เจ้าบุชเชอร์ยังไม่ทันหันไป จู่ๆ รอบข้างกลับมีเสียงหัวเราะก้องไปทั่ว
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อเสียงหัวเราะนี้ดัง หลี่ย่าหลินที่หายตัวไปก็ปรากฏตัวอีกครั้ง เงาร่างของเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เหมือนเงาลวงที่ถูกลากยาวยามที่เราเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง อย่าว่าแต่ตามการเคลื่อนไหวของเธอให้ทันเลย แค่จะมองดูตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ในตอนนี้ให้ชัดๆ ก็ยังเป็นเรื่องยาก
ในขณะที่เจ้าบุชเชอร์ชะงักไปเพียงชั่วขณะ มือคู่นั้นก็กระแทกเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของมันอย่างแรง แขนใหญ่ยักษ์ราวกับจะอัดหัวมันให้แบนอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงทำให้ร่างกายมันเซไปเซมา แต่ยังส่งเสียง “โครม” ดังตามมาด้วย ไม่นาน แขนข้างนั้นก็มีรอยฉีกปรากฏขึ้นสิบกว่ารอย เลือดสดๆ พุ่งปรี๊ดออกมาทันที
“ย๊ากกก!”
หลิงม่อกลับทำเป็นเหมือนไม่เห็นเลือดที่พุ่งออกมา ในระหว่างที่โจมตีส่วนหัวของเจ้าบุเชเชอร์สำเร็จ เขาก็พุ่งตัวตามเข้าไปทันที
เสี้ยววินาทีที่ใกล้จะถึงตัวมัน หลิงม่อยกเข่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเล็งไปที่กลางแผ่นหลังของมัน
“แกร๊ก!”
เสียงกระดูกเข่าแตกดังขึ้นอย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายท่อนบนของเจ้าบุชเชอร์ก็เสียหลักเซไปข้างหน้า และกระเด็นลอยออกไปราวกับกระสอบทรายก็ไม่ปาน
“กรร!”
เจ้าบุชเชอร์คำรามลั่น แต่มันยังไม่ทันร่วงถึงพื้น เงาร่างของหลี่ย่าหลินก็โผล่มาที่ด้านข้างก่อนแล้ว
“คิกคิก…” จูบอสรพิษตวัดผ่านกลางอากาศ โจมตีท้ายทอยของเจ้าบุชเชอร์อย่างแม่นยำ มันร้องครวญครางเสียงดัง ขณะเดียวกันร่างกายของมันเสียศูนย์ไปชั่วขณะ กล้ามเนื้อที่เดิมทีตึงเกร็งพลันผ่อนคลายออกทันที ในตอนนั้นเอง ขาขวาอันเรียวยาวของหลี่ย่าหลินก็พุ่งขึ้นมาจากข้างล่าง และถีบเข้าไปที่ท้องของเจ้าบุชเชอร์จังๆ
ถึงแม้ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของเธอพลิ้วไหว และลูกถีบนั้นก็เหมือนไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่เมื่อปลายเท้าของเธอสัมผัสถูกร่างเจ้าบุชเชอร์ ร่างกายของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็ขดงอราวกับกุ้งฝอย และพุ่งขึ้นไปกระแทกกับเพดานราวกับจรวดทันที
“ครืน!”
เมื่อแผ่นฝ้าใหญ่ๆ และโคมไฟเพดานร่วงลงมาพร้อมกับฝุ่นมากมาย เจ้าบุชเชอร์ก็ร่วงถึงพื้น และนอนคว่ำอยู่ตรงหน้าหลี่ย่าหลินพอดี
“พลั่ก!”
หลี่ย่าหลินยกเท้าขวาขึ้น และเหยียบแผ่นหลังของเจ้าบุชเชอร์ที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นให้นอนลงไปอีกครั้ง “เด็กดี อย่าขยับสิจ๊ะ…”
“เด็กดีของพี่ตัวใหญ่เบิ้มนะ…” หลิงม่อยืนชันเข่าสะบัดหัวแรงๆ สองครั้ง จากนั้นก็ค่อยเดินลากขาเข้าไปหา
“ระดับวิวัฒนาการต่ำกว่าฉัน ก็ต้องเป็นเด็กอยู่แล้วสิ…” หลี่ย่าหลินบอก
“พลังป้องกันสุดยอด” หลิงม่อก้มหน้าดูแวบหนึ่ง พลางพูดขึ้นอย่างทึ่งๆ
การโจมตีร่วมกันของเขาและหลี่ย่าหลินเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และเป้าหมายที่พวกเขาโจมตีก็ล้วนแต่เป็นจุดอ่อนของร่างกายมนุษย์…แต่จอมแล่เนื้อตัวนี้ก็ยังคงไม่ยอมสิ้นใจ มันนอนหมดแรงอยู่ใต้เท้าหลี่ย่าหลิน ปาก จมูกและหูของมันมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ตรงลำคอก็มีรอยแผลลึกๆ หนึ่งรอย กระทั้งแม้แต่ตรงแผ่นหลังก็มีรอบยุบลงไปหนึ่งรอย แต่แขนของมันกลับยังคงกระตุกสั่นเบาๆ ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นก็เอาแต่เหลือกขึ้นข้างบน จ้องหน้าหลิงม่ออย่างเอาเป็นเอาตาย
“รุ่นพี่…”
หลิงม่อเพิ่งจะเปิดปากพูด หลี่ย่าหลินก็ง้างจูบอสรพิษขึ้น เมื่อเธอตวัดอาวุธลงไปและยกขึ้นมาอีกครั้ง ไวรัสนางพญาก้อนหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงกลางระหว่างนิ้วมือของเธอ
เธอหนีบเจ้าสิ่งที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือขึ้นมาดูใกล้ๆ แล้วพูดอย่างเสียดายเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่ไวรัวนางพญาที่บริสุทธิ์”
“กำลังอยู่ในระหว่างเปลี่ยนจากก้อนเหนียวหนืดเป็นไวรัสนางพญางั้นหรอ…” หลิงม่อเองก็ชะโงกเข้าไปดูด้วย เขาบอกว่า “ถึงยังไงมันก็มาจากในสมองของซอมบี้กลายร่าง ความเข้มข้นของเชื้อไวรัสน่าจะสูงอยู่แหละน่า”
“อืม” หลี่ย่าหลินใช้เท้าพลิกร่างศพให้หงายขึ้น แล้วใช้มีดแทงเข้าไปที่ท้องของมันอีกครั้ง
พอชักมีดออกมา ของเหลวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาตามรอยแผลทันที
เหมือนว่าจุดที่ร่างปรสิตอยู่ จะเป็นจุดอ่อนของมัน แต่ร่างปรสิตร่างนี้ระดับวิวัฒนาการไม่สูงนัก ถึงควักมันออกมาก็ไม่มีประโยชน์” หลี่ย่าหลินจ้องมองคมมีด แล้วพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองเพดานอีกครั้ง พลางบอกว่า “เจ้านี่มันปีนเข้ามาจากทางท่อระบายอากาศ กลยุทธ์ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่เลือกจังหวะโจมตีไม่ถูก เผชิญหน้ากับพวกเราสองคนด้วยตัวคนเดียว แค่นี้อัตราการชนะก็ต่ำมากแล้วไม่ใช่หรอ?”
ได้ยินหลี่ย่าหลินวิเคราะห์อย่างจริงจัง หลิงม่อกลับรู้สึกไม่ค่อยชินนัก เดาว่าเธอคงจะเรียนรู้มาจากซย่าน่า แต่มีเพียงเวลาอยู่ในสภาวะนี้เท่านั้น เธอถึงจะอาศัยสัญชาตญาณในการล่าไปวิเคราะห์เรื่องพวกนี้ เธอในตอนนี้ก็เหมือนกับอสรพิษผู้เจ้าเล่ห์และโหดร้าย ที่ไล่ล่าตามร่องรอยของเหยื่อจนเจอ จากนั้นก็มอบการโจมตีถึงแก่ชีวิตให้กับอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี เหมือนการโจมตีรัวเป็นชุดกลางอากาศเมื่อกี้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าใจเย็นจนถึงขีดสุด และเข้าใจวิธีการโจมตีที่ถูกสลักไว้ในสัญชาตญาณเป็นอย่างดี ก็ไม่มีทางทำได้อย่างหมดจดงดงามได้ขนาดนั้นแน่นอน เพราะถึงเหตุการณ์นั้นจะดูเหมือนยาวนาน แต่แท้ที่จริงแล้วมันเกิดขึ้นในเสลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
ทว่าไม่รอให้หลิงม่อพูดอะไร หลี่ย่าหลินก็หันไปมองทางประตู สายตาพลันฉายแววเร่าร้อน “ไม่ต้องห่วง ข้างนอกยังมีอีกตัวล่ะ หลิงม่อ นายพูดถูกแล้วนะ ที่นี่เหมาะแก่การเริ่มมื้ออาหารจริงๆ…”
“ผมไม่ได้หายความแบบนั้นซักหน่อยนะ…” หลิงม่อยิ้มขมขื่น
หลังจากเข้าสู่สภาวะซอมบี้ ไม่ว่าพวกเธอคนไหนล้วนมีนิสัยที่เปลี่ยนไปทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะ “สภาวะ” ดังกล่าวนั่นเอง ราวกับได้กลายเป็นสัตว์ร้ายนักล่าที่ปลดปล่อยความปรารถนาในการกินและการโจมตีของตัวเองออกมาอย่างไม่ต้องข่มกลั้นเอาไว้อีก ภายใต้สภาวะอย่างนี้ พวกเธอมักแสดงให้เห็นอีกด้านของสัญชาตญาณซอมบี้ให้เห็นอย่างง่ายดาย กระทั่งอาจดูแตกต่างไปจากเวลาปกติมาก
แต่ซอมบี้สัตว์ป่าอย่างเจ้าบุชเชอร์นั้นต่างออกไป พวกมันไม่ต้องข่มกลั้นความต้องการของตัวเองไว้ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นซอมบี้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกวินาที เหมือนสัตว์ร้ายที่แท้จริง ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ที่ยังคงมีส่วนหนึ่งของมนุษย์เหลืออยู่อย่างฟางอิ๋ง ก็ยังมีข้อแตกต่างจากพวกเย่เลี่ยนมากอยู่ดี
การมีปฏิสัมพันธ์หรือกระทั่งใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์เป็นเวลานาน ทำให้เกิด “ลักษณะเด่น” บางอย่างขึ้นกับขั้นตอนการวิวัฒนาการของพวกเย่เลี่ยน แต่อย่างน้อยหากดูจากตอนนี้ ลักษณะเด่นที่ว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่เมื่อนานไปจะเป็นอย่างไรต่อไป หลิงม่อกลับไม่สามารถมั่นใจอะไรได้เลย
ความจริง เจ้าบุชเชอร์ถูกจัดการในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีเท่านั้น แต่ในระหว่างนี้ ประตูใหญ่ของโรงอาหารก็แทบจะต้านทานไว้ไม่ไหวแล้ว
“ทางนี้!” หลิงม่อตะโกนเรียก
กระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนจำนวนมหาศาลพรั่งพรูเข้ามา เสียงร้อง “งี๊ดๆ” ดังระงมไปทั่วทั้งโรงอาหาร
เจ้าหมีอยู่ท่ามกลางฝูงกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนพวกนั้น ร่างกายมหึมาของมันดูเหมือนหมียักษ์จริงๆ มันวิ่งเสียงดัง “โครมครามๆๆ” มาทางพวกหลิงม่อ
ถึงยังไงเมื่อกี้เจ้าบุชเชอร์ก็เข้ามาโจมตีด้วยตัวคนเดียว แต่เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้ทำท่าเหมือนจะเข้ามารุมอย่างเห็นได้ชัด
ถึงม้หลี่ย่าหลินจะตื่นเต้น แต่เธอก็รู้จักแยกแยะสถานการณ์ พอได้ยินหลิงม่อร้องเตือน จึงรีบถอยทันที
ขณะที่เธอถอย หลิงม่อกลับกระโจนออกไปในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเพื่อยกศพของเจ้าบุชเชอร์ขึ้นมา แล้วขว้างใส่เจ้าหมีที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างแรง
“กรร!”
เจ้าหมีคำรามเดือดดาล มันเหวี่ยงหมัดและชกไปที่ศพเจ้าบุชเชอร์
เมื่อเลือดจำนวนมหาศาลกระเซ็นไปทั่วอีกครั้ง เหล่ากระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนที่อยู่ข้างล่างต่างพากันแตกตื่นทันที
“ไป!”
หลิงม่อพูดเร่งโดยไม่หันไปมอง
การแย่งชิงกันของเหล่ากระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเจ้าหมีแต่อย่างใด มันโยนกระเป๋าตัวอ่อนที่ขวางทางออกไปติดๆ กันสองตัว จากนั้นก็วิ่งไล่ตามพวกหลิงม่อมาติดๆ
นอกจากนี้ ยังมีกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนบางส่วนวิ่งตามหลังมาด้วย แต่จำนวนลดลงกว่าเดิมไม่น้อย
“ถ้าเป็นอย่างนี้ อีกเดี๋ยวไอ้พวกที่เหลือก็จะตามมาอยู่ดี และหลังจากที่กินศพของเจ้าบุชเชอร์หมด ไม่แน่ว่าพวกมันอาจทิ้งร่างภาชนะก็ได้…” หลี่ย่าหลินมองไปข้างหลัง พลางพูดขึ้น
เธอเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีกว่าหลิงม่ออย่างเห็นได้ชัด ทว่าหลิงม่อกลับยิ้มเย็น แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร ขอเพียงควบคุมพวกมันให้อยู่ในจำนวนที่แน่นอนได้ก็พอแล้ว”
“ทำไมล่ะ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย
“พวกเราสามารถซ่อนตัวก่อนโดยอาศัยประสาทรับกลิ่นได้ แต่ผู้รอดชีวิตพวกนั้นทำไม่ได้ ร่างปรสิตประเภทนี้ยากที่จะตรวจเจอได้ด้วยการใช้พลังจิตสำรวจ แม้แต่กลิ่นก็ยังยากที่จะแยกแยะ เก็บพวกมันไว้ในตึก ไม่แน่ว่าอาจใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง” หลิงม่ออธิบาย
ทว่าหลี่ย่าหลินยังคงทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเหมือนเดิม หลิงม่อยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เขาลอบถอนหายใจในใจเบาๆ “แต่หวังว่าจะไม่ต้องใช้ประโยชน์จากพวกมันนะ แต่ถ้าพวกนั้นคิดจะลงมือจริงๆ ก็อย่าหาว่าฉันยืมมือใครฆ่าคนแล้วกัน”
พลังความสามารถของผู้รอดชีวิตกลุ่มนั้นยังคงเป็นปริศนา และนี่ก็เป็นหนึ่งในแผนสำรองที่หลิงม่อเตรียมไว้รับมือพวกเขา
เขามีซอมบี้เป็นตัวช่วย นี่จุดที่เขาได้เปรียบกว่าคนอื่นมาก แม้ว่าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันก็ตาม
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้พวกเขาจะลอบสังเกตการณ์อยู่ในที่ลับอีกนานแค่ไหน ก็ไม่มีทางค้นพบของพวกเย่เลี่ยนแน่นอน แม้แต่ตอนที่พวกเธอสามคนลอบเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน ผู้รอดชีวิตที่ทำหน้าที่สอดส่องคนนั้นก็ไม่รู้ตัวเลยซักนิด ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาอาจล้มเลิกการเคลื่อนไหวไปตั้งแต่แรกแล้ว หรือไม่ก็คงเข้าไปในตึกใหญ่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังเริ่มการเคลื่อนไหว นั่นหมายความว่าความเข้าใจอันน้อยนิดที่พวกนั้นมีต่อพวกหลิงม่อเป็นจุดบอดของพวกเขา
และสิ่งที่หลิงม่อจะทำ ก็คือใช้ประโยชน์จากจุดบอดนี้ให้ได้มากที่สุด และหยิบยืมสภาพแวดล้อมนี้มาสร้างความเดือดร้อนบางอย่างให้พวกเขา
“ที่พวกเขาซ่อนตัวและทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างนอก เพราะคิดจะหลอกใช้เราให้เข้ามาเปิดทางก่อนสินะ? ความคิดแบบตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังอย่างนี้ ช่างชั่วร้ายได้ใจจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อแค่นหัวเราะเย็นชา พลางคิดในใจ (ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง เปรียบเปรยถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่ นอกจากนี้ยังใช้กระทบกระเทียบกับผู้ที่เอาแต่จ้องจะคิดบัญชีกับผู้อื่น โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะกำลังถูกผู้อื่นจ้องจะคิดบัญชีเช่นกัน)
เขากับหลี่ย่าหลินวิ่งตรงไปยังห้องครัว แต่กลับไม่ได้วิ่งเข้าไปในประตูบานก่อนหน้านี้ พวกเขาวิ่งพุ่งเข้าไปในทางเดินอันมืดมิดเส้นหนึ่ง
หลังจากที่เข้ามาในโรงอาหาร พวกเขาก็เริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อมของที่นี่มากขึ้น พวกเขารู้ว่าปลายทางของทางเดินเส้นนี้คือทางออกอีกทาง ปกติวัสดุที่ใช้ทำอาหารในโรงอาหารก็ขนส่งผ่านทางเข้าออกจุดนี้ และในจุดที่ห่างออกไปอีกก็มีหุ่นซอมบี้อีกตัวที่หลิงม่อควบคุมให้ลักลอบเข้ามาก่อนหน้านี้ซ่อนตัวอยู่หลังประตู แต่ตอนนี้หลิงม่อเดินตามรอยที่หุ่นซอมบี้ถูกลากไป จึงไม่ทันสังเกตเห็นโรงอาหารแห่งนี้
“บริษัทนี้นี่สร้างได้ยุ่งยากวุ่นวายจริงๆ เลย…” หลิงม่ออดพูดขึ้นไม่ได้
หลี่ย่าหลินกลับหัวเราะ “เพราะเป็นตึกที่ถูกปรับปรุงมาจากตึกเก่าน่ะสิ…ซย่าน่าว่าอย่างนั้นน่ะนะ”
“พูดถึงซย่าน่า…เธอเข้าไปจากลิฟต์ตัวไหนนะ?” หลิงม่อขมวดคิ้ว พลางถาม
“น่าจะตัวที่อยู่ข้างหน้านั้นแหละ…”
—————————————————————————–