หลังจากที่หลิงม่อเข้าไปไม่นาน…
“พวกเราจะทำยังไงดี?” บนดาดฟ้าที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทลอว์สันมากนัก หลี่ย่าหลินกำลังถามขณะที่มองตึกสูงหลังนั้น
ซย่าน่ากับเย่เลี่ยนมองตากัน จากนั้นก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากบอกว่า “รอก่อนเถอะ”
“แต่ว่า…ฉันรู้สึกอะไรบางอย่าง” หลี่ย่าหลินยังคงจ้องไปทางนั้น พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเข้าใจยาก “ฉันรู้สึกว่า พวกเราอาจจะได้เจออะไรบางอย่างในนั้น น่าแปลกจัง…”
“น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละ…” ซน่าพยักหน้าอย่างครุ่นคิด สายตากลับฉายแววแปลกไป
ที่หลี่ย่าหลินมีปฏิกิริยาอย่างนี้ เป็นเพราะสัญชาตญาณสัตว์ป่าของเธอล้วนๆ…ในหมู่พวกเธอสามคน มีแค่หลี่ย่าหลินเท่านั้นที่จะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ขึ้นได้ ทว่าสิ่งที่ซอมบี้พึ่งพานั้นไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เป็นผลสรุปที่ได้จากประสาทสัมผัสของตัวเอง ดังนั้นหากมองจากด้านนี้ สัตว์กลายพันธุ์และซอมบี้ถือว่าแตกต่างกันมากทีเดียว…
“น่าเสียดายที่ระบบการแยกแยะของเราไม่เกิดผลแล้ว” ซย่าน่าอดลูบจมูกตัวเองเบาๆ ไม่ได้ ประสาทการรับเสียงและรับกลิ่นของเธอล้วนไม่สามารถ “สแกน” ข้อมูลอะไรจากบริษัทลอว์สันได้เลย และหลี่ย่าหลินก็ดันมาเกิดสัญชาตญาณแบบนี้ขึ้นอีก…
“ฉัน…ฉันลองเปลี่ยนจุดดูแล้วกัน” อยู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดขึ้น พอเห็นซย่าน่ากับหลี่ย่าหลินหันมามองเธอพร้อมกัน เธอก็ยกมือโบกไปโบกมาอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วอธิบายเสียงขาดๆ หายๆ “ฉันก็แค่…ฉันรู้สึกแปลกๆ…นิดหน่อย…” เธอยกมือทาบหน้าอกตัวเอง บอกว่า “พี่หลิงเข้าไปในนั้นคนเดียว…ฉัน…รู้สึกไม่สบายตรงนี้”
“ก็จริง…” ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วบอกว่า “บางทีอารมณ์ของเขาอาจส่งผลกระทบต่อพวกเราก็ได้ ถึงคนที่เข้าไปข้างในนั้นจะไม่ใช่พี่เขาจริงๆ แต่ถ้าพี่หลิงเกิดไปยั่วอะไรบางอย่างในนั้นให้โมโหเข้า ก็รับประกันได้ยากว่าอีกฝ่ายจะสาวถึงตัวเขาไม่ได้ พวกเราเองก็จะมัวแต่รอคำสั่งจากพี่หลิงอย่างเดียวไม่ได้ เขาทำอะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาคอยเป็นห่วงพวกเราอีก ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้เขาเสียสมาธิ ฉันว่า…” ซย่าน่ากระพริบตา แล้วจู่ๆ เสียงของเธอก็เข้าโหมดเสียงของน่าน่า น้ำเสียงฟังดูเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน “เขามักแบกรับเรื่องต่างๆ ไว้กับตัวเองมากเกินไป แต่กลับลืมไปว่าพวกเราเป็นใคร”
“เอ่อ…” เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินมองหน้ากัน
ซย่าน่าถอนหายใจเอือมๆ บอกว่า “พวกเราเป็นซอมบี้นะ!”
“จริงด้วย…” หลี่ย่าหลินพยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้
“รุ่นพี่ พี่เข้าใจที่ฉันพูดแล้วจริงๆ หรอ?”
“เปล่า” หลี่ย่าหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา
ซย่าน่ากระพริบตาปริบๆ ม่านตาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีเลือดสะดุดตาภายในเสี้ยววินาที ขณะเดียวกันบุคลิกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลิ่นอายอันตรายค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากตัวเธอ เธอเพียงยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ แต่กลับดูเหมือนอสูรกายที่กำลังแยกเขี้ยวแยกเล็บก็ไม่ปาน
“เข้าใจหรือยัง? พวกเราเป็นนักฆ่าโดยสัญชาตญาณ เรื่องบางอย่างพวกเราทำเองได้ ดังนั้นพี่เย่เลี่ยน ถ้าพี่อยากไปพี่ก็ไปเถอะ ฉันกับรุ่นพี่ก็จะแยกย้ายกันเคลื่อนไหวเหมือนกัน”
“แต่ว่า…” เย่เลี่ยนยังคงสับสน
“วางใจเถอะ แยกกันเคลื่อนไหวก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ฉันก็แค่ไม่อยากถูกเก็บไว้เป็นตัวสำรองตลอดไป ทุกครั้งที่ทำภารกิจก็ต้องนั่งตั่งเย็น*ตลอด ต้องอยู่เฉยๆ เวลาคบค้าสมาคมกับพวกมนุษย์ก็แล้วไป แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเป็นซอมบี้…นี่มันเรื่องถนัดของพวกเราเลยนะ” ซย่าน่าสะบัดผมยาวสลวย พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอออกมา
และหลังจากที่เธอพูดจบ ทั้งสามก็มองหน้ากัน จากนั้นแต่ละคนก็หันหน้าวิ่งไปทางบันได…
ขณะเดียวกัน ใน ตึกบริษัทลอว์สัน
หลิงม่อได้เดินตามรอยลากจางๆ เส้นนั้นมาจนถึงทางเดินอีกเส้นที่มืดกว่าเดิม สองข้างทางมีแต่ประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้ บนผนังเย็นๆ มีรอยเลือดอยู่มากมาย บางจุดถึงขั้นมีเศษชิ้นส่วนของศพอยู่ด้วย เพียงแต่มองจากภายนอก ศพพวกนี้อยู่ในนี้มานานมากแล้ว เป็นไปได้มากกว่าอาจเป็นศพที่ตายในช่วงหลังเกิดภัยพิบัติได้ไม่นาน…
แต่ในทางเดินยังคงเงียบงันเหมือนเดิม ด้านหน้าก็ไม่มีเสียงอะไรเลย ทว่าความรู้สึกกดดันอันเลือนรางกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลิงม่อรู้สึกเหมือนในความมืดนี้มีบางอย่างกำลังจ้องมองเขาอยู่
แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ตัดสินแล้วว่านี่เป็นผลกระทบด้านพลังจิตอย่างหนึ่ง ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน เขาจึงไม่ได้รู้สึกลนลานมาก…ตรงกันข้าม เขากลับรักษาความเร็วในตอนนี้ไว้อย่างใจเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับผู้ลอบโจมตีนั่นในเวลาที่เร็วเกินไป ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฝั่งพวกเย่เลี่ยน ตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรเลย
รีบสำรวจอันตรายให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด จากนั้นค่อยปล่อยให้พวกเธอเข้ามา…นี่คือแผนการของหลิงม่อในตอนนี้
ผ่านไปหลายสิบวินาที หลิงม่อได้เดินมาจนถึงสุดทางเดิน และแล้วเขาก็ชะงักเท้าหยุดตรงนี้อีกครั้ง
ด้านหน้ามีประตูนิรภัยที่เปิดทิ้งไว้อยู่หนึ่งบาน และด้านหลังประตูบานนั้นก็คือที่ที่มืดยิ่งกว่า…ดูจากป้าย “EXIT” ข้างบน ที่นี่น่าจะเป็นบันไดหนีไฟ…
พอนึกว่าผู้ลอบโจมตีลากศพศพนั้นขึ้นบันได หลิงม่อก็พูดไม่ออก…ช่างเป็นซอมบี้ที่ทำงานรอบคอบจริงๆ ไม่มีจู้จี้จุกจิกกับเหยื่อเลย…ทว่าพฤติกรรมตุนอาหารอย่างนี้ ก็เป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง—ผู้ลอบโจมตีไม่ได้หิว เพียงแต่ไม่เป็นมิตรกับผู้บุกรุกนักเท่านั้น…
“อื่ม…อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องสัมผัสประสบการณ์ถูกควักเครื่องในแล้ว” หลิงม่อคิด พลางสูดลมหายใจลึก
เมื่อเขาเดินแทรกตัวเข้าไปในประตู อากาศเย็นเยียบก็ลอยมาปะทะร่างเขาทันที
“ฮู่ว…”
แน่นอนว่าซอมบี้ไม่มีปฏิกิริยาอย่าง “หนาวสั่น” อยู่แล้ว ยิ่งไม่มีทางเกิดอาการขนลุกเพราะเหตุผลนี้…แต่หลิงม่อกลับอดตัวสั่นเล็กน้อยไม่ได้ แถมยังอ้าปากโดยอัตโนมัติด้วย
อากาศหนาวก็อีกเรื่องหนึ่ง…ที่สำคัญกว่านั้นคือสภาพบนบันไดนี้ต่างหาก
“ฉันว่าฉันควรถอนคำพูดเมื่อกี้…”
หลิงม่อหมายถึงคำว่า “ทำงานรอบคอบ” สี่คำนี้ หลังจากที่ก้าวเข้ามาในห้องบันได เขาก็พบว่าตัวเองคิดผิดถนัด
ถ้าหากร่องระบายน้ำข้างนอกนั้นเป็นถังขยะ อย่างนั้นที่นี่ก็คงเป็นโซนรับประทานอาหารของเจ้าบ้านแล้วล่ะ…ร่องรอยที่แทบจะปกคลุมไปทั่วผนัง เศษชิ้นส่วนที่หล่นกระจายอยู่ให้เห็นทุกที่ โครงกระดูกที่เรี่ยราดอยู่เต็มไปหมด…กลิ่นประหลาดที่ชวนคลื่นเหียนเวียนไส้ลอยอบอวลอยู่ในนี้ และแผ่ปกคลุมไปจนถึงด้านบนของบันได
“นี่ก็กินไม่เลือกเกินไปมั้ง…” หลิงม่อพึมพำ จากนั้นก็เดินอย่างระมัดระวังไปตรงหน้าขั้นบันได และเริ่มมองหาจุดวางเท้า
ดีที่ถึงแม้ที่นี่จะน่าขยะแขยง แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างปลอดภัย…ไม่มีเงาร่างคน รอยลากเหยียดยาวไปข้างบน ถ้าหากมีใครจ้องมองเขาอยู่ที่นี่ เขาก็จะมองเห็นตั้งแต่แรก…
“ใครน่ะ?!”
เขาเพิ่งจะคิดได้อย่างนี้ ก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งทันที
หลิงม่อรีบเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบน และเมื่อมองลอดช่องบันได เขามองเห็นเงาร่างรางๆ ที่ยืนอยู่ชั้นบนนั่น…เขาเห็นเพียงแวบเดียว แต่กลับรู้สึกชัดเจนมาก!
“นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว…”
หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิมอย่างระแวดระวัง และเงยหน้ามองขึ้นข้างบนต่อ
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีใบหน้าหนึ่งปรากฏอยู่ข้างบน!
ผ่านช่องว่างแคบๆ เส้นนี้ หลิงม่อสบตากับอีกฝ่ายเต็มๆ ในขณะที่แทบจะไม่ทันได้เตรียมตัวเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะอยู่ห่างกันสองชั้น แต่หลิงม่อก็สะดุ้งตกใจมาก ทว่าเขากลับข่มใจห้ามตัวเองไม่ให้หลบได้ทัน เขาเบิกตากว้างและจ้องอีกฝ่ายกลับ…
ยังไงก็ถูกเห็นเข้าแล้ว หลบไปก็ไม่มีประโยชน์…
อาศัยความสามารถในการมองเห็นอันยอดเยี่ยมของซอมบี้ หลิงม่อมองเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ มันกลับเป็นเด็กตัวเล็กๆ…
มันสวมเสื้อผ้าขาดๆ ภายนอกดูเหมือนอายุไม่เกินหกเจ็ดขวบ ขณะที่หลิงม่อกำลังสังเกตมัน มันนั่งยองๆ จับราวบันได และก้มมองหลิงม่อผ่านช่องแคบๆ ระหว่างบันได เมื่อสายตาของหลิงม่อสบเข้ากับดวงตาสีแดงคู่นั้นของมัน เด็กน้อยใบหน้าซีดขาว ผมยาวเฟื้อยตัวนี้ก็รีบลุกขึ้น และหันหลังวิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน!”
หลิงม่องงงัน แต่ก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามไปทันที
ดูด้วยสายตา ซอมบี้เด็กตัวนี้อย่างมากก็น่าจะอยู่ในระดับซอมบี้วิวัฒนาการ แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
ด้วยพลังของมัน ไม่มีทางเป็นผู้ลอบโจมตีหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อแน่นอน!
หรือว่าเขาถูกเด็กเล่นงานจริงๆ งั้นหรอ? เดี๋ยวก่อน…นี่ต่างหากล่ะที่น่ากลัวจริงๆ!
แต่ถ้ามันไม่ใช่ผู้ลอบโจมตีล่ะก็…ประเด็นสำคัญคือ ซอมบี้เด็กตัวนี้มีสติปัญญา
เสี้ยววินาทีที่สบตากัน หลิงม่อเห็นชัดเจนว่าเด็กผู้ชายนั่นกวักมือเรียกเขา…
ทั้งในและนอกตึกแห่งนี้มีแต่เรื่องไม่ชอบมาพากล และสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอก็เป็นสิ่งที่ประหลาดที่สุดในตอนนี้แล้ว
ในความคิดเขา ซอมบี้เด็กชายไม่น่าจะหาเขาเจออย่างเงียบเชียบ ยิ่งไม่มีทางเป็นเจ้าของสายตาที่กำลังจ้องมองเขาอยู่แน่ๆ…หรือว่าซอมบี้เด็กถูกผู้ที่กำลังจับตามองหลิงม่อส่งตัวมา? เพื่ออะไรล่ะ?
หลายวินาทีผ่านไป หลิงม่อวิ่งมาถึงจุดที่ซอมบี้เด็กอยู่เมื่อกี้ เมื่อเขาวิ่งออกจากห้องบันไดไปยังทางเดิน ก็มองเห็นเงาหลังของเด็กนั่นวิ่งหายเข้าไปในประตูห้องห้องหนึ่งพอดี
“ยังจะหนีอีก…”
เขาวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และแนบตัวชิดข้างผนังก่อนที่จะเข้าไปในห้องนั้น
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ในห้องนี้กลับมีเสียงหนึ่งกำลังดังสู่ภายนอก…
“ตึง! ตึง!”
เสียงวัตถุกระทบกันดังออกมาด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ และเสียงที่ได้ยินก็ทำให้หลิงม่อต้องขมวดคิ้วทันที เสียงนี้มัน ฟังดูคุ้นมาก…
เขาค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ประตู จากนั้นก็แทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ที่นี่เป็นห้องชุด มีพื้นที่ว่างกว้างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นหรือผิวผนังล้วนเป็นสีน้ำตาลเข้มทั้งนั้น ซึ่งนั่นทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อย บานหน้าต่างถูกเลือดป้ายจนเลอะเต็มไปหมด แสงสว่างด้านนอกแทบไม่สามารถส่องเข้ามาในนี้ได้เลย สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือกระดูกที่เรี่ยราดอยู่ทุกที่เหล่านั้น และเขาก็ไม่เห็นเงาร่างของเด็กชายอีกเลย…
หลิงม่อเดินเข้าใกล้ประตูห้องด้านในอย่างระมัดระวัง ประตูบานนี้ก็ถูกเปิดแง้มไว้เหมือนกัน และเสียงนั้นก็ดังมาจากข้างในนี้
ทว่าเมื่อหลิงม่อเดินเข้าไปถึงตรงหน้าประตู เขากลับต้องใจหายวาบไปทันที…
“ที่นี่มัน…”
ศพมากมายถูกแขวนไว้บนเพดาน และเงาร่างประหลาดที่กำลังยืนหันหลังให้เขา…
แวบแรกที่เขามองเห็นเงาร่างนั้น หลิงม่อก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวอย่างไม่รู้สาเหตุ เขามั่นใจได้แทบจะในทันที ว่าเงาร่างนี้คือผู้ลอบโจมตี และศพที่มันกำลังทรมานอยู่ในตอนนี้ ก็คือหุ่นซอมบี้ตัวที่เขาควบคุมก่อนหน้านี้นั่นเอง…
“ตึง!”
มันวางศพไว้บนเตียงรถเข็นทางการแพทย์ตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่เหวี่ยงแขน เลือดมากมายจะกระเซ็นออกมาเป็นวงกว้าง…และสิ่งที่มันใช้นั้นไม่ใช่อาวุธมีดหรืออะไร แต่เป็นแขนที่ไม่มีมือข้างนั้นของมัน…
—————————————————————————–