บทที่ 60 ฉันคือคนที่แกไม่กล้ามีเรื่องด้วย
แต่จางจื่อเห้ากลับทำสีหน้าเหมือนว่าตัวเองจัดการสถานการณ์ได้ พร้อมยิ้มแล้วพูดว่า “คุณน้า ให้ผมลองเถอะ!”
ไอ้หน้าบากเฉียงมองไปที่จางจื่อเห้า สีหน้าเผยออกมาซึ่งรอยยิ้มที่แปลกประหลาด
“แกเป็นใคร?” ไอ้หน้าบากเฉียงถาม
“ผมชื่อจางจื่อเห้า พ่อผมคือจางเจี้ยนลี่!” จางจื่อเห้าตอบด้วยความเกรงใจ
ไอ้หน้าบากเฉียงพยักหน้า “จางเจี้ยนลี่? ฉันรู้แล้ว ซุปเปอร์มาเก็ตต้าฝู เป็นของบ้านแกใช่ไหม?”
“ใช่ครับ พี่เฉียงนี่ความจำดีจริงๆ เลย!” จางจื่อเห้าพูดเอาใจ
อันซื่อเอินมองไปที่จางจื่อเห้า รู้สึกตกใจเล็กน้อย หรือว่าพ่อของจางจื่อเห้ารู้จักกับไอ้หน้าบากเฉียงหรือ?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คงเป็นเรื่องที่ดีมาก
เพื่อนคนอื่นๆ ก็มองจางจื่อเห้าด้วยความตกใจ เดิมทีโดนหลินหยุนแย่งความสนใจไป ตอนนี้เขากลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
หลี่นีกระซิบพูดกับอันซื่อเอินว่า “เด็กคนนี้ชอบอันซิน มีแต่คนบอกว่ายามตกทุกข์จะเห็นว่าใครที่จริงใจ เด็กคนนี้ออกตัวช่วยเราตอนลำบาก รู้เลยว่าเป็นคนไม่เลวเลย!”
อันซื่อเอินพยักหน้าตอบรับ พร้อมพูดว่า “ไม่เลวจริงๆ อีกอย่างเจอเรื่องใหญ่ก็ไม่ตกใจ มีความเป็นผู้นำที่ดี!”
สายตาที่สองคนนี้มองจางจื่อเห้า เหมือนกำลังมองลูกเขยของตัวเองอย่างนั้น
อันซื่อเอินก็พูดกับจางจื่อเห้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ “จางจื่อเห้า ขอบคุณนะ!”
จ้าวกาวพูดกระซิบอยู่ข้างๆ หลินหยุนว่า “หลินหยุน จางจื่อเห้ามันชอบออกหน้าอยู่แล้ว เมื่อกี้นายน่าจะรีบยืนขึ้นก่อน!”
หลินหยุนมองดูจางจื่อเห้าด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส “ดูต่อไป”
ไอ้หน้าบากเฉียงหัวเราะให้กับจางจื่อเห้า พร้อมพูดว่า “ในเมื่อแกเป็นลูกชายของจางเจี้ยนลี่ งั้นฉันก็ไม่ถือสาแกแล้วกัน แกรีบไปเลย!”
จางวจื่อเห้าชะงักไป สีหน้าเริ่มเปลี่ยน “พี่เฉียง หมายความว่าไง?”
ไอ้หน้าบากเฉียงหัวเราะแหะๆ มองจางจื่อเห้าด้วยสายตาดูถูก “ความหมายก็คือให้แกไสหัวไปได้แล้ว จะต้องให้พูดให้เข้าใจกว่านี้ไหม?”
นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่อกี้ยังกับเพื่อนเก่าคุยกัน แต่พอพริบตาเดียวก็เปลี่ยนไปแบบนี้แล้ว?
ทุกคนพากันงงงวยไปหมด ไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างไอ้หน้าบากเฉียงกับจางจื่อเห้าเป็นอย่างไรกันแน่
จางจื่อเห้าโมโหจนหน้าแดง เขารู้แล้วว่าตัวเองโดนหลอกแล้ว
“พี่เฉียง เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ พอฉันยืนขึ้นมา พี่ก็จะปล่อยพวกเขาไง ทำไมไม่รักษาคำพูดแบบนี้?”
ไม่รักษาคำพูด…เดี๋ยวก่อน หมายความว่ายังไง?
ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เหมือนว่าสองคนนี้จะปรึกษากันก่อนหน้านี้แล้ว!
สายตาที่ทุกคนมองไปที่จางจื่อเห้า เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น สองคนคุยตกลงกัน เพื่อที่จะแสดงละครเจ้าชายขี่ม้าขาวงั้นสินะ!
จ้าวกาวถามด้วยความอยากรู้ “หลินหยุน จางจื่อเห้าหมายความว่ายังไง? เขาปรึกษากันกับไอ้หน้าบากเฉียงนั่นก่อนแล้วใช่ไหม?”
หลินหยุนยิ้มประหลาด พร้อมตอบไปว่า “ดูต่อไป”
ไอ้หน้าบากเฉียงมองหน้าจางจื่อเห้าด้วยความเย็นชา สีหน้าไม่ได้ดูสนใจเขาสักนิด “ทำตามคำพูดเหรอ? คนอย่างแกก็จะกล้ามาพูดเรื่องทำตามคำพูดกับฉันงั้นเหรอ? ฉันอยากทำอะไรก็ทำ ต่อให้พ่อแกมายืนอยู่ตรงนี้ ก็ไม่กล้าพูดว่าขอไว้หน้ากับฉัน!”
“ถ้ายังไม่ไสหัวไป ฉันจะจัดการแกก่อน!”
จางจื่อเห้าตกใจจนเหงื่อไหล เขาเกือบลืมไปแล้วว่าไอ้หน้าบากเฉียงไม่ใช่คนที่เขาจะเล่นด้วยได้ ต่อให้พ่อของเขาจางเจี้ยนลี่มายืนอยู่ตรงนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไรกับไอ้หน้าบากเฉียงแม้แต่คำเดียว
ต่อให้ฝ่ายนั้นไม่รักษาคำพูด เขาก็ทำได้แค่อดทน แม้แต่จะโมโหก็ไม่กล้า ก็เหมือนกับการที่โดนคนอื่นสั่งให้ยื่นหน้าซ้ายออกไป เขาก็จะยื่นหน้าขวาออกไปไม่ได้
ต่อให้เขายื่นหน้าออกไปให้คนอื่นตี ก็ต้องดูว่าคนคนนั้นจะตีด้านไหน
“พี่เฉียง ฉันผิดไปแล้ว ฉันรีบร้อนไป ลืมว่าตัวเองเป็นใคร พี่เฉียงปล่อยฉันไปเถอะนะ!” หลังจากจางจื่อเห้าโดนด่า ก็ต้องทำหน้ายิ้มขอร้องให้ไอ้หน้าบากเฉียงให้อภัยตัวเอง
ไอ้หน้าบากเฉียงหัวเราะอย่างสะใจ “ฮ่าๆ ถือว่าแกฉลาด ไสหัวไปซะ!”
เมื่อเห็นความแตกต่างตั้งแต่เขาเสนอหน้าออกมา จนถึงตอนสุดท้าย ท่าทีที่มีต่อไอ้หน้าบากเฉียงเปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนต่างก็พากันมองด้วยสายตาดูถูก ไร้ยางอายจริงๆ
ไอ้หน้าบากเฉียงมองไปยังผู้คนที่อยู่รอบด้าน หัวเราะดัง “ทำไม? ดูไม่เข้าใจเหรอ ฉันจะบอกพวกแกเอง ไอ้เด็กคนเมื่อกี้ โทรเรียกฉันให้มาที่นี่ จะพูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นคนวางแผนทุกอย่าง อยากจะแสดงละครเจ้าชายขี่ม้าขาว”
“แต่ไอ้นี่สงสัยมันลืมไปว่า ฉันจะถูกมันใช้ประโยชน์ง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ? ฉันก็แค่ใช้ประโยชน์จากมันก็เท่านั้น!”
ไอ้หัวทองที่ยืนอยู่ข้างหลังรีบพูดเอาใจ “พี่เฉียงฉลาดมาก!”
“จางจื่อเห้า แกนี่มันสารเลวจริงๆ!” จ้าวกาวด่าด้วยความโมโห
อันซื่อเอินกับหลี่นีสองสามีภรรยาต่างก็พากันโมโหจนแทบจะหน้ามืดเป็นลม
“แก แก…ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นฝีมือแก! ฉันว่าแล้วทำไมอยู่ดีๆ เด็กผู้หญิงแค่สองคนจะไปมีเรื่องกับคนอื่นขนาดนี้ได้ยังไง!” หลี่นีชี้หน้าจางจื่อเห้า สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
อันซื่อเอินมองจางจื่อเห้าด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยความโมโหว่า “ต่อไปบ้านเราไม่ต้อนรับแก!”
อันซินก็หอบหายใจแรง จนหน้าอกสั่นไปมา “จางจื่อเห้า แกนี่มันสารเลวจริงๆ เมื่อกี้ฉันไม่น่าพูดขอบคุณแกเลย!”
จางจื่อเห้าอายจนหน้าแดง อยากที่จะมุดหัวลงดินไปซะตอนนี้ หยางฉีกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในพวกของจางจื่อเห้า ก็หน้าร้อนผ่าวตามๆ กันไป รู้สึกละอายใจมาก
ไอ้หน้าบากเฉียงรู้สึกรำคาญแล้วพูดขึ้นว่า “พอแล้ว ตอนนี้พวกแกเข้าใจกันแล้ว ก็รีบโอนเงินมาให้ฉันก็จบ”
เมื่อรู้ว่าจางจื่อเห้าเป็นต้นเรื่องทุกอย่าง ความโกรธแค้นของอันซื่อเอินที่มีต่อไอ้หน้าบากเฉียงก็เริ่มลดน้อยลง
“แป๊บนึง จะโอนไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“เดี๋ยวก่อน!”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจนดังขึ้น ผู้คนที่ต่างก็คิดว่าเรื่องนี้กำลังจะจบลง ต่างก็พากันหันไปตามทางของเสียงนั้น
หลินหยุนค่อยๆ ยืนขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้อง มองไปที่ไอ้หน้าบากเฉียงด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปล่อยพวกเขาไป”
อันซินรีบร้อน รีบตะโกนบอกหลินหยุนทันทีว่า “หลินหยุน พี่จะทำอะไร? รีบนั่งลง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่!”
จ้าวกาวก็รีบดึงเขาให้นั่งลง กระซิบบอก “หลินหยุน บ้าหรือเปล่า? รีบนั่งลง!”
อันซื่อเอินเมื่อรู้ว่าหลินหยุนให้เช็คธนาคาร 1 ล้านกับอันซิน เขาก็รู้สึกผิดกันหลินหยุนเป็นอย่างมาก บวกกับตอนนี้หลินหยุนก็ออกหน้าช่วยในยามวิกฤตแบบนี้ ยิ่งรู้สึกดีกับหลินหยุนมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“หลินหยุน ความหวังดีของนายฉันรับไว้แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่นายจัดการได้ รีบนั่งลงเถอะ!”
อันซื่อเอินส่งสายตาให้หลินหยุน บอกเป็นนัยไม่ให้เขาต่อความยาวสาวความยืด เขารู้ว่าหลินหยุนมีเงิน แต่ถ้าให้ไอ้หน้าบากเฉียงรู้เรื่องนี้ ก็ต้องรีดไถเงินเพิ่มอีกแน่ แบบนั้นยิ่งจะเสียเปรียบเข้าไปใหญ่
ตอนนี้ให้เงินไอ้หน้าบากเฉียงไป 5 หมื่น ถือว่าพ้นเคราะห์พ้นกรรม อันซื่อเอินไม่อยากทำปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น
หลี่นีก็พูดช่วยว่า “หลินหยุน คุณน้าของนายพูดถูก รีบนั่งลงเถอะ!”
หวางชิ่งเซิงที่เพิ่งจะโทรศัพท์เสร็จ ก็หัวเราะเสียงแห้ง “ไอ้เด็กคนนี้ ชอบออกหน้าเสียจริงๆ ทางที่ดีให้ไอ้หน้าบากเฉียงสั่งสอนมันสักหน่อย!” หลินหยุนสายตากวาดไปที่อันซิน แล้วไปหยุดที่หลี่นี
“ทุกคนวางใจเถอะ แค่นักเลงคนเดียว ผมจัดการได้”
“……”
ทุกคนต่างก็พากันพูดอะไรไม่ออก
พูดคำว่านักเลงต่อหน้าไอ้หน้าบากเฉียง ตอนนี้อยากหนีคงหนีไปไหนไม่ได้แล้ว
เป็นอย่างที่คิด ไอ้หน้าบากเฉียงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขามองไปที่หลินหยุนแล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไอ้เด็กนี่ แกเป็นใคร?”
ไอ้หน้าบากเฉียงไม่โง่ หลินหยุนกล้าที่จะยืนขึ้นมาในสถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีคนคอยคุ้มหัวแน่นอน เขาต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าพี่พึ่งของหลินหยุนคือใคร
นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้เขาอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
หลินหยุนสองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่าทางแฝงไปด้วยความไม่แยแส “ฉันคือคนที่แกไม่กล้ามีเรื่องด้วย”
ไอ้หัวทองพูดด้วยความโมโหว่า “แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม ถึงกล้าพูดกับพี่เฉียงแบบนี้!”
ไอ้หน้าบากเฉียงยกมือห้ามไอ้หัวทองไว้ สีหน้าเคร่งขรึมจ้องไปที่หลินหยุน “ฉันถามแกอีกรอบ แกคือใคร?”
“แกหูหนวกหรือไง?” หลินหยุนพูดด้วยความรำคาญ “ฟังให้ดี ฉันจะพูดอีกครั้ง”
“ฉันคือคนที่ชาตินี้แกก็ไม่กล้ามีเรื่องด้วย!”