“นี่มันเสียงอะไรน่ะ!” หลิงม่อตึงเกร็งไปทั้งตัว ในใจพลางคิด “สมมติว่ามันใช้ทั้งมือและเท้าในการเคลื่อนไหว…แต่เสียงหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ฟังยังไงก็ไม่ใช่แค่เสียงสี่ขาแน่นอน! หรือว่าใช้หัวด้วย!” และคราวนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายคลานมาตามพื้นดิน…สามารถทำให้หนวดสัมผัสของเขารับรู้ถึงแรงสะเทือนได้ขนาดนี้ แสดงว่าขนาดตัวและความเร็วของอีกฝ่ายต้องเหนือกว่าพนักงานขนของตัวเมื่อกี้แน่นอน
ที่แย่กว่านั้นก็คือ การที่มัน “มาทางพื้นดิน” ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งด้วย…นั่นก็คือทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัว พวกเขาก็อาจต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นตรงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลิงม่อคาดหวังให้เป็น ที่เขานั่งยองๆ อยู่ตรงนี้ ก็เพื่อต้องการสังเกตการณ์สัตว์ประหลาดร่างแม่ตัวนั้นในระยะใกล้ก่อนก็เท่านั้น…
“ไม่ได้การ สัตว์ประหลาดขนของอาจยังไปได้ไม่ไกล แล้วก็ไม่แน่ว่าในนี้จะไม่มีสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่แล้ว…” สถานการณ์เร่งรัด หลิงม่อทำได้เพียงคว้าตัวสวี่ซูหานมาซ่อนหลังเขา…ไม่ได้ทำเพื่อปกป้องเธอ แต่เผื่อสถานการณ์เลวร้ายลง เธอจะได้มีโอกาสพาเขาวิ่งหนีได้ต่างหาก
เขาจำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน…
สวี่ซูหานเพิ่งจะทำหน้าตะลึงงัน เสียงนั้นก็เข้ามาใกล้ในรัศมีสิบเมตรแล้ว
จะปรากฏตัวแล้ว!
เวลานี้ ไม่ว่าเธออยากทำอะไรก็ไม่ทันการแล้ว…แต่เธอก็ไม่ถือว่าตอบสนองช้า หลังจากยืนอย่างมั่นคง สิ่งแรกที่เธอทำคือเอื้อมมือไปคว้าไหล่หลิงม่อไว้
ไม่ว่าอย่างไร เตรียมตัวไว้ก่อน!
แต่ในเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วของเธอเพิ่งจะแตะโดนไหล้หลิงม่อ ทันใดนั้นกลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากข้างหลังเธอ
มือข้างนั้นเต็มไปด้วยเลือด แถมยังโผล่พรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แทบไม่รอให้สวี่ซูหานตอบสนองอะไร มือข้างนั้นปิดปากและจมูกเธอทันที
“อื้อ!”
ข้างหน้ามีสัตว์ประหลาด รอบด้านยังมีแต่ไอหมอกสีดำทะมึนทึนทึบอย่างนี้ ความสามารถในการสัมผัสรู้ของสวี่ซูหานใช้การไม่ได้นานแล้ว
ดังนั้นแม้เธอเป็นซอมบี้ แต่ก็ยังถูกลอบโจมตีในสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว…
“ครืดด!”
สวี่ซูหานยังไม่ทันดิ้นขัดขืน ก็ถูกลากถอยหลังเข้าไปในไอหมอกมืด
เวลานี้ หลิงม่อพลันสะดุ้ง!
แม้ว่าสมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่อไปยังสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวเข้ามาด้วยความเร็วสูง แต่อย่างน้อยตำแหน่งของสวี่ซูหานก็อยู่ในขอบเขตที่เขาสัมผัสได้…แต่ในขณะที่เขาดึงสวี่ซูหานให้มาอยู่ข้างหลังตัวเองไม่ถึงหนึ่งวินาที เธอกลับหายตัวไป…
หลิงม่อหันขวับไปมอง ขณะเดียวกัน ท่ามกลางความมืดราวกับมีบางสิ่งกำลังกระโจนใส่เขา…
“อื้อๆ!”
เสี้ยววินาทีที่หลิงม่อเตรียมสะบัดหนวดสัมผัสโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด เงามืดกลุ่มนั้นกลับส่งเสียงครางเบาๆ
หลิงม่อชะงัก วินาทีถัดมา แขนของเขาก็ถูกมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดคว้าเอาไว้ จากนั้นก็หายลับเข้าไปในความมืดเช่นกัน
แทบจะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่หลิงม่อถูกลากตัวหายไป ศพไร้หัวที่นอนแน่นิ่งมาตลอดพลันกระตุกรุนแรง ตามมาด้วยเสียง “กร๊อบบบ” แสบแก้วหู จากนั้นเสียงเคี้ยวอาหารชวนน่าขนลุกก็ดังขึ้น…
สิบกว่าวินาทีผ่านไป หลิงม่อถูกลากโซซัดโซเซมาจนถึงพื้นที่แคบๆ แห่งหนึ่ง
เสียง “เคร้งคร้าง” ดังขึ้นข้างหลัง แล้วประกายไฟกลุ่มหนึ่งก็พลันลุกโชน
หลิงม่อเพิ่งจะหรี่ตาหันไปมอง เงาร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งกระโจนเข้าใส่เขา
เขาไม่ทันตั้งตัว ถูกคนคนนั้นพุ่งชนจนล้มไปกระแทกข้างหลัง หลังจากรู้สึกเจ็บที่แผ่นหลังเขาจึงเพิ่งค้นพบ ว่าที่นี่เป็นช่องทางเดินปูนซีเมนต์ที่ยาวไม่ถึงสองเมตร…ฝั่งหนึ่งถูกปิดตาย ส่วนอีกฝั่งเหมือนจะถูกปิดไว้ด้วยฝาเหล็ก…
เงาร่างที่พุ่งชนเขาคือสวี่ซูหาน ซอมบี้สาวตัวนี้สะดุ้งตกใจสุดขีด มุดหัวในแผ่นอกเขาพลางตัวสั่นงันงก หลิงม่อหนีไม่ได้ หนึ่งเพราะที่นี่แคบเกินไป สองเพราะสวี่ซูหานเร็วมาก…เป็นซอมบี้แต่ดันขี้กลัวถึงขนาดนี้ หาที่ไหนไม่ได้แล้วจริงๆ
หลิงม่อยกมือลูบหลังเธอเบาๆ สองสามที จากนั้นก็เงยหน้ามองเงาร่างที่พิงฝาเหล็กอยู่…
บอกว่าเป็นเงาร่าง แต่ไอ้สภาพที่ดำเมี่ยมไปทั้งตัวอย่างนี้มัน…นอกจากมองรูปร่างมนุษย์ออกแล้ว ก็แทบแยกไม่ออกเลยว่าเป็นตัวอะไรกันแน่…
“อวี่เหวินซวน!” หลิงม่อร้อง
อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่ง พลันร้องตาม “นายมองออกได้ไง?”
เมื่อกี้เขาอุตส่าห์พยายามสุดชีวิตที่จะไม่พูด คงเพราะอยากเห็นทั้งสองคนตกใจเตลิดเปิดเปิง แต่ไม่คิดเลยว่าพอหลิงม่ออ้าปาก เขากลับถูกเปิดโปงง่ายๆ แต่ก่อนเปิดโปง ความจริงพวกเขาสองคนก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่งอยู่เหมือนกัน…เพราะต่างคนต่างไม่คิดจะอ้าปากพูดเป็นคนแรก!
“ชิท! คนโง่ที่ไหนก็มองออกเถอะ!” หลิงม่อเหวี่ยงหมัดออกไป แต่กลับพบว่าสวี่ซูหานยังแนบตัวติดกับแผ่นอกเขา
“อย่าเพิ่งโมโหสิ!” อวี่เหวินซวนรีบถอยหลังหนี พลางบอก “ฉันทำอย่างนี้เพื่อตามหานายนะ”
“นายตามหาฉันด้วยวิธีไหนถึงได้ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนป่าไปได้ หา!” หลิงม่อตวาดเสียงเบา
แม้ปากจะพูดอย่างนี้ แต่เขากลับรีบพิจารณาอวี่เหวินซวนหัวจรดเท้าทันที เจ้าเฟิ่งจื่อเปื้อนโคลนดำหัวจรดเท้า มีเพียงมือข้างนั้นที่ยังถือว่าสะอาด แต่เลือดที่เลอะติดอยู่บนนั้นเป็นของใคร?
เห็นหลิงม่อขมวดคิ้วแน่น อวี่เหวินซวนรีบพูดขึ้น“ไม่ต้องสนใจ แผลถลอกนิดๆ หน่อยๆ ได้มาตอนพยายามเปิดฝาเหล็กนี่น่ะ อีกอย่าง…ถ้ามีโคลน ก็ใช้พลังพิเศษได้ไม่ค่อยดี…พอเถอะ นายหยุดจ้องฉันได้แล้ว! ท่อนบนฉันไม่ได้ใส่อะไรไว้นะ…ใช่สิ เมื่อกี้ที่นายไม่พูดอะไรเพราะตื้นตันใจใช่ไหม? นายเห็นฉันยังมีชีวิตอยู่ก็เลยตื้นตันใจจนพูดไม่ออกล่ะสิ อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…”
“โอ๊ยย!”
หลิงม่อยกเท้าถีบออกไปอย่างหมดความอดทน หลังจากที่อวี่เหวินซวนกัดฟันครวญคราง จึงค่อยถาม “นายมาที่นี่ได้ยังไง? ที่นี่ที่ไหน? อีกอย่าง เมื่อกี้นายทำอะไร?”
ถ้ามีแค่เขากับสวี่ซูหาน เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ แต่พออวี่เหวินซวนโผล่มา พลังพิเศษของเขาน่าจะช่วยได้มาก…แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนี่จะปรากฏตัวพิลึกพิลั่นอย่างนี้ แล้วยังฉุดลากพวกเขาออกมาอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงอื้อๆ นั่นทำให้หลิงม่อชะงักไปชั่วขณะ บวกกับค้นพบว่าเขาเป็นมนุษย์ผ่านพลังสัมผัสรู้ล่ะก็ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจถูกหลิงม่อซัดสลบไปแล้ว
ทว่าเขากล้าทำอย่างนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะเขารู้ว่าหลิงม่อมีความสามารถในการตอบสนองและความสามารถในการสังเกตการณ์
ในอีกด้าน หลิงม่อเป็นห่วงที่อวี่เหวินซวนประสบเคราะห์กรรมมา…ที่สำคัญที่สุดคือ เขาทำยังไงเสื้อถึงได้หายไป? หลังจากเจอเจ้า “โอเบลิสก์” ตัวนั้น เขากลับวิ่งจับพลัดจับผลูมาถึงที่นี่ได้…ทว่านั่นแสดงว่าหลิงม่อคิดถูกแล้ว ความจริงพอสถานการณ์ถึงขั้นนั้น ความคิดของเขาก็เปลี่ยนเป็นเถรตรงตามไปด้วย ไม่ว่าอวี่เหวินซวนจะเกิดเรื่องหรือไม่ ถ้าเขาไม่อยู่บนช่องทางเดินเส้นนี้ ก็ต้องอยู่ปลายช่องทางเดินเส้นนี้แน่นอน…
เหตุผลง่ายมาก—เพราะที่นี่แปลกมาก อวี่เหวินซวนไม่มีทางเลี่ยงสถานที่แปลกๆ แล้วหันไปใช้ช่องทางเดินที่ “ปลอดภัย” แทนแน่นอน ความจริงวิธีนี้ของเขาก็เหมือนกับหลิงม่อ เพียงแต่ทั้งสองกลับพร้อมใจกันที่จะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้
เวลานี้ สวี่ซูหานค่อยๆ ได้สติ เมื่อกี้ที่เธอถูกลากมาที่นี่ตลอดทาง ด้านหนึ่งเพราะตกใจ อีกด้านเพราะได้กลิ่นหลิงม่ออยู่ข้างตัว ตอนนี้มีกลิ่นของอีกคนเพิ่มขึ้นมาชัดเจน แถมอีกฝ่ายยังทิ้งกลิ่นคาวเลือดติดจมูกเธออย่าง “เลือดเย็น” อีกต่างหาก
“ตาเฟิ่งจื่อนั่น…” ความจริงสวี่ซูหานได้ยินพวกเขาคุยกันแล้ว เพียงแต่เมื่อกี้วิญญาณยังไม่เข้าร่างดี ตอนนี้จึงเพิ่งเริ่มย่อยข้อมูลทีละนิดๆ ทว่าพอได้ยินทั้งสองทะเลาะกันทันทีที่เจอกัน กระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือ สวี่ซูหานก็อึ้งงันไปอีกครั้ง
ทำไมล่ะ หาตัวเจอแล้วไม่ดีใจหรือไง? ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้มากแท้ๆ…
“เดี๋ยวก่อน! นี่มันไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้…หน้ากาก หน้ากากฉัน…” เมื่อกี้ไอหมอกมืดปกคลุม เธอมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นอะไร แต่ตอนนี้อยู่ในพื้นที่ว่าง ถ้าเธอหันไปเมื่อไหร่ถูกจับได้แน่ สิ่งที่เธอทำให้เธอกระอ่วนใจยิ่งกว่าก็คือ ตอนนี้เธอยังแนบติดอยู่กับแผ่นอกของหลิงม่ออยู่ แถมมือข้างหนึ่งก็คลำไปทั่ว…น้องสาวของตาเฟิ่งจื่อคนนี้คือหลี่ย่าหลินเชียวนะ!
“จบกัน จบกัน…” สวี่ซูหานคิด
“คือ ฉัน…รอเดี๋ยว! อีกเดี๋ยวค่อยคุยกัน!”
ไม่คิดว่าในตอนนั้น อวี่เหวินซวนกลับแนบตัวติดฝาเหล็กทันใด
เปลวไฟดวงหนึ่งยังคงลอยล่องอยู่เหนือฝ่ามือเขา แต่เนื่องจากใบหน้าเขาถูกโคลนดำถูไปทั่ว หลิงม่อจึงไม่อาจอ่านสีหน้าเขาออก
“เป็นอะไรไป?” หลิงม่ออดถามขึ้นไม่ได้
แต่สวี่ซูหานกลับลอบคิดว่าเกือบไปแล้ว พลางรีบฉวยโอกาสสวมหน้ากากทันที
อวี่เหวินซวนพูดเสียงเบาอย่างมีลับลมคมใน “ใกล้แล้วล่ะ ใช่สิ เมื่อกี้ตอนที่พวกนายนั่งอยู่ตรงนั้น พวกนายรู้แล้วใช่ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?”
“ก็เมื่อกี้ฉันเพิ่งถามนายไปไม่ใช่รึไงเล่า!” หลิงม่อเกิดอยากเตะเขาขึ้นมาอีกครั้ง
—————————————-