บทที่ 65 ชีวิตเหมือนละคร ต้องใช้เทคนิคการแสดง
หลินหยุนยื่นมือไปรับกุญแจพร้อมเอามันใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็หันหน้าเดินไปที่ด้านในชุมชน
หยุนเยว่มองดูท่าทางที่สบายๆ ของหลินหยุน กับกุญแจที่แทบจะตกออกมาอยู่รำไรนั้น ทันใดนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ
“เขาจะรู้ไหมว่าราคาของคฤหาสน์นั้นสูงขนาดไหน? นั่นมันคือตึกว่างเยว่เชียวนะ คฤหาสน์ที่ดีที่สุดของหลินโจว ไม่มีที่ไหนเทียบได้!”
หลังจากหยุนเยว่กลับไป หลินหยุนก็กลับเข้าบ้าน
ที่บ้านไม่มีใคร โจวเฟินและเซี่ยเจี้ยนโก๋ไม่อยู่ทั้งคู่
หลินหยุนหาสมุดมาเล่มหนึ่ง เริ่มวาดรูปไปมา
ไม่กี่นาทีเขาก็ทำเสร็จ นี่คือวิธีการฝึกวิชาที่เขาเตรียมไว้ให้กับซูจื่อเหลียง
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิธีการฝึกวิชาที่แท้จริง เป็นวิธีเดียวกันกับวิธีการฝึกที่ให้กับควีนจิน แต่ทำการเขียนขึ้นมาใหม่ พลังอาจจะน้อยกว่าที่ควีนจินฝึกเล่มนั้นเยอะ
ถึงจะไม่ใช่วิธีการฝึกวิชาที่แท้จริง แต่เป็นวิชาที่หลินหยุนเขียนด้วยตัวเอง หากถูกเผยแพร่ออกไป จะต้องทำให้โลกเกิดเรื่องราววุ่นวายใหญ่โตแน่นอน
พอผ่านไปสักพัก โจวเฟินซื้อของกลับมาถึงบ้านพอดี พร้อมถามหลินหยุนว่าวันนี้สนุกไหม หลินหยุนยิ้มตอบ
ตอนกลางคืน ยังคงเป็นสภาพเดิมเหมือนทุกวัน หลินหยุนนั่งขัดสมาธิฝึกอยู่ เซี่ยหยู่เวยนอนอยู่บนเตียงคนเดียว
วันต่อมา หลินหยุนไม่ได้ไปที่คลินิกกับเซี่ยหยู่เวย แต่ไปหาที่ฝึกข้างนอกต่อ
พอถึงตอนทุ่มครึ่ง เขาถึงได้กลับบ้านมา
พอกลับถึงประตูชุมชนก็สองทุ่มพอดี ซูเหลียงจื่อที่นั่งรออยู่นานก็กระโดดออกมาจากข้างๆ
“อาจารย์!” ซูเหลียงจื่อคุกเข่าลงกับพื้นทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยเคารพศรัทธา
หลินหยุนพูดด้วยเสียงราบเรียบ “ลุกขึ้นพูดเถอะ อย่าให้คนอื่นเห็นเข้า”
“ครับ!” ซูเหลียงจื่อลุกขึ้นมา ก้มหน้าด้วยความเคารพ
หลินหยุนมองไปที่ซูเหลียงจื่อไปมา พบว่าวันนี้ซูเหลียงจื่อใส่ชุดยาวสีเขียว สะอาดมาก ไม่มีรอยประ
ทรงผมก็ถูกจัดทรงอย่างดี น่าจะตั้งใจเตรียมตัวมาอย่างดี
ดูออกว่าการเจอกันครั้งแรกนี้ของเขากับหลินหยุน ซูเหลียงจื่อให้ความสำคัญมาก
หลินหยุนเอาวิธีการฝึกวิชาที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อวานให้กับเขา พร้อมพูดว่า “เอาไปเถอะ!”
“นี่คือ…วิธีการฝึกวิชาเหรอ?” ซูเหลียงจื่อสีหน้าตื่นเต้นใหญ่ จนลืมยื่นมือไปรับ
“การเป็นนักบู๊ ไม่ใช่มีความจำกัดด้านอายุกับสภาพร่างกายเหรอ? ผมอายุเยอะขนาดนี้ จะฝึกได้ยังไง?” ซูเหลียงจื่อรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เขาอยากมอบตัวเป็นศิษย์หลินหยุนเท่านั้น ไม่ได้อยากเป็นนักบู๊อะไรเลย แต่อยากให้หลินหยุนพาไปที่สำนักใหญ่นั้น
แค่ไปดู จะได้ตายตาหลับสักที
หลินหยุนตอบไปว่า “ตรงที่ของฉัน ไม่มีการจำกัดอะไรทั้งนั้น ถ้านายพรสวรรค์ไม่เลว ต่อไปในอนาคตฉันอาจจะพิจารณาให้นายเข้าสู่สำนักจริงๆ ก็ได้”
“จริงๆ เหรอครับ? ขอบคุณอาจารย์มากครับ!” ซูเหลียงจื่อดีใจมาก รับสมุดเล่มนั้นมาไว้ แล้วลุกขึ้นทันที
หางตาหลินหยุน มองเห็นเซี่ยเจี้ยนโก๋ที่ค่อยๆ เดินหลบเข้าไปด้านหลังรถคันหนึ่ง
“ซูเหลียงจื่อ ตอนนี้นายแสดงละครเป็นเพื่อนฉันหน่อย ตอนนี้ นายต้องเป็นอาจารย์ของฉัน” อยู่ดีๆ หลินหยุนก็พูดขึ้น
“หา…” ซูเหลียงจื่อชะงักไปสักพัก แป๊บเดียวเขาก็รีบตอบรับ “ครับ”
แค่แวบเดียว ซูเหลียงจื่อก็ยืนตัวตรง ใบหน้าแฝงไปด้วยความสูงส่ง ไม่ว่าใครมาเห็นก็คงต้องชื่นชมท่าทางที่เหมือนเซียนเทพของเขา
ซูเหลียงจื่อเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องพูดอะไร เซี่ยเจี้ยนโก๋จะต้องเชื่อแน่นอน
แต่ว่าฝีมือในการแสดงของซูเหลียงจื่อยอดเยี่ยมมาก ถือว่าเป็นอาจารย์ที่ผ่านเกณฑ์เลยก็ว่าได้ สมกับที่เป็นนักต้มตุ๋น ฝีมือการแสดงดีกว่าพวกหนุ่มพวกนั้นหลายสิบเท่า
จนกว่าเขาจะมั่นใจว่าเซี่ยเจี้ยนโก๋เดินจากไป หลินหยุนถึงได้พูดขึ้นว่า “พอแล้ว”
ซูเหลียงจื่อกลับมาท่าทางน้อมนอบดังเดิม “อาจารย์ ทำไมถึงได้ถ่อมตัวแบบนี้ล่ะ! การอวดที่ดีที่สุดคือการถ่อมตนจริงๆ ด้วย!”
หลินหยุนมองไปที่เขา พร้อมพูดว่า “กลับไปฝึกบ่อยๆ มีตรงไหนไม่เข้าใจให้โทรหาฉัน ถ้าการฝึกของนายทำให้ฉันพอใจไม่ได้ ฉันก็จะเอาทุกอย่างที่ให้นายคืนมา”
“อาจารย์ วางใจเถอะครับ ผมรอมาค่อนชีวิตถึงได้เจอท่าน ผมจะต้องตั้งใจฝึกแน่นอนครับ!” ซูเหลียงจื่อสัญญาด้วยความตั้งใจ
“วิชาที่ฉันสอนให้นาย จำไว้ว่าห้ามเผยแพร่ให้ใครเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะทำให้ทั้งตัวแล้วก็วิญญาณของนายแตกสลายหายไปจากโลกนี้!” สายตาของหลินหยุนสะท้อนภาพการฆ่าคนมานับไม่ถ้วน จนทำให้ซูเหลียงจื่อชะงักไป
“ไปเถอะ!”
กว่าซูเหลียงจื่อจะได้สติกลับมา หลินหยุนก็เดินไปจากตรงนั้นไกลแล้ว
“ภาพในดวงตาของอาจารย์ มันคืออะไรกันแน่? คนคนหนึ่ง ทำไมถึงได้แข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้?” ความเกรงขามที่ซูเหลียงจื่อมีต่อหลินหยุนก็ยิ่งมากขึ้น
พอกลับถึงบ้าน เซี่ยหยู่เวยนั่งดูทีวีที่โซฟา โจวเฟินที่กำลังเช็ดโต๊ะมองเห็นหลินหยุน จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวหยุน พ่อเรารออยู่ในห้องหนังสือ บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
หลินหยุนเดาแล้วว่าเซี่ยเจี้ยนโก๋จะต้องเรีบกเขาไปคุยแน่นอน จึงพยักหน้า “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
โจวเฟินไม่ค่อยวางใจนัก เมื่อหลินหยุนเดินผ่านเธอจึงจับแขนหลินหยุนไว้แล้วพูดว่า “เสี่ยวหยุน พ่อกับลูกมีอะไรที่ปิดบังน้าหรือเปล่า? เมื่อก่อนไม่เคยเห็นพ่อเราเรียกไปคุยธุระอะไรบ่อยขนาดนี้เลย!”
หลินหยุนไม่อยากให้โจวเฟินรู้เรื่องเหล่านี้ จึงยิ้มอย่างสุภาพแล้วพูดว่า “น้าเฟินอย่าคิดมากเลย ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็แค่ปัญหาทั่วไป”
“ก็ได้ น้าเชื่อเรา” โจวเฟินปากบอกว่าเชื่อ แต่สายตายังเต็มไปด้วยความระแวง
ในห้องหนังสือของเซี่ยเจี้ยนโก๋ แสงไฟถูกปรับลงมาให้มืดลง เซี่ยเจี้ยนโก๋จุดบุหรี่ให้ตัวเองอย่างที่ไม่ค่อยทำมาก่อน
หลินหยุนจำได้ว่า เขาไม่ได้สูบบุหรี่นานแล้ว
“นั่งเถอะ!” เสียงของเซี่ยเจี้ยนโก๋มีความเหนื่อยล้าปนอยู่บ้าง ครั้งนี้ท่าทางในการพูดจาของเขากับหลินหยุนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ
หลินหยุนเองก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงงบนเก้าอี้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับเขา แล้วหันหน้ามองไปที่เขา
“คนแก่เมื่อกี้ คืออาจารย์ของนายใช่ไหม!” เซี่ยเจี้ยนโก๋มองไปที่หลินหยุนพร้อมถาม
หลินหยุนรู้ว่าเขาหมายถึงซูเหลียงจื่อ แต่ว่า หลินหยุนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
ไม่ได้ตอบกลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าโกหก คนอย่างมหากษัตริย์ชางฉอง ไม่ได้สนใจที่จะไปหลอกคนธรรมดาอย่างเขา
หากไม่ใช่ว่าตอนนี้หลินหยุนยังมีความสามารถที่ไม่มากนัก ไม่สามารถที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงได้ เขาก็คงจะไม่ให้ซูเหลียงจื่อช่วยเขาโกหกหรอก
“ไม่พูด ฉันก็ถือว่านายยอมรับแล้วนะ” เซี่ยเจี้ยนโก๋พูด
“ความจริงถ้านายไม่พูดฉันก็พอเข้าใจ คนที่มีความสามารถบางคนก็อารมณ์ค่อนข้างแปลก คงเป็นเพราะว่าเขาไม่ให้นายบอกกับคนอื่นๆ แน่นอนเลยใช่ไหม!”
รอยยิ้มของเซี่ยเจี้ยนโก๋อยู่ดีๆ ก็แฝงไปด้วยความดูถูกตัวเอง “แม้แต่คนในครอบครัวก็พูดไม่ได้ เป็นความลับจริงๆ ด้วยสิ”
เขาเอาแต่พึมพำคนเดียวอยู่แบบนั้น หลินหยุนไม่ได้พูดอะไรสักคำ
“นายได้สุดยอดวิชาของท่านผู้นั้นมาเท่าไหร่? เรื่องนี้พอจะพูดได้ไหม?” เซี่ยเจี้ยนโก๋ถาม
หลินหยุนยังคงเงียบกริบ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไงจริงๆ เพราะว่าสมุดเล่มนั้นเป็นของโกหกทั้งเพ
เซี่ยเจี้ยนโก๋เริ่มหงุดหงิด ลุกขึ้นยืน จ้องมองไปที่หลินหยุนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูท่านายไม่คิดจะพูดอะไรสักคำสินะ”
หลินหยุนยังคงไม่พูดอะไร
เซี่ยเจี้ยนโก๋เก็บไปแห่งความโกรธแค้นเอาไว้ หันหน้าไปทางอื่น “นายไปเถอะ!”
หลินหยุนก็ยืนขึ้นทันที ไม่ลังเลเลยสักนิด
พอปิดประตู หลินหยุนก็ได้ยินเสียงทุบโต๊ะของเซี่ยเจี้ยนโก๋ดังขึ้น พร้อมกับเสียงบ่นที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย
หลินหยุนไม่ได้สนใจ เขากลับไปที่ห้องนอนเพื่อฝึกต่อ
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็เปิดเรียน หลินหยุนขี้เกียจไปที่คลินิกแล้ว ทุกวันหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เขาก็ออกไปหาที่เงียบๆ เพื่อฝึกวิชาของตนเอง
เขาทำแบบนี้ติดต่อกันไปสามวันแล้ว
ไม่กี่วันมานี้ เซี่ยเจี้ยนโก๋ไม่ได้ตามหาตัวเขา แต่ว่าท่าทางที่มีต่อเขา ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก
หลินหยุนเข้าใจดีว่าเซี่ยเจี้ยนโก๋คิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้
เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ระยะปฐมภูมิตอนกลางแล้ว หลินหยุนก็ยิ่งอยากหาที่เงียบๆ ในการฝึกฝน
แต่วันนี้อยู่ดีๆ กลับมีแขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาหาเขา