บทที่ 51 การเชิญจากอันซิน
หลินหยุนมองเซี่ยเจี้ยนโก๋อย่างเงียบๆ พร้อมพูดด้วยเสียงราบเรียบขึ้นมาว่า “ไม่รู้สินะว่า ความหยิ่งยโสโอหังที่คุณพูดถึง ความจริงเป็นวิธีการที่ถ่อมตัวที่สุดของฉันแล้ว”
“ถ้าฉันหยิ่งยโส ทุกคนบนโลกนี้จะต้องก้มหัวให้ฉัน!”
ตระกูลเซี่ย คนที่หลินหยุนสนใจมีแค่โจวเฟินคนเดียว สำหรับเซี่ยเจี้ยนโก๋ หลินหยุนยอมคุยกับเขา เพียงเพราะเห็นแก่หน้าโจวเฟินก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้น หลอนหยุนไม่มีทางที่จะเกรงใจเขาเด็ดขาด ถึงแม้เขาจะอยู่ในฐานะพ่อตาของตัวเองก็ตาม
เซี่ยเจี้ยนโก๋โกรธจัดจนหน้าเขียว เดิมทีเขาอยากถามว่าหลินหยุนเรียนวิชาการแพทย์มาจากไหน จากนั้นเขาจะได้แนะนำเพิ่มเติม ต่อไปในอนาคตอยากจะยืมมือหลินหยุนพาตัวเองกลับไปที่ตระกูลเซี่ย ให้คนในตระกูลเซี่ยเห็นสักทีว่า ตอนแรกที่ไล่เขาออกจากตระกูลนั้น เป็นเรื่องที่โง่เง่าขนาดไหน
แต่ว่า ความอวดดีของหลินหยุนกลับมากยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ ถ้าหากวันนี้อยากจะเห็นกับตาว่าหลินหยุนใช้วิธีมหัศจรรย์ใดรักษาคนไข้ แค่ประโยคที่หลินหยุนพูดเมื่อกี้ เขาก็อยากจะส่งหลินหยุนไปที่โรงพยาบาลบ้าให้ได้
ทุกคนบนโลกนี้จะต้องก้มหัวให้!
เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
ตระกูลหมี่ที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นมหาอำนาจมากที่สุดของโลกในตอนนี้ ก็ไม่กล้าที่จะพูดคำนี้ออกมาได้!
หลินหยุนไม่รอให้เซี่ยเจี้ยนโก๋ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นมาทันที พร้อมใช้สายตามองราวกับผู้ที่อยู่สูงกว่ามองไปที่เซี่ยเจ้ยนโก๋ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าคุณอยากรู้ว่าวิชาการแพทย์ของฉันเรียนมาจากที่ไหน คืนวันมะรืนตอนสองทุ่ม คุณไปรอที่หน้าหมู่บ้านได้”
พอพูดจบ หลินหยุนก็เดินจากไปด้วยความไม่สนใจไยดีอะไร เหลือไว้เพียงเสียงปิดประตูที่ดังขึ้น
เซี่ยเจี้ยนโก๋มองไปที่ด้านหลังของหลินหยุน สีหน้าดูไม่ดีนัก เขาคิดมาตลอดว่าการที่ให้หลินหยุนแต่งงานกับลูกสาวตัวเอง จะเป็นบุญคุณสำหรับหลินหยุนแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยุน เขามักจะมองว่าตัวเองอยู่สูงกว่าเสมอ ทำตัวเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากกว่าหลินหยุนตลอดเวลา
แต่ว่า หลินหยุนอยู่ดีๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมมากถึงขนาดนี้ ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่อยู่ดีๆ คนที่ตัวเองดูถูกมาตลอดกลับมาดูถูกตัวเองแบบนี้ไม่ได้
แต่ว่า ประโยคสุดท้ายที่หลินหยุนบอก กลับทำให้ความไม่เป็นสุขของเขาหายไปชั่วคราว
“คืนวันมะรืนตอนสองทุ่ม ที่หน้าหมู่บ้าน…” เซี่ยเจี้ยนกโก๋พึมพำคนเดียวอยู่อย่างนั้น พร้อมแอบจดจำเวลาดังกล่าวเอาไว้
“ได้ พอถึงเวลานั้นฉันจะดูซิว่าแกจะเล่นกลลวงอะไร!”
หลินหยุนกลับไปที่ห้องนอน อยู่ดีๆ มือถือก็ดังขึ้น
หน้าจอปรากฏชื่อของอันซินที่เป็นคนโทรมา
“หรือว่าอันซินจะเจอเรื่องเดือดร้อนเหรอ?”
ชาติที่แล้ว หลินหยุนจำได้ว่าบ้านของอันซินเจอเรื่องเดือดร้อนใหญ่ โดนบังคับจนหมดหนทาง จึงต้องออกไปจากหลินโจว หลังจากนั้นมือถือก็โทรไม่ติด แล้วเขาก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย
ชาตินี้ หลินหยุนจะต้องช่วยอันซินผ่านเรื่องราวร้ายๆ นี้ไปให้ได้ ถือว่าเป็นการตอบแทนชาติที่แล้วที่อันซินทุ่มเทหัวใจให้เขามาตลอด
“อันซิน เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อรับสาย เขารีบถามขึ้นทันที
เสียงหวานแหววของอันซินดังขึ้นที่ปลายสาย “ไม่มีอะไร ก็คือพรุ่งนี้ฉันมีนิทรรศการภาพวาดที่โรงศิลปะหลีหยวน เลยอยากเชิญพี่หลินหยุนไปดูหน่อยค่ะ!”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความไม่นิ่งและความรอคอย เหมือนจะกลัวว่าหลินหยุนจะปฏิเสธคำชวนของเธอ
หลินหยุนนึกภาพใบหน้าที่สวยงามของเธอขึ้นมา ท่าทางระมัดระวังแบบนั้น รวมทั้งหน้าอกที่น่าภูมิใจของเธอ
อันซินชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งยังมีพรสวรรค์ในด้านนี้อีกด้วย ตอนอายุ 10 ขวบเธอเคยได้รับคำชมจากจิตรกรชื่อดัง ซึ่งเขาบอกกับเธอว่าต่อไปในอนาคตเธอจะต้องประสบความสำเร็จในเส้นทางการวาดภาพแน่นอน
ถึงแม้ว่าอันซินจะยังคงอยู่ในวัยเรียน แต่ผลงานของเธอก็ได้รับรางวัลมานักต่อนักแล้ว ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดเหมือนจะมีชื่อว่า “อาหารเย็นมื้อสุดท้าย” ชิ้นนั้น ซึ่งเคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันวาดภาพงานใหญ่งานหนึ่งเช่นกัน
แต่ทุกครั้งที่หลินหยุนเห็นภาพนั้น ก็มักจะหัวเราะเยาะเธอเสมอ เขาบอกว่าภาพนั้นเหมือนภาพที่คนขอทานกำลังขอทานอยู่ พร้อมทั้งยังตั้งชื่อให้ภาพนั้นว่า “คนขอทาน” ด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วย
ทุกครั้งจะต้องให้อันซินยกหมัดขึ้นวิ่งไล่ตี และก็จบลงด้วยเสียงขอร้องของหลินหยุนที่ขอร้องให้เธอหยุดตีเขา
เวลาผ่านมา 800 กว่าปี เมื่อหลินหยุนนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“โรงศิลปะหลีหยวน ใช่ไหม พรุ่งนี้ฉันไปแน่นอน!”
อันซินพูดด้วยความดีใจว่า “โอเค พรุ่งนี้เช้าต้องเจอกันให้ได้นะ ถึงแล้วโทรหาฉันด้วย”
“ได้”
เมื่อพูดโทรศัพท์กับอันซินจบ หลินหยุนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านนอก จากนั้นก็เป็นเสียงโจวเฟินที่กำลังเรียกเซี่ยหยู่เวย
จากนั้นก็ตามด้วยเสียงที่โจวเฟินบอกให้เซี่ยหยู่เวยมาเรียกตัวเองไปกินข้าว
หลินหยุนยังไม่รอให้เซี่ยหยู่เวยมาเรียก เขาก็เปิดประตูเดินออกไป
แต่ว่า เซี่ยหยู่เวยยืนอยู่ที่หน้าประตูพอดี
ทั้งสองสบตากันไม่นาน เซี่ยหยู่เวยก็หันหน้าไปทางอื่น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจอะไรว่า “ต่อไปถ้าถึงเวลากินข้าวก็ออกมาเองเลย อย่าเอาแต่ให้คนอื่นรอ!”
ดูเหมือนว่าท่าทีของเซี่ยหยู่เวยที่มีต่อหลินหยุน จะยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก
หลินหยุนเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่ว่ายังไง เขาเองก็ไม่ได้ดีกับเซี่ยหยู่เวยเท่าไหร่นัก
บรรยากาศอาหารมื้อเย็นดูแปลกไป หลินหยุนทำให้สองพ่อลูกนั้นโมโห เพราะฉะนั้นทั้งสองคนถึงได้มีสีหน้าที่ไม่พอใจนัก ทั้งยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
โจวเฟินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูแปลกไป เธอมองไปที่สองพ่อลูกคู่นั้น พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกแกสองคนเป็นอะไร? ฉันจะบอกให้นะ อย่าคิดมารังแกเสียวหยุน ไม่งั้นต่อไปก็ทำกับข้าวกันเอาเอง!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋สีหน้าเริ่มเป็นปกติขึ้น วิธีนี้ของโจวเฟินใช้ได้ดีทุกครั้ง
เมื่อทานข้าวเสร็จ หลินหยุนก็นั่งคุยกับโจวเฟินสักพัก หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง
เซี่ยหยู่เวยยังคงนั่งพิงหมอนเล่นมือถืออยู่ตามเคย หลินหยุนเองก็นั่งฝึกอยู่ในมุมของห้องเหมือนแต่ก่อน เขาไม่ได้สนใจเซี่ยหยู่เวยที่หน้าตาสวยหุ่นดีคนนี้เลยแม้แต่นิด ราวกับว่าข้างๆ ไม่มีใครอยู่
ชีวิตสามีภรรยาแบบนี้ หากให้คนอื่นรู้ คงต้องโดนหัวเราะเยาะเป็นแน่
หลินหยุนนั่งฝึกทั้งคืน ห่างจากการไปถึงระยะปฐมภูมิตอนกลาง ใกล้เข้าไปอีกก้าว
ตอนเช้าตรู่ หลินหยุนตื่นขึ้นมาแต่เช้า เหลือเวลาเผื่อให้เซี่ยหยู่เวยได้แต่งตัว
วันนี้เขาจะไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาดของอันซิน
เมื่อเห็นโจวเฟินที่กำลังตื่นขึ้นมาเตรียมตัวทำกับข้าว เขาก็พูดกับเธอว่า “น้าเฟิน วันนี้ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอก ตอนเที่ยงก็ไม่ได้กลับมานะครับ”
โจวเฟินจึงตอบไปว่า “โอเค งั้นไปคนเดียว ระวังความปลอดภัยด้วยนะ!”
“น้าเฟินวางใจเถอะครับ ผมแค่ไปดูนิทรรศการภาพวาดของเพื่อนเฉยๆ” หลินหยุนตอบ
“อืม ไปเถอะ มีเงินไหม? เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ จะไปมือเปล่าไม่ได้นะ!” พอพูดจบ โจวเฟินก็กลับเข้าไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบเงินออกมา
“น้าเฟินไม่ต้องหรอกครับ ผมมีเงินอยู่” หลินหยุนรีบห้าม เงินสามร้อยล้านที่เจี่ยงสงเอาให้เขายังใช้ไม่หมดเลย
“อย่าเกรงใจน้าเลย ถ้าไม่มีเงินก็พูดกับน้าได้!” โจวเฟินพูดกำชับ
“ครับ งั้นผมไปแล้วนะ”
พอออกจากบ้านตระกูลเซี่ย หลินหยุนก็ออกมากินข้าวเช้าที่ร้านข้างนอก จากนั้นก็โทรหาอันซิน
“อันซิน ฉันกำลังจะไปนะ” หลินหยุนพูด
เสียงปลายสายดังเป็นระยะ เหมือนว่าเธอกำลังยุ่งอยู่ แต่ก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “พี่หลินหยุน พี่มาที่โรงศิลปะหลีหยวน เลยนะคะ ฉันจะไปรับพี่ที่หน้าประตู งานเสร็จเราไปกินข้าวกับเพื่อนๆ กันนะ!”
“ได้”
โรงศิลปะหลีหยวน เขารู้ว่าอยู่ไหน จึงโบกแท็กซี่ให้ไปส่ง ครึ่งชั่วโมงก็ถึงหน้าประตูใหญ่ของโรงศิลปะหลีหยวน
พอเขาลงจากรถ ก็มองเห็นอันซินกำลังวิ่งออกมาด้วยความดีใจ สีหน้าที่สวยใสของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลินหยุน พี่มาแล้ว!” เสียงใสแจ๋วของเธอแว่วมา
หลินหยุนยิ้ม “ยินดีด้วยนะ อายุเท่านี้ก็ได้เปิดนิทรรศการภาพวาดแล้ว”
“เพราะคุณพ่อกับคุณแม่ส่งเสริมไง แต่ว่าพี่มาได้ฉันก็ดีใจ” อันซินยิ้มสวยเหมือนดอกไม้ที่ผลิบาน เหลือแค่ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะมีดาวประกายออกมา
“วันนี้เธอต้องยุ่งมากแน่ๆ ไม่ต้องดูแลฉันหรอก รีบไปต้อนรับแขกเถอะ!” หลินหยุนกล่าว
อันซินมองดูบรรดาแขกที่กำลังเข้ามาร่วมงาน เธอยุ่งมากจริงๆ ถึงแม้ว่าเธออยากอยู่ตามลำพังกับเขามากก็ตาม
“งั้นก็ได้ พี่หลินหยุน พี่เดินเล่นดูไปก่อนนะคะ วันนี้ฉันเชิญเพื่อนมาเยอะมาก น่าจะได้เจอคนที่พี่รู้จัก”