เสื้อนอกของซย่าน่าถูกวางไว้ตรงมุมหนึ่งของซากกระดูกกองนี้ เดิมหลิงม่อนึกว่าเธอต้องการคลุมอะไรบางอย่างไว้ แต่หลังจากค่อยๆ เปิดอย่างระมัดระวัง กลับไม่เจออะไร
“หรือถูกบังคับให้ต้องทิ้งไว้ที่นี่?” หลี่ย่าหลินเดา
“เสื้อตัวนี้ไม่มีร่องรอยถูกขีดข่วน เห็นชัดว่าซย่าน่าตั้งใจถอดด้วยตัวเอง…อันตรายรูปแบบไหนกันแน่ที่จะสามารถหลุดพ้นได้ด้วยการถอดเสื้อตัวนอกออก…” หลิงม่อพูด พลางหยิบเสื้อนอกตัวนั้นพลิกอีกด้านขึ้นมา
“เรื่องนั้นน่ะ…” หลี่ย่าหลินขมวดคิ้วทันที
“ไม่มีอะไรถูกทิ้งไว้…เธอแค่ทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ ด้วย ในเมื่อเสื้อตัวนี้ไม่มีเบาะแสอะไร ถ้าอย่างนั้น…” หลิงม่อวางเสื้อนอกลง แล้วหันไปมองรอบๆ อีกครั้ง “เหตุผลที่ซย่าน่าทำอย่างนี้ น่าจะเป็นการบอกใบ้ถึงอะไรบางอย่างสินะ…”
เพิ่งจะคิดอย่างนี้ หางตาเขาก็เหมือนจะเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง…
หลิงม่อรีบหันไป จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบพื้นบริเวณนั้น
“ที่นี่คือ…เมื่อกี้เสื้อของซย่าน่าถูกวางไว้ตรงนี้ใช่ไหม…หื้ม? ตัวหนังสือ?”
เขาค่อยๆ ลูบลงไปตามร่องรอยพวกนั้น แล้วจู่ๆ ก็ทำหน้าประหลาดไป
เป็นตัวหนังสือที่ถูกสลักขึ้นแบบตื้นๆ อย่างที่คิด…ดูจากขนาดเล็กใหญ่และความลึก น่าจะเกิดจากการที่ซย่าน่าใช้เล็บสลักอย่างรวดเร็ว บวกกับวิธีการบอกใบ้อย่างนี้ที่เธอใช้ ก็เดาได้ไม่ยากว่าตอนนั้นเธอตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
“ในเมื่อรีบร้อนขนาดนี้ ก็แสดงว่าเธอไม่ได้คลาดกับเจ้าสิ่งนั้น…แต่ถ้ามองจากอีกมุม ภายใต้สถานการณ์คับขันอย่างนี้ เธอกลับยังเจียดเวลาทิ้งเบาะแสไว้อย่างนี้…ก็หมายความว่า อักษรบรรทัดนี้สำคัญมากสินะ”
หลิงม่อคิดในใจ พร้อมกับเริ่มแกะอักษรอย่างจริงจังทันที
“พื้นผิว” ข้างในนี้เป็นผิวแบบขรุขระเต็มไปด้วยเม็ดทราย ถึงแม้จะถูกเสียดสี แต่หากด้วยตาเปล่าก็ยังคงขรุขระอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะบริเวณนี้แทบจะถูกเลือดเติมเต็ม และมีเพียงอักษรบรรทัดนี้ที่เหลือพื้นที่ว่างเล็กๆ อยู่ล่ะก็ หลิงม่อก็คงไม่ค้นพบเร็วขนาดนี้
ถ้าเป็นเวลาปกติ ซย่าน่าจะต้องคิดวิธีที่รอบคอบและปลอดภัยกว่านี้แน่นอน…
“เป็นเรื่องเกี่ยวกับซากศพพวกนี้…” หลิงม่อคิดในใจ
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็ได้ยินหลี่ย่าหลินพูดขึ้นจากด้านข้างพอดีว่า “ถ้าหากตัวเปียกล่ะก็…”
“หา?” หลิงม่อมึนงง
“อ้าว นายถามฉันไม่ใช่หรอ…” หลี่ย่าหลินทำหน้างอ
“นี่พี่เก็บไปคิดจริงๆ หรอ!” หลิงม่อส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่อักษรบรรทัดนั้น “ซย่าน่าต้องการเตือนพวกเรา อย่าเอาแต่สนใจซากศพพวกนั้น”
“อ๋อ…”
“ความจริง เรื่องนี้พี่คิดได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” หลิงม่อบอก
หลี่ย่าหลินชะงัก จากนั้นก็ถามอย่างตื่นเต้น “จริงหรอ? มันคืออะไร?”
ถึงแม้รูปร่างหน้าตาชวนหลงใหล หุ่นก็ผอมเพรียว แต่เมื่อไหร่ที่รุ่นพี่ของเขาแสดงด้านที่เหมือนเด็กน้อยออกมาให้เห็นเป็นบางครั้ง…โดยเฉพาะตอนที่เธอใช้มือตบหน้าอกเบาๆ ทำให้หน้าอกใหญ่ๆ คู่นั้นกระเพื่อมขึ้นลงเหมือนคลื่นนั้น…
“จริงสิ” หลิงม่อแอบเลื่อนสายตาออกไปแบบเนียนๆ แล้วบอกว่า “ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมไหน ซากกระดูกพวกนี้ก็ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ ใช่ไหม? แต่ความจริงแล้ว นั่นเป็นเพราะพวกเราถูกทางเชื่อมพวกนี้จำกัดความคิดเอาไว้ต่างหาก รุ่นพี่ พี่คิดว่าหากจะเข้ามาในทางเชื่อมพวกนี้ จะต้องเข้าจากทางลิฟต์เท่านั้นใช่หรือเปล่า?”
“แล้วไม่ใช่หรอ?” หลี่ย่าหลินถาม
“นี่แหละคือสิ่งที่ซย่าน่าต้องการบอกพวกเรา เธอบอกว่า ในตึกใหญ่หลังนี้ จะต้องมีทางเข้าออกทางอื่นอยู่อีกแน่นอน และไม่ได้มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ช่องลิฟต์นี้ เป็นเพียงทางเชื่อมที่พวกมันขุดขึ้นเป็นที่แรกเท่านั้น ถึงแม้จะใช้บ่อยอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับพวกมัน ถ้าจะหาอาหารใช้เส้นทางอื่นน่าจะสะดวกกว่าหรือเปล่า?” หลิงม่ออธิบาย
หลี่ย่าหลินร้อง “อ๋อ” แล้วเบิกตากว้างบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกมันจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ในตึกนี้น่ะสิ?”
“ก็ประมาณนี้แหละ ผมเดาว่าสาเหตุที่พวกมันสามารถอยู่ร่วมกับซอมบี้ในตึกนี้อย่างสันติ น่าจะเป็นเพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง อย่างเช่นความสัมพันธ์ระหว่างซอมบี้กับซอมบี้หัวหน้าฝูง แต่เรื่องจริงเป็นอย่างไรนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้คืออะไรกันแน่นั้น ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้” หลิงม่อพูดต่อ “อีกอย่างซอมบี้ในตึกนี้อาจไม่ใช่ไม่รู้ว่ามี ‘เพื่อนบ้าน’ พวกนี้อาศัยอยู่ด้วย เพียงแต่พวกมันไม่คิดจะเหยียบย่างเข้ามาในทางเชื่อมพวกนี้เท่านั้น เรื่องนี้ พวกเราได้พิสูจน์ตอนที่อยู่ในลิฟต์เมื่อกี้แล้ว ในเมื่อมีทางเข้าออกอยู่อีกหลายทาง ถ้าอย่างนั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้รู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอด…”
“เพราะพวกเราเป็นผู้บุกรุกสินะ” หลี่ย่าหลินเอียงคอครุ่นคิด
“เอิ่ม…เถียงไม่ออกเลยแฮะ”
หลิงม่อรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย คำพูดแบบนี้พอออกมาจากปากซอมบี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในฐานะมนุษย์ เขากลับคิดเลี่ยงความจริงนี้โดยสัญชาตญาณ…
“ถึงแม้เผ่าพันธุ์ต่างกัน แต่ก็ยังไม่อยากยอมรับง่ายๆ อยู่ดี…”
หลี่ย่าหลินกลับเหมือนดูออก จึงยิ้มขึ้น “เอาเป็นว่าพวกเราซอมบี้ไม่ถือสาเรื่องแบบนี้หรอก หรือพูดอีกอย่างคือ…พวกเราตั้งตารอคอยเรื่องอย่างนี้มาก เหยื่อที่เดินมาหาถึงที่ แล้วระเบิดการต่อสู้กับพวกนั้น…แค่คิดก็เลือดลมพลุ่งพล่านแล้ว!”
“ใจเย็น…”
หลิงม่อขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง แล้วอยู่ๆ ก็ชี้ไปที่กะโหลกซึ่งมีรอยฟันติดอยู่เมื่อกี้ “ยังมีอีกเรื่อง ซย่าน่าบอกให้พวกเราสังเกตรอยบนนี้ให้ดี เธอบอกว่าตัวเองไม่มีเวลาสังเกตเอง แต่ถ้าพวกเราตามขึ้นมา ให้ทำความเข้าใจก่อน อีกอย่าง…เธอบอกว่าในนี้ อาจจะยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากอยู่อีกที่หนึ่ง…”
“ไม่ค่อยเข้าใจอ่ะ…” หลี่ย่าหลินส่ายหน้า
“จะไปเอาอะไรมากกับคนที่กำลังรีบเล่า! แต่ผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล สถานที่ที่น่าสนใจสำหรับซย่าน่า…ต้องไม่ใช่สถานที่ดีๆ แน่นอน…”
หลิงม่อถอนหายใจ และจ้องรอยฟันนั่น “รุ่นพี่ มาดูหน่อย”
“จะให้ดูอะไรล่ะ…”
“ก็ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่านั่นแหละ” หลิงม่อบอก
หากวัดกันเรื่องความเข้าใจที่มีต่อซอมบี้ หลิงม่อยังคงสู้ซอมบี้ตัวจริงเสียงจริงอย่างพวกเธอได้…ทว่าก็คงจะมีแต่เขานี่แหละ ที่สามารถถกเถียงโดยมีซอมบี้รายล้อมอยู่รอบตัวอย่างนี้ได้ อย่างเหล่าหลันนั้น เขาคงทำได้แค่จ้องมองศพซอมบี้แล้วพึมพำกับตัวเองเท่านั้น…
“สิ่งผิดปกติหรอ…” หลี่ย่าหลินตั้งใจดูอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็อ้าปากออกเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นเคาะฟันตัวเองเบาๆ “นายดูสิ”
ความจริงแล้วหากมองผ่านๆ ฟันของซอมบี้ไม่ได้ต่างอะไรจากฟันของมนุษย์เลย ยิ่งเป็นซอมบี้ระดับสูง ยิ่งแยกแยะความแตกต่างด้วยตาเปล่าได้ยาก แต่ซอมบี้ระดับต่ำนั้นไม่เหมือนกัน แค่พวกมันแยกเขี้ยวแยกฟัน ก็เผยให้เห็นตั้งแต่แรกแล้ว…
เหมือนกับหลี่ย่าหลิน ถึงแม้จะขลุกอยู่กับมนุษย์ทุกวัน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้…
เทียบกับมนุษย์ธรรมดา เขี้ยวหมาของหลี่ย่าหลินจะแหลมกว่าเล็กน้อย และฟันซี่ที่อยู่ถัดจากเขี้ยวหมา ก็ล้วนดูแหลมคมทั้งนั้น ซึ่งรูปทรงแบบนี้ ก็เพื่อที่จะสะดวกต่อการกัดเคี้ยวของซอมบี้…
—————————————————————————–