“อ้าว? หายไปไหนแล้ว?” อวี๋ซือหรานอึ้งงัน
นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวินาที อีกฝ่ายกลับหายวับไปต่อหน้าตาตาเธออย่างนี้…
“หรือเขาถอยกลับเข้าไปในร้าน?”
เป็นไปได้! ถ้าเป็นอย่างนั้น…
“เราคงคิดมากไปเองมั้ง?” ซอมบี้โลลิพึมพำกับตัวเอง เธอหันไปมงประตูร้านที่เปิดแง้มบานนั้นอีกครั้ง พลางกัดเล็บพึมพำน้ำเสียงคิดหนัก “งั้นฉันควรเข้าไปไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อาจคลาดกันก็ได้…” ซอมบี้โลลิลังเล
น่าเสียดาย ที่เวลานี้ไม่มีใครตอบเธอ หลิงม่อไม่อยู่ เฮยซือเองก็เข้าสู่ห้วงหลับใหลไปแล้ว เธอลองเรียกอีกสองสามครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงตอบรับ
“น่าแปลก หลับลึกเหมือนตายอะไรขนาดนี้!” อวี๋ซือหรานบ่นหงุดหงิด
ปกติเวลาที่เฮยซืออยู่ เธอรู้สึกแต่ว่าน่ารำคาญ แต่ตอนนี้จู่ๆ ไม่มีเสียงเฮยซือดังในสมอง เธอกลับรู้สึกไม่ชิน…คล้ายกับขาดเพื่อนเล่น เหมือนตอนที่ป้านเยว่จากเธอไป…
“เพื่อนเล่น…” สายตาอวี๋ซือหรานพลันเหม่อลอย เธอพึมพำกับตัวเอง “ใช่แล้ว…เด็กมนุษย์ต่างมีเพื่อนเล่นกันทุกคน…เมื่อก่อนฉันก็เคยมีเหมือนกันสินะ?”
“โอ๊ยๆ! ทำไมฉันต้องคิดเรื่องนี้ด้วย!” เพิ่งจะบ่นได้ประโยคเดียว เธอก็พลันเบิกตากว้างเหมือนนึกถึงบางอย่างขึ้นมา เธอใช้มือกุมศีรษะแล้วส่ายไปมา ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็ชะงักไปอีกครั้ง เงยหน้ามองไปข้างหน้า แล้วพูดอย่างนึกได้ “ใช่แล้ว ทำไมฉันต้องคิดเรื่องนี้ด้วย ถ้าจะคิดก็ควรคิดถึงป้านเยว่สิ…”
“อีกอย่าง ทำไมเฮยซือถึงไม่ตื่นล่ะ…”
ปัญหามากมายผุดขึ้นมาพร้อมกัน
ถึงแม้ยังไม่กระจ่าง แต่ด้วยสมองอันน้อยนิดที่มีอยู่ ซอมบี้โลลิได้เชื่อมโยงความผิดปกติของตัวเองเข้ากับเรื่องที่เฮยซือไม่ตื่น…แต่เธอในเวลานี้ยังไม่สามารถไขข้อข้องใจว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร…
“เดี๋ยวก็คงรู้เองแหละ” อวี๋ซือหรานคิดอย่างมองโลกในแง่ดี
ในตอนนี้เอง เธอเริ่มขยับร่างกาย เคลื่อนตัวเข้าใกล้ประตูบานนั้นอย่างรวดเร็ว
มองจากมุมที่เธออยู่ ประตูบานนั้นเหมือนเปิดแง้มไว้แค่เล็กน้อย เห็นข้างในได้แค่เลือนราง ถึงแม้จะเข้าไปใกล้มากแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสียงอะไรดังออกมาจากข้างใน ราวกับว่าคนที่เข้าไปในนั้นได้หายตัวไปกับอากาศธาตุแล้ว
อวี๋ซือหรานพุ่งตัวเข้าไป จากนั้นก็ค่อยๆ ดันประตูออก
เมื่อประตูเปิดออกกว้างในระดับหนึ่ง เธอก็แทรกตัวเข้าไปอย่างเงียบงัน ทันทีที่ก้าวเข้าไปเธอกวาดมองซ้ายขวาเป็นอันดับแรก
แต่ในตอนนั้นเอง ประกายอาวุธมีคมพลันสะท้อนวูบอยู่บนหัวเธอ พลางเคลื่อนเข้าใกล้อวี๋ซือหรานที่กำลังเดินไปข้างหน้าช้าๆ อย่างรวดเร็ว
…………
“สวบ…”
หลังจากที่ศพถูกลากออกไปไกลอีกเกือบหนึ่งร้อยเมตร สัตว์ประหลาดจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง
และตั้งแต่สิบกว่าเมตรก่อนหน้านี้ หลิงม่อกับสวี่ซูหานก็รู้สึกได้ว่าโคลนตมใต้เท้าบางเบาลง จนสุดท้ายกลายเป็นของเหลวหนืดหนาๆ หนึ่งชั้นแทน
ไม่รู้ว่ามือเท้าของสัตว์ประหลาดพวกนั้นวิวัฒนาการมาอย่างไร บนโคลนตมจึงไร้ร่องรอยใดๆ ของพวกมัน มาถึงตรงนี้ก็ยังไม่เห็นรอยเท้าหรือมือที่จมลึกไปในของเหลวหนืดพวกนี้ ระหว่างทางสวี่ซูหานมองหลิงม่ออย่างแคลงใจ แต่ไม่นานก็จนใจเมื่อคิดได้ว่าเขามองไม่เห็นตัวเองด้วยซ้ำ เธอจึงเงียบต่อไป
ไม่คิดว่าหลายวินาทีต่อมา หลิงม่อกลับหยิกเธอเบาๆ เขาชี้ขึ้นไปบนหัว จากนั้นก็จ้องพื้นใต้เท้าพร้อมกับส่ายหน้า
“นายหมายความว่า…สัตว์ประหลาดพวกนั้นเคลื่อนไหวบนเพดาน?” สวี่ซูหานกระจ่างอย่างรวดเร็ว
ไม่น่าล่ะเขาถึงได้ใช้ประโยชน์จากศพ…ตัวสัตว์ประหลาดอยู่บนเพดาน แต่ศพกลับถูกลากอยู่บนพื้น เมื่อทำอย่างนี้ พวกเขาก็จะมีสัญลักษณ์บอกเส้นทางที่ชัดเจน ถึงอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาก็สามารถย้อนกลับมาทางเดิมได้ทันเวลา
หลิงม่อต้องการบอกเธอเรื่องนี้ แต่ในเมื่อเขาบอกเรื่องนี้ ก็แสดงว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายมากแล้ว…ท่ามกลางความมืด มีบางอย่างที่เธอไม่เห็น แต่หลิงม่อกลับสัมผัสได้…
ไอหมอกสีดำบริเวณนี้หนาแน่นจนชวนขนลุก ถึงแม้มองออกไปด้วยสายตาของสวี่ซูหาน ก็มองเห็นชัดเจนได้แค่ในระศมีสองสามเมตรเท่านั้น นี่ยังเป็นเพราะสัตว์ประหลาดเพิ่งผ่านทางนี้ไป จึงทำให้ไอหมอกกระจายตัวเล็กน้อย
การมองเห็นถูกจำกัดส่งผลให้จิตใจตระหนกลนลานได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลิงม่อจูงมือเธอไว้แน่น เกรงว่าเธอคงคิดตีกลองถอยทัพไปนานแล้ว ทว่าตลอดทางมานี้เธอก็รู้สึกได้รางๆ ยิ่งตามสัตว์ประหลาดเข้าไปลึกขึ้น รอบข้างก็ยิ่งเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากสัตว์ประหลาดฝูงนั้นที่ถูกล่อออกไป สัตว์ประหลาดที่เหลืออยู่ก็ดูเหมือนจะถูกพวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังหมดแล้ว
นี่ถือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่คาดคิด แต่สีหน้าของหลิงม่อ กลับไม่ได้ดูแปลกใจแต่อย่างใด…
“ใช่สิ เขาเคยบอกแล้ว…สัตว์ประหลาดฝูงนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญจริงๆ คือพื้นที่ที่ถูกพวกมันสกัดกั้นไว้อย่างที่นี่ต่างหาก ปัญหาคือ พวกเรามาถึงแล้วหรือยัง?” สวี่ซูหานอดมองไปรอบๆ ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังเสียบรอบข้างอย่างตั้งใจ
ถ้าหากว่าที่นี่สำคัญ งั้นมันจะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวกว่าจุดรวมพลของสัตว์ประหลาดหรือเปล่านะ…
“สวบ…”
หยุดแล้ว!
หลังจากลากพวกเขาเดินมาเกือบสามร้อยเมตร ในที่สุดสัตว์ประหลาดตัวนี้ก็หยุดอยู่ข้างหน้านั้น
แววตาของหลิงม่อพลันฉายแววเปลี่ยนไปเช่นกัน เขาดึงตัวสวี่ซูหานให้นั่งลงอย่างรวดเร็ว หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ก็รีบดึงเธอเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรน่ะ?” สวี่ซูหานตะลึง
แต่ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดยังอยู่แถวๆ นี้หรือเปล่า เธอจึงไม่กล้าพูดเสียงดัง แต่ดูจากปฏิกิริยาของหลิงม่อ เธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังทำเรื่องที่สำคัญมาก…
ไม่ถึงห้าวินาที พวกเขาก็เดินมาถึงใกล้ๆ ศพไร้วิญญาณร่างนั้น…กลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยเข้ามาในจมูก ทำให้สวี่ซูหานรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ส่วนหลิงม่อนั้นเหมือนใช้พลังจิตสัมผัสรู้ดูเล็กน้อย ไม่นานก็นั่งยองๆ ลงไป แล้วหันไปมองสวี่ซูหาน พร้อมทำทำสัญญาณมือเชิงบอกว่า “ทำตามฉัน”
“นี่ เดี๋ยว…” สวี่ซูหานพูดไม่ออก นายมองไม่เห็นก็พูดได้สิ แต่ฉันมองเห็นชัดเต็มตาเลยนะ! แค่นั่งยองๆ ลงไป เธอก็เห็นศพไร้หัวของเจ้า “โอเบลิสก์” ตัวนั้นเข้าจังๆ พอดี…
ทว่าดูจากสถาการณ์ตอนนี้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่น่าจะอยู่แถวนี้แล้วมั้ง?
หลิงม่อเองก็เหมือนสูดหายใจหนึ่งฟอด และกลั้นหายใจอีกครั้ง
มีอะไรบางอย่างกำลังมาหรอ? เธออยากถามเขา
แต่ในความจริง หลิงม่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…
แต่ในฐานะผู้สัมผัสรู้ เรื่องที่เขารู้มีมากกว่าสวี่ซูหานอยู่บ้าง
สัตว์ประหลาดตัวเมื่อกี้ลากศพไปตามทางเดินและเลี้ยวสองโค้ง จนมาถึงที่นี่ในที่สุด และระหว่างทางหลิงม่อก็ใช้หนวดสัมผัสทางจิตคอยวัดอยู่ตลอด จึงรู้ถึงความเล็กใหญ่ที่เปลี่ยนแปลไปงของทางเดินอย่างชัดเจน
ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่แบบไหน แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า ที่นี่ไม่ใช่ทางเดินอย่างเดียวแน่นอน ไม่แน่ว่า มันอาจเหมือนกับบ่อน้ำที่หุ่นซอมบี้ของเขาอยู่ก็ได้ เห็นรอบข้างเงียบงันอย่างนี้ แต่ถ้าหากว่านี่เป็นผลกระทบที่บ่อน้ำสร้างขึ้นมา มันก็ไม่ต่างจากอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่เลย
พอสัตว์ประหลาดลากศพมาถึงตรงนี้ก็หยุด จากข้อสันนิษฐานของหลิงม่อ มีความเป็นไปได้มากว่ามันอาจย้อนกลับมาทางเดิม…ดังนั้นสิ่งแรกที่หลิงม่อทำก็คือนั่งยองๆ ลง เพื่อเลี่ยงไม่ให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นมองเห็นพวกเขาอย่างไม่ตั้งใจ
หลังจากที่หนวดสัมผัสที่เขาแผ่ออกไปรอที่เพดานถูกอะไรบางอย่างสัมผัสเข้า เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างวางใจ พาสวี่ซูหานเดินไปข้างศพ หากช้า ศพนั้นอาจไม่เหลือให้เห็น
ทว่าโชคดี ศพยังคงอยู่ มันเหมือนอาหารเลิศรสที่เพิ่งถูกเสิร์ฟ และกำลังรอคนมาลิ้มรส…
ก่อนที่จะได้ข้อสันนิษฐานนี้ หลิงม่อได้พยายามใช้หนวดสัมผัสทำการสำรวจบริเวณโดยรอบหนึ่งครั้ง หลังจากมั่นใจว่าที่นี่ไม่มีศพอื่นอยู่แล้ว จึงได้รอคอยอย่างอดทนอยู่ที่นี่ การสำรวจแบบนี้ อย่างน้อยก็สามารถตรวจสอบได้ว่าในนี้มีห้องเสบียงเก็บอาหารอยู่หรือเปล่า…ถ้าหากไม่มี งั้นที่นี่ก็เป็นห้องทานอาหารแน่แล้ว
คิดไปแล้วก็น่าลุ้นไม่น้อย…ท่ามกลางความมืด พวกเขานั่งยองๆ อยู่ข้างโต๊ะอาหารของสัตว์ประหลาด เพื่อรอผู้ที่จะมาจัดการอาหารมื้อนี้…
แต่ไม่รู้ว่า ผู้มาจะใช่ร่างแม่หรือเปล่า…
“แผละ…”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดังมาจากข้างหน้า หลิงม่อใจกระตุกวูบ ส่วนสวี่ซูหานรีบกำมือเขาแน่นอย่างหวาดกลัว
มาแล้ว!
เสียงนั้นดังขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง ต่อมากลับเป็นเสียงเคลื่อนไหวเล็กแหลม และแสบหูที่ดังอื้ออึง…
ทั้งสองนั่งอยู่กับที่อย่างตื่นตระหนก ต่างรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้…
——————————————