่งเหยียนข้างนอกพูดอย่างมีเจตนาแอบแฝง “เฮ้ พวกนายกล้าหาญไม่ใช่รึไง? อยากเจอพระโพธิสัตว์ไม่ใช่เหรอ? เมื่อกี้โอกาสดีเลยแหละ ทำไมไม่คว้าไว้ล่ะ?”
ไชฟางยิ้มแห้ง “ทุกท่าน เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไชฟาง จิ่งเหยียน พวกคุณก็รู้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ชายหน้าแบนพูดด้วยความโมโห
ไชฟางเป็นคนไม่อยากมีเรื่องกับใคร แต่คำพูดเขาก็หาเรื่องจริงๆ
กลับกันเฉินจิ้งมองดูอยากสบายใจ ก่อนหน้านี้เขาโดนมาเยอะ เดิมทีมีความแค้นในใจอยู่แล้ว เมื่อครู่ยังถูกปัญญาชนพวกนี้ล้อมวงกันวิจารณ์อีก ฟังดูเหมือนจะพูดดี แต่มองยังไงก็เยาะเย้ยชัดๆ! ความโมโหในใจไม่มีที่ระบายจนใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว
ตอนนี้เห็นคนพวกนี้เป็นอย่างนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุข “รู้อะไรเหรอ? พวกเรารู้แค่ว่าห้ามฝ่าฝืนกฎของคนอื่น มาก่อความวุ่นวายตามอำเภอใจแบบนี้แย่ที่สุดเลย ถูกจัดการก็ปกติแล้วนี่”
เขาพลันลืมไปว่าคนที่ไม่ทำตามกฎก่อนหน้านี้คือเขาเอง…
พวกคนหน้าแบนได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง แต่ก็ยังดื้อรั้น “ฝ่าฝืนกฎอะไร? พวกเราขับกลอน แลกเปลี่ยนวรรณกรรม นี่เป็นสิ่งสวยงาม!”
“เชอะ…พวกนายเรียกว่าวรรณกรรม? ใช้ของสมาคมยังพอว่า พวกนายแค่เขียนอักษรที่พอดูได้ก็เท่านั้นแหละ” จิ่งเหยียนพูดดูถูก
ชายหน้าแบนโมโห แต่เห็นดวงตาจิ่งเหยียนแล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่ากลัวจิ่งเหยียน
ฟางเจิ้งผลักประตูออกมาอีกครั้ง ขาชายหน้าแบนแทบจะอ่อนยวบ เมื่อครู่หมาป่าเดียวดายดูแลพวกเขาเป็นพิเศษ กางเกงถูกฉีกขาดไปครึ่งส่วน ตอนนี้กางเกงขายาวเป็นขาสั้นแล้ว ฤดูหนาวพัดพาลมจากชายหาดฮาวายเข้ามา!
ชายหน้าแบนร้องเสียงดัง “ดันประตู ดันประตูไว้! หมาป่าชนประตูอีกแล้ว!”
……………………………………….