บทที่ 102 ครึ่งขั้นสูงสุด
ชั่วเวลานั้น ทั้งเคราและเส้นผมของฉินหนันเทียนล้วนปลิวไสวขึ้นไปบนอากาศ มีระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาแผ่รัศมีล้อมรอบตัวเขา ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการเพิ่มพูนของพลังชี่แท้
“แท้ที่จริงแล้ว นี่ก็คือขั้นสูงสุด!”
ฉินหนันเทียนกางมือทั้งสองออกกว้าง โอบกอดอากาศตรงหน้าด้วยท่วงท่าและสีหน้าเพลิดเพลิน
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่มีคนกล่าวขานต่อกันมาว่า ปรมาจารย์บู๊ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งบู๊ เป็นเทพมังกรจากสรวงสวรรค์ แท้ที่จริงแล้วนี่ก็คือความสามารถหนึ่ง ในการเปลี่ยนระดับขึ้นเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดนี่เอง!”
จู่ๆ ฉินหนันเทียนก็หันไปมองแขนของตัวเอง จากนั้น เหตุการณ์แปลกประหลาดบางอย่างก็เกิดขึ้น แขนของเขาค่อยๆปรากฏเกราะอันมีลักษณะโปร่งใสออกมาชั้นหนึ่ง
ฉินหนันเทียนเพียงคิดในใจ เกราะที่ว่านั้นก็หายไป จากนั้นกระบี่ยาวซึ่งมีลักษณะโปร่งใสเล่มหนึ่งก็งอกออกมาจากมือของเขา
“การฝึกฝนวิชาบู๊ ไม่ว่าจะมาจากพรแสวงหรือพรสวรรค์ทั้งหมดที่ทุ่มเทไป เมื่อก้าวถึงขั้นสูงสุด จะสามารถปลดปล่อยพลังชี่แท้ออกมาข้างนอกได้ ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้มากมายหลากหลาย”
ฉินหนันเทียนในยามนี้ เปรียบเสมือนเด็กที่ได้เจอของเล่นชิ้นใหม่ เอาแต่เล่นกับของเล่นที่เพิ่งได้พบเจอชิ้นนี้ไม่หยุด
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ เมื่อได้เห็นฉากนี้เข้า ดวงตาของพวกเขาต่างก็เบิกกว้างโดยพร้อมเพรียงกัน
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านเจ้าบ้านถึงปรับเปลี่ยนอาวุธจากอากาศได้เชียวเหรอ!”
“มันไม่ใช่การปรับสร้าง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นผลของพลังชี่แท้ ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ออกมาเป็นอาวุธต่างหาก ฉันเข้าใจแล้ว ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด! ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด! แท้ที่จริงแล้วนี่ก็คือความหมายของคำว่าปรมาจารย์ขั้นสูงสุดนี่เอง!”
ทุกคนในตระกูลฉินต่างตื่นเต้นยินดีอย่างมาก ฉินอู๋ซวงยิ่งตื่นเต้นกว่า แทบจะต้องกลั้นหายใจพูดออกมากว่าจะครบทุกคำได้ “ปร มา จารย์ ขั้น สูง สุด ! ความแข็งแกร่งของท่านพ่อมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว! หลินชางฉอง ฉันจะรอดูซิว่า ครั้งนี้แกจะยังรอดตายไปได้อีกไหม! ”
พวกเส้เทียนหัวมองดูจนตกตะลึง ปากอ้าตาค้างกันไปหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขาใหญ่ผู้มีอิทธิพลในเมืองก็จริง แต่พวกเขาก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น ไหนเลยจะเคยเห็นปรากฏการณ์ที่วิเศษเหนือมนุษย์ ประดุจเทพเซียนดังเช่นฉินหนันเทียนกันล่ะ?
“ นี่.. นี่มันเป็นกลปาหี่อะไรกันล่ะเนี่ย? มายากลเปลี่ยนแปลงสิ่งของเจ็ดสิบสองกระบวนท่าเรอะ! มันจะโม้เกินไปหน่อยแล้วมั้ง!” พวกเขาไม่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่
แต่ฉินหนันเทียนก็ยังคงลอยค้างอยู่กลางอากาศ โดยไม่สนสายตาใครหน้าไหนอยู่อย่างนั้น อาวุธและชุดเกราะหลากหลายรูปแบบ ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาไม่หยุด ช่างเป็นการล้มล้างทฤษฎี และสติรับรู้ของผู้คนจำนวนมากไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
“หมดกัน! หมดกัน! ต่อให้คุณหลินจะร้ายกาจขนาดไหน ก็คงไม่สามารถเอาชนะปีศาจที่สามารถเปลี่ยนสิ่งของได้หรอกมั๊ง!” เส้เทียนหัวสีหน้าสิ้นหวังสุดขีด
ฉินหนันเทียนรู้สึกฮึกเหิมอย่างยิ่ง มองลงมาจากด้านบน แล้วพูดทั้งรอยยิ้มที่ดุร้ายว่า “ไอ้หนู ถ้าแกคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากฉันซะตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ ฉันอาจจะพิจารณาเหลือศพทั้งสภาพสมบูรณ์ไว้ให้แกก็ได้นะ!”
ทางฝั่งหลินหยุน ที่ได้เผชิญหน้ากับฉินหนันเทียนผู้เลื่อนระดับอย่างกะทันหัน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น กลับกัน เขายังพูดขึ้นด้วยท่าทีที่แฝงแววดูถูกเย้ยหยันว่า “แกฝืนบังคับให้ตัวเองเลื่อนระดับญาณเช่นนี้ ต่อจากนี้ไป เส้นทางสู่การฝึกวิชาบู๊ของแก มันก็จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ไปตลอดชีวิต ”
รอยยิ้มของฉินหนันเทียนชะงักค้าง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
หลินหยุนพูดซ้ำอีกครั้ง “อีกทั้งแกก็ยังไม่ใช่ปรมาจารย์ตัวจริง เป็นแค่ครึ่งปรมาจารย์ก็เท่านั้น”
ฉินหนันเทียนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงยกยิ้มเย็นชา “ต่อให้เป็นแค่ครึ่ง ก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าแก!”
“ จะลองดูก็ได้นะ” หลินหยุนพูดท้าทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ฉินหนันเทียนใช้พลังชี่แท้บีบอัดรูปลักษณ์ขึ้นเป็นกระบี่ยาว พลางพูดอย่างภาคภูมิใจว่า
“ตอนนี้ฉันเข้าสู่ฐานการบำเพ็ญขั้นสูงสุด สามารถใช้วิชายุทธที่แท้จริงของตระกูลฉินได้แล้ว!”
ทุกคนในตระกูลฉินต่างตกตะลึงจนผงะ วิชายุทธที่แท้จริงของตระกูลฉิน!
หรือว่าจะเป็น…
“เพลงกระบี่คลื่นยักษ์!”
ต้องเป็นอย่างที่คิดแน่ๆ!
นี่เป็นวิชายุทธขั้นสูงสุดของตระกูลฉิน แต่จำเป็นต้องบรรลุขั้นสูงสุดก่อน จึงจะสามารถนำออกมาใช้ได้ แม้ว่าฉินหนันเทียนจะก้าวไปได้เพียงครึ่งขั้น แต่ก็มากพอที่จะนำออกมาใช้ได้แล้ว
ฉินหนันเทียนแผดเสียงคำรามก้องเสียงหนึ่ง กระบี่ของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้น แล้วชี้ขึ้นฟ้าไปในแนวเฉียง
“ตายซะเถอะ!”
กระบี่เล่มนั้นแปรสภาพเป็นเหมือนดั่งธารน้ำอันเชี่ยวกราก โถมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ผสานกับสายลมอันรุนแรง ก่อเกิดเป็นเกลียวคลื่นขนาดยักษ์ ม้วนตัวกินพื้นที่จนทั่วผืนฟ้าทั้งผืน
บนเกาะหูซินเกิดกระแสลมอันรุนแรงพัดกระหน่ำ บรรดาคนที่อยู่ในพลับพลาต่างต้องหรี่ตาลง เพื่อพยายามฝืนต้านกระแสลมอันรุนแรงบ้าคลั่งนี้
“แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! นี่มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าคลื่นยักษ์สามชั้นหลงเหมิง เป็นสิบเท่าเลยก็ว่าได้!” ทุกคนในตระกูลฉินต่างตื่นเต้นตกตะลึงกันไม่หยุด
กระทั่งฉินอู๋ซวงก็ยังเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คิดไม่ถึงจริงๆว่า เพลงกระบี่คลื่นยักษ์ จะเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลฉินเรา!”
บรรดาคนธรรมดาอย่างพวกเส้เทียนหัว ได้แต่มองดูความยิ่งใหญ่ทรงพลานุภาพของแดนสวรรค์จนตาค้าง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง “นี่มัน… นี่มันยังนับว่าเป็นคนได้อยู่มั้ยเนี่ย?”
หลินหยุนยืนประจันหน้า หันไปทางกระบี่อันทรงพลังของฉินหนันเทียน ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน กระทั่งผมเส้นผมสักเส้น ก็ไม่ยังไม่มีวี่แววว่าถูกเป่าให้กระดิกด้วยซ้ำ
“เพลงกระบี่นี้ ค่อยคุ้มค่าให้ควรรับมืออย่างจริงจังขึ้นมาหน่อย”
หลังจากหลินหยุนพูดอย่างราบเรียบจนจบประโยค ร่างของเขาก็เหยียดตรง ก้าวเท้าออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่งด้วยท่วงท่าที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด
หลินหยุนใช้มือข้างเดียว วาดออกไปในท่าเปิดออกและปิดผนึกเข้ามา ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วเหวี่ยงกำปั้นออกไป หวดเข้าใส่ฉินหนันเทียนอย่างรุนแรง
“ท่าแรกของสิบแปดท่าต้าเต๋า ท่าสยบเขา!”
ทันใดนั้น พลังการดูดกลืนอันน่าสะพรึงกลัวระลอกหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นระหว่างเขตแดนฟ้าดินโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กำปั้นของหลินหยุน ดูราวกับว่ามันได้ดูดกลืนพลังชี่ทิพย์ทั้งหมดจากทั้งสวรรค์และโลกมนุษย์ไปจนหมดไม่มีเหลือ
ร่างของทุกคนที่อยู่ ณที่แห่งนั้นต่างสั่นเทิ้ม ครั้นเมื่อมองไปที่หมัดนั้นของหลินหยุน ในใจก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน นั่นก็คือความรู้สึกที่เรียกว่า คนละชั้นแบบเทียบไม่ติด
ราวกับว่า หมัดนั้นสามารถตัดทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ ต่อให้สิ่งที่ตั้งขวางอยู่ตรงหน้าหลินหยุนจะเป็นภูเขาใหญ่ยักษ์ทั้งลูก หมัดของหลินหยุนก็สามารถทำลายมันจนราบเป็นหน้ากลองได้!
สิบแปดกระบวนท่าต้าเต๋า เป็นทักษะการต่อสู้สมบูรณ์แบบที่สร้างขึ้นโดยปรมาจารย์แห่งเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกกระบวนท่า ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนไม่ใช่แค่การนำไปใช้โจมตีธรรมดาๆ แต่เป็นวิวัฒนาการที่มีต้นแบบมาจากวิถีแห่งเต๋าทั้งสิ้น
ทุกหมัดที่ต่อยออกไป ล้วนมีพลังมหาศาลจากฟ้าดินเป็นต้นกำเนิด
ต่อให้หลินหยุนในตอนนี้ จะมีเพียงญาณในระยะปฐมภูมิตอนกลาง แต่เขาก็สามารถใช้พลังของสิบแปดกระบวนท่าต้าเต๋าได้ถึงสามส่วนแล้ว
ด้วยพลังเพียงแค่สามส่วนนี้ ก็มากพอที่จะกวาดล้างวิชาบู๊ทั้งหมดในโลกแห่งบู๊ได้แล้ว
ท่าสยบเขา ที่สยบลงไปไม่ได้มีเพียงแค่ภูเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรคตรงหน้าทั้งหมดอีกด้วย
พลังโจมตีที่เดิมทีแข็งแกร่งดุดันของฉินหนันเทียน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลินหยุนแล้ว ก็กลายเป็นการโจมตีที่ช่างอ่อนแอเหยาะแหยะไปในทันที
ตู้ม!
ฉินหนันเทียนถูกหมัดนั้นต่อยเข้าใส่ตรงๆ จนตายอย่างน่าอนาถ สภาพศพยับเยินจนเกินกว่าที่ใครจะทนดูได้
“ท่านพ่อ!” ฉินอู๋ซวงหวาดหวั่นตกตะลึงคิดอยากจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะเขาลืมไปว่าตัวเองขาหักไปแล้ว จึงล้มคว่ำลงไป จนปากฟาดกับพื้นทั้งอย่างนั้น
พวกคนในตระกูลฉินต่างตกตะลึงอึ้งกันไปหมด ราวกับไม่อยากจะเชื่อผลลัพธ์ที่เกิดตรงหน้า “ท่านเจ้าบ้าน แพ้แล้ว?”
“ไม่ใช่แพ้ แต่ถูกต่อยด้วยหมัดเดียวตายเลยต่างหากเล่า!”
“ไม่ใช่ว่าท่านเจ้าบ้านบรรลุขั้นสูงสุด ก้าวสู่การเป็นปรมาจารย์แล้วหรอกเหรอ ? จะแพ้ให้กับหลินชางฉองได้ยังไงกัน?”
“นั่นก็หมายความได้อย่างเดียวว่า หลินชางฉองแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับปรมาจารย์ซะอีกน่ะสิ!”
“ดูยังไงเขาก็เหมือนคนอายุสักยี่สิบเองนะ ต่อให้เขาเพิ่งคลอดออกมาจากท้องแม่ แล้วเริ่มฝึกวิชาบู๊เลย ก็ไม่น่าจะบรรลุขึ้นเป็นปรมาจารย์ได้หรอกมั๊ง!”
“นี่สรุปแล้ว เขาฝึกวิชายังไงกันแน่เนี่ย? บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์บู๊ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเนี่ยนะ? ต่อให้เป็นเจียงร่อโจ๋ เทพแห่งสงครามของชาวจีน ตอนที่เขาอายุยี่สิบก็ยังทำไม่ได้เลย!”
ในสายตาของทุกคนที่มองดูหลินหยุน มีเพียงความตกตะลึง และความตกตะลึงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลินหยุนทำให้พวกเขาตกตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ!
พวกเส้เทียนหัวถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง
“ฮ่า ๆ คุณหลินชนะแล้ว พวกเรามีทางรอดแล้ว!
“ฉินอู๋ซวง คงคิดไม่ถึงล่ะสิ ว่าคุณหลินจะมีพลังมากมายมหาศาลขนาดนี้! บังอาจล่วงเกินคุณหลินได้นะ ตระกูลฉินของแกจบเห่แน่คราวนี้!”
ดวงตาของฉินอู๋ซวงในยามนี้แดงก่ำเป็นสีเลือด จ้องมองร่างที่มีสภาพแทบจะเละจนเป็นชิ้นเนื้อบนพื้นของฉินหนันเทียน ในหัวใจก็เหมือนดั่งมีเลือดไหลหลั่งออกมาไม่หยุด
“ท่านพ่อ เป็นความผิดของผมแท้ๆ! ถ้าผมไม่ไปหาเรื่องไอ้ดาวหายนะอย่างฉินชางฉองนั่น ท่านพ่อก็คงไม่ต้องมาตายก่อนอายุขัยอย่างนี้!”
“หลินชางฉอง ชั้นจะฉีกร่างแกให้แหลกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
ฉินอู๋ซวงที่ยังคงล้มคว่ำอยู่กับพื้น ตะโกนสั่งคนในตระกูลหลินเสียงดังลั่น “โจมตีมัน! ทุกคนเข้าไปโจมตีมันให้หมด! ป่นกระดูกมันให้แหลกเป็นผุยผง ล้างแค้นให้กับท่านเจ้าบ้าน!”
แต่กลายเป็นว่า คนตระกูลฉินเหล่านั้นกลับไม่เชื่อฟังเขาเหมือนแต่ก่อน พวกเขาได้แต่มองไปที่หลินหยุน ท่าทางลังเลไม่กล้าบุกเข้าไป
ฉินอู๋ซวงแผดเสียงลั่นด้วยความโกรธจัด “พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่! โจมตีมันสิ ไปฉีกมันให้เป็นหมื่นๆชิ้นเดี๋ยวนี้!”
“คุณชาย กระทั่งท่านเจ้าบ้านยังแพ้ราบคาบให้เขาในหมัดเดียว พวกเราเข้าไปก็เท่ากับไปตายเปล่าชัดๆ! “คนตระกูลฉินคนหนึ่ง พูดขึ้นด้วยท่าทางจนใจอย่างยิ่ง
ฉินอู๋ซวงคำรามลั่น “พวกเรามีคนตั้งเยอะขนาดนี้ ยังไงซะพลังชี่แท้ของมันก็ต้องมีเวลาหมดลง เราจะต้องฆ่ามันได้แน่ๆ!”
“พวกแกโจมตีมันให้ชั้นเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย!”
ไม่ต้องรอให้พวกนั้นเข้ามา หลินหยุนก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อนแล้ว
“จะยอมแพ้ หรือว่า จะยอมตาย!”