บทที่ 1 ภรรยาผู้งดงาม
สายฟ้าแลบสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ในคลินิกข้างถนนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่กำลังสะลึมสะลืออยู่บนเก้าอี้มุมห้องตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ฉันยังไม่ตาย!”
“ถูกภัยอัสนีจนวิญญาณแตกสลายไปแล้วชัดๆ เหตุใดจึงยังไม่ตาย?”
“หรือนี่จะเป็นแดนมิติ?”
“ไม่ แดนมิติไม่มีทางเสมือนจริงได้เช่นนี้!”
“หรือว่าเราจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง?”
เมื่อรีบกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นสาวสวยในชุดสีขาวที่อยู่หลังโต๊ะประชาสัมพันธ์ ดวงตาของชายหนุ่มก็มีท่าทีตื่นตะลึง!
“เซี่ยหยู่เวย!”
“ภรรยาของเราในชาติที่แล้ว!”
“หรือว่าที่นี่จะเป็น….คลินิกตระกูลเซี่ย!”
“ดูเหมือนว่าฉันจะมาเกิดใหม่อีกครั้งจริงๆ!”
เมื่อแน่ใจว่าตนไม่ได้ฝันไป ความตระหนกในดวงตาของหลินหยุนก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเขาอย่างยิ่ง
“นี่ ถือว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์ที่มีต่อเราใช่หรือไม่?”
เขารับรู้ได้ว่าพลังทิพย์ที่เคยพลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทรในร่างกายของตน ตอนนี้ว่างเปล่า อีกทั้งวิญญาณอมตะก็ได้สูญหายไปแล้วเช่นกัน
“พลังบำเพ็ญเพียรดับสูญ ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป เห็นทีคงต้องก้าวผ่านโลกใบนี้ไปอีกครั้งแล้ว!”
“ดีเช่นกัน ชาติที่แล้วมีเรื่องน่าเสียดายมากมายเกินไป ชาตินี้ เราจะต้องชดเชยมันให้ได้”
หลินหยุนไม่รู้สึกว่าการสูญเสียพลังบำเพ็ญเพียรไปเป็นเรื่องน่าปวดใจ อีกทั้งยังมีความรู้สึกคาดหวังเพิ่มขึ้นมาแทน“พ่อ แม่ คราวนี้ใครก็อย่าได้คิดจะรังแกพวกท่าน!”
“พี่ฉินหลัน ชาติที่แล้วท่านปกป้องฉัน พี่ยอมแต่งงานกับศัตรู ถูกพวกเขาทำให้ต้องอับอายจนตัวตาย”
“ชาตินี้ ให้ฉันเป็นคนปกป้องพี่เอง!”
หลินหยุนมองไปที่สาวสวยที่อยู่ด้านหลังโต๊ะประชาสัมพันธ์อีกครั้ง เธอเป็นท่าทีเป็นผู้ใหญ่ ทั้งสวยฉลาดสง่างาม
แต่ หลินหยุนกลับไม่ได้ตื่นเต้นไปกับความงามนั้น นัยน์ตาของเขาแฝงด้วยความเย็นชา
“เซี่ยหยู่เวย ชาติที่แล้วฉันแต่งเข้าบ้านเธอ ราวกับสุนัขตัวหนึ่งที่คอยประจบต่อหน้าเธอ เอาใจเธอ แต่เธอกลับไม่เคยเหลือบมองฉันเลยสักครั้ง”
“ตรงกันข้ามในระหว่างงานแต่งเธอกลับร่วมมือกับลูกชายของรองนายกเทศมนตรีเมืองหลินโจว เว่ยเทียนหมิงมาหลอกฉัน และสุดท้ายก็ทิ้งฉันอย่างไร้ความปราณี!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ท่านอาจารย์ที่กำลังผ่านโลกมาช่วยเอาไว้ จนกระทั่งตายไปก็คงไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ”
“แต่ในชาตินี้ …” ดวงตาของหลินหยุนดูไม่แยแส
ทันใดนั้น ประตูของคลินิกก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง
หญิงชุดแดงในวัย 30 ปี อุ้มเด็กชายอายุห้าขวบเอาไว้และเข้ามาอย่างกระวนกระวาย
“คุณหมอ คุณช่วยดูหน่อยว่าลูกชายของเป็นอะไรไป?” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
หลินหยุนนึกขึ้นมาถึงฉากนี้ในพริบตา
“ที่แท้ฉันกลับมาเกิดในช่วงเมื่อแปดร้อยปีก่อน ตอนฉันอายุ 20 ปี”
หลังบำเพ็ญเซียนมาได้กว่า 800 ปี เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม แค่เพียง800ปีก็กลายกษัตริย์เซียน ถูกสรรพโลกยกย่องให้เป็นมหากษัตริย์ชางฉอง
ความทรงจำของกษัตริย์เซียนยังไม่จางหายไป ขอแค่คิดเกี่ยวกับมันขึ้นมา ไม่ว่าจะรายละเอียดในเรื่องใดก็ล้วนหาได้ในความทรงจำ
“ฉันจำได้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุทางการแพทย์ที่ร้ายแรง เด็กคนนี้ถูกเซี่ยหยู่เวยวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้หวัดทั่วๆไป แต่วันต่อมาเด็กกลับเสียชีวิต!”
“อุบัติเหตุทางการแพทย์ครั้งนี้เกือบทำลายชื่อเสียงของตระกูลเซี่ย!”
ด้านหลังโต๊ะประชาสัมพันธ์ เซี่ยหยู่เวยวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วรีบเดินมาหาเด็กคนนั้น
หลังจากซักถาม เธอก็เอ่ย “น่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ฉันจะฉีดยาให้และสั่งยาสำหรับสามวัน เมื่อกลับไปให้ดื่มมากมากๆหน่อย ถ้าพรุ่งนี้ไข้ลดลงแล้วก็ไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณคุณหมอ!” หญิงสาวพูดอย่างสุภาพ แต่ดูว่าเธอยังคงไม่สบายใจเล็กน้อยและถามขึ้น “เด็กคนนี้เริ่มพูดจาเลอะเลือนแล้ว เป็นแค่ไข้หวัดจริง ๆ หรือ?”
เซี่ยหยู่เวยปลอบอย่างอดทน “พี่สาวไม่ต้องกังวลนี่ คือคลินิกของฉัน คุณอย่ามองว่าฉันยังเด็ก แต่ฉันร่ำเรียนแพทย์กับพ่อแม่มากว่าสิบปีแล้ว ฉันไม่มีทางมองพลาดไป”
หญิงสาวดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลากว่าสองทุ่มแล้ว เวลานี้ต่อให้ไปโรงพยาบาลใหญ่ ก็ทำได้แค่ให้กุมารแพทย์ดูอาการให้เท่านั้น ไม่ได้ดีไปกว่าคลินิกตระกูลเซี่ย ยังไงเสียคลินิกแห่งนี้ก็เปิดมาหลายปีแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงก็ดีมาโดยตลอด
“อย่างนั้น คุณฉีดยาให้เด็กก่อนเถอะ! รบกวนคุณหมอแล้ว!”
“ไม่ต้องเกรงใจ โปรดรอสักครู่!” เซี่ยหยู่เวยเริ่มจ่ายยาให้ลูกของเธอ
หลินหยุนมองดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ
ประวัติศาสตร์ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงคนนี้ยังคงวินิจฉัยผิดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่
เด็กจะตายในวันพรุ่งนี้ และตระกูลเซี่ยจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
“แม้ว่าเซี่ยหยู่เวยจะรังแกฉันมามากเกินไป แต่น้าโจวเฟินก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนลูกชายมาโดยตลอด ในเมื่อฉันเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อความยากลำบากของตระกูลเซี่ยได้
ในชาติที่แล้ว หลินหยุนถูกพ่อแม่ทอดทิ้งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เซี่ยเจี้ยนโก๋และโจวเฟินพ่อแม่ของเซี่ยหยู่เวยรับเขามาเลี้ยงในขณะที่เขาอายุได้ห้าขวบ
เนื่องจากบุคลิกที่แปลกประหลาดของหลินหยุน ส่งผลให้ไม่มีใครชอบเขาตลอดช่วงชีวิตนักเรียน และหลังจากจัดการกับเรื่องยุ่งยากที่ที่เกิดจากหลินหยุนเข้าทีละเรื่องๆ เซี่ยเจี้ยนโก๋เองก็เริ่มไม่ชอบหลินหยุนและเสียใจที่รับเลี้ยงเขาเช่นกัน
อันที่จริง ในตอนนั้นหลินหยุนก็แค่ก่อเรื่องขึ้นเพื่อให้คนอื่นๆหันมาสนใจเขา
แต่โจวเฟินนั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นตอนที่หลินหยุนไม่มีอะไรเลย หรือกระทั่งรู้ความจริงที่ว่างตนเป็นลูกเศรษฐี โจวเฟินก็ปฏิบัติต่อเขาราวกับลูกชายแท้ๆเสมอมา
ดังนั้น เห็นแก่หน้าโจวเฟิน หลินหยุนก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วย!
“ยิ่งไปกว่านั้นเด็กน้อยเองก็ยังไร้เดียงสา”
อีกทั้งหลินหยุนก็สงสัยเล็กน้อยเช่นกัน ด้วยภูมิหลังครอบครัวของเซี่ยหยู่เวย ไม่ควรที่จะเข้าใจผิดเรื่องไข้หวัดใหญ่แบบนี้ได้
สุดท้ายแล้วอะไรกันที่ทำให้เธอวินิจฉัยผิดพลาด?
หลินหยุนเดินผ่านไปอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจวิชาแพทย์ของมนุษย์ทั่วไป แต่มหากษัตริย์ชางฉองเป็นใครกัน? ต่อให้ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของหลินหยุนจะหายไปจนหมด แต่วิสัยทัศน์และการตระหนักรู้ของเขายังคงมีอยู่
แค่พริบตาเขาก็สามารถมองออกถึงโรคได้อย่างรวดเร็ว!
หลินหยุนเดินไปหาเด็กคนนั้น และเหลือบมองดู ในใจของเขาตระหนักขึ้นมาทันที
“ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าทำไมเซี่ยหยู่เวยถึงวินิจฉัยผิดพลาด”
ในสายตาของคนนอก อาการของเด็กเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ แต่ในสายตาของหลินหยุน ศีรษะของเด็กถูกปกคลุมไปด้วยมวลอากาศสีดำ
นั่นคือชี่พิฆาต หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการโดนของ
เซี่ยหยู่เวยจัดยาเสร็จ และเดินเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยาแบบใช้แล้วทิ้ง
“เดี๋ยวก่อน!” หลินหยุนเอ่ยห้ามขึ้นกะทันหัน
เซี่ยหยู่เวยเหลือบมองไปที่เขา คิ้วขมวดขึ้นมา นัยน์ตาฉายแววรังเกียจ “มีอะไร?”
หลินหยุนเอ่ยเสียงเรียบ “โรคของเขาไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่”
สีหน้าของเซี่ยหยู่เวยเผยความเยาะเย้ย “หลินหยุน นายรู้ทักษะทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าของเซี่ยหยู่เวยเยียบเย็นลงทันที ใบหน้าของเธอแสดงท่าทีรังเกียจยิ่งขึ้น เธอเอ่ยเสียงเครียด “ที่นี่เป็นคลินิก ไม่ใช่ที่ที่นายจะมาพูดจาไร้สาระ!”
หญิงสาวคนนั้นมองไปที่หลินหยุนและถามว่า “หนุ่มน้อย คุณเป็นหมอหรือ?”
หลินหยุนส่ายหัว “ไม่ใช่”
หญิงสาวมีสีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง “อย่างนั้นคุณก็อย่ามาเพิ่มความยุ่งยากเลย คุณหมอ คุณรีบฉีดยาให้ลูกชายฉันเถอะค่ะ!”
“ค่ะ!” เซี่ยหยู่เวยถลึงตาใส่หลินหยุนและพูดด้วยเสียงต่ำ”นายกลับไปก่อนเถอะ!”
หลินหยุนไม่สนใจเซี่ยหยู่เวย เขามองไปที่ผู้หญิงคนนั้นดู และเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ก่อนที่ลูกชายคุณจะป่วย น่าจะไปที่สุสานมาก่อนใช่ไหม!”
เซี่ยหยู่เวยหันกลับมาทันที และจ้องไปที่หลินหยุนอย่างไม่พอใจ “หลินหยุน ถ้านายยังมาทำตัวมีผลกระทบต่อการรักษาคนไข้ของฉันอีก ฉันจะไล่นายไปเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นหญิงสาวก็มองไปที่หลินหยุนด้วยความประหลาดใจและถามว่า “หนุ่มน้อย คุณรู้ได้ยังไง”
“เมื่อวานซืนพวกเราพาเขาไปเผากระดาษให้ปู่ของเขา พอกลับมาเขาก็เริ่มพูดจาเพ้อเจ้อ”
“คุณรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของฉัน?” ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่หลินหยุนอย่างคาดหวัง
“ลูกชายของคุณถูกของบางอย่างที่ไม่สะอาดเข้าให้ หากไม่กำจัดมันให้ทันท่วงที คาดว่าพรุ่งนี้คงไม่รอดแน่!” หลินหยุนกล่าวอย่างใจเย็น
“อะไรนะ! คุณพูดจริงๆหรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นตกตะลึง ปกติเธอเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เมื่อหลินหยุนเดาถูกว่าลูกชายของเธอเคยไปที่สุสาน เธอจึงเชื่อคำพูดของหลินหยุนไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน
เซี่ยหยู่เวยที่ตั้งแต่เล็กไม่เชื่อในพระเจ้า บวกกับตัวเธอยังเรียนแพทย์ด้วย แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อเรื่องภูตผีแบบนี้
“หลินหยุน นี่นายกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไร! ไสหัวไป!” เซี่ยหยู่เวยโกรธมาก
“พี่สาว อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขา วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์นานแล้วว่าทฤษฎีเรื่องผีและเทพเจ้าเป็นเรื่องไร้สาระ รีบรักษาเด็กโดยเร็วและอย่าทำให้อาการป่วยยิ่งล่าช้า”
หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ถ้าเข็มนี้ลงไป เด็กคนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน”
จากนั้นหลินหยุนก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและพูดว่า “ผมมีวิธีปลุกลูกชายของคุณ”