บทที่ 103 เครื่องราง
ฉินอู๋ซวงแสยะยิ้มพร้อมทั้งตวาดเสียงดัง ” หลินชางฉอง แกอย่าฝันหวานไปหน่อยเลย ต่อให้ต้องตาย ชั้นก็ไม่มีวันยอมแพ้แกแน่!”
หลินหยุนพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ถ้าอย่างนั้น แกก็ไปตายซะ!”
พูดจบ หลินหยุนก็เดินตรงไปที่ข้างตัวฉินอู๋ซวง แล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบลงไปบนหน้าอกเขา หน้าอกของฉินอู๋ซวงถูกเหยียบจนยุบไปทั้งแถบ ขาดใจตายลงตรงนั้นทันที!
หา!
นี่มัน……
คนตระกูลฉินตื่นตระหนก หวาดผวาจนหน้าซีดกันไปหมด กระทั่งพวกเส้เทียนหัวก็ยังกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากด้วยเช่นกัน วิธีที่หลินหยุนแสดงให้ทุกคนเห็นนั้น เป็นอะไรที่โหดเหี้ยมเกินจะรับได้ไปหน่อยแล้ว
หลินหยุนสีหน้าไร้ความรู้สึก ทำเหมือนว่าเขาแค่เหยียบมดตายไปตัวนึงเท่านั้น จากนั้นก็พูดซ้ำคำเดิมว่า “จะยอมแพ้ หรือว่า จะยอมตาย!”
หลินหยุนเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ทุกคนในตระกูลฉินต่างก็รู้สึกว่า แค่จะหายใจก็ยังรู้สึกกดดันไปหมด เหมือนกับว่าเทพแห่งความตายกำลังค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ๆ อย่างไรอย่างนั้น
คนตระกูลฉินบางคนเริ่มถอยหลังไปบ้างแล้ว แต่พวกทายาทสายตรงของตระกูลฉินกลุ่มนั้น กลับไม่คิดที่จะยอมแพ้
“สู้แบบยอมแลกชีวิตกับมันเลย!”
หนึ่งในลูกหลานสายตรงของตระกูลฉินร้องตะโกนขึ้นมาเสียงหนึ่ง ทันใดนั้น ลูกหลานสายตรงอีกเจ็ดแปดคนก็กระโดดออกมา บุกเข้าโจมตีหลินหยุนอย่างรวดเร็ว หลินหยุนต่อยเข้าใส่หนึ่งคนหนึ่งหมัด ฝีเท้าที่ก้าวออกไปไม่มีหยุดแม้แต่วินาทีเดียว พวกที่เข้ามาโจมตีทั้งหมดต่างก็ตกตายด้วยน้ำมือเขา
ในเวลานี้ พวกลูกหลานสายตรงของตระกูลฉิน ต่างถูกสังหารจนหมดสิ้นแล้ว
เมื่อมองไปยังร่างที่นอนตายเป็นศพเกลื่อนพื้น พวกตระกูลฉินที่เหลือต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆกัน นี่มันเทพสังหารตัวเป็น ๆ เลยชัด ๆ!
หากยังไม่ยอมแพ้อีกล่ะก็ เขาสามารถฆ่าทุกคนจนหมดได้จริงๆ!
“ปรมาจารย์หลิน ผมขอยอมแพ้!” ลูกศิษย์คนหนึ่งของตระกูลฉิน คุกเข่าลงตรงหน้าหลินหยุน
เมื่อมีคนนำคนแรกแล้ว ก็มีคนที่สอง ที่สามตามมาทันที … ไม่ถึงหนึ่งนาทีพวกตระกูลฉินที่เหลือทั้งหมด ต่างก็มาคุกเข่าตรงหน้าหลินหยุนเพื่อประกาศยอมแพ้
พวกเส้เทียนหัวที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่อีกด้าน ต่างก็ตกตะลึง ปากอ้าตาค้างกันไปหมดแล้ว ยุคนี้เป็นสังคมที่มีกฎหมายบ้านเมืองมารองรับนะ ต่อให้เป็นพวกเขา ก็ใช่ว่าจะกล้าฆ่าคนได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ที่เป็นไปได้มากมากที่สุดก็คือการลอบฆ่าในที่ลับ
แต่หลินหยุนเป็นคนที่ทำอะไรโจ่งแจ้งมาก เข่นฆ่าจนคนตระกูลฉินที่เหลือ ต้องคุกเข่าสาบานว่าขอยอมแพ้!
นี่มันจะน่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว!
หลังจากที่คนตระกูลฉินประกาศยอมแพ้ จู่ๆหลินหยุนก็หันขวับ แล้วมองไปที่พวกเส้เทียนหัว
“ แล้วพวกแกล่ะ?” หลินหยุนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
บรรดาขาใหญ่ ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายในกลุ่มเส้เทียนหัวต่างตกใจจนผงะ เมื่อมองใบหน้าที่ดูเหมือนไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้นของหลินหยุน พวกเขาก็เริ่มคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าหลินหยุนจะแข็งแกร่งมาก แต่ยุคนี้มันเป็นยุคแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว การจะพึ่งพาแต่พลังบู๊เพียงอย่างเดียว มันก็ยังไม่พออยู่ดี
ถ้าพวกเส้เทียนหัวยอมแพ้ หลังจากนี้ไป พวกเขาก็จะเป็นน้องชายของหลินหยุน เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นลูกพี่ใหญ่ ตราบเท่าที่สมองไม่ได้มีปัญหาจนโง่ไปแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเลือกข้อหลังอย่างแน่นอน
“ยอมแพ้ หรือว่า ยอมตาย!” เสียงอันเฉยชาราบเรียบของหลินหยุนดังขึ้นอีกครั้ง
พวกเส้เทียนหัวตัวสั่นเทิ้ม พวกเขาไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรให้มากเลยว่า ถ้าพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมแพ้ หลินหยุนจะต้องฆ่าพวกเขาทิ้งตรงนี้อย่างแน่นอน
“ผมขอยอมแพ้อย่างเต็มใจ หลังจากนี้ยินดีทำตามคำสั่งของคุณหลินอย่างเคร่งครัด!” เส้เทียนหัวเป็นคนแรกที่แสดงจุดยืนของตัวเอง ปัจจัยอื่นยังไม่ต้องพูดถึง การที่หายอดฝีมืออย่างหลินหยุนมาเป็นที่พึ่งพิงได้ อันที่จริงก็นับเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อเห็นว่าเส้เทียนหัวยอมแพ้แล้ว ฟางเยว่กับฉีว่างหมิงต่างก็ไม่ใช่คนโง่ จึงพูดทันทีว่า “ชิงหยางฟางเยว่ ขอยอมแพ้อย่างเต็มใจ หลังจากนี้ยินดีทำตามคำสั่งของคุณหลินอย่างเคร่งครัด!”
“หลอซาน ฉีว่างหมิง ขอยอมแพ้อย่างเต็มใจ หลังจากนี้ยินดีทำตามคำสั่งของคุณหลินอย่างเคร่งครัด!”
พวกคนที่เหลือส่วนใหญ่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าใหญ่ทั้งสาม เมื่อนายใหญ่ยอมแพ้แล้ว พวกเขาย่อมไม่กล้าต่อต้านคัดค้านใดๆเป็นธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งเมื่อครู่นี้ของหลินหยุน ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนมากสำหรับทุกคนแล้ว ว่าการท้าทายพวกที่มีพลังเทียมฟ้าเทียมสวรรค์นั้น จุดจบจะเป็นอย่างไร การยอมจำนนต่อคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายสักนิด
หลินหยุนพยักหน้ารับรู้ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นกองกำลังที่เป็นคนธรรมดาเหล่านี้ในสายตา แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังต้องอาศัยอยู่บนโลกนี้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นต้องยืมแรงของคนเหล่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่พลังของเขาไม่เพียงพอที่จะใช้รับมือกับพวก ปืนใหญ่อากาศยาน ของโลกทางนี้ กองกำลังเหล่านี้ก็ยังพอมีประโยชน์นำมาใช้สอยได้
หลินหยุนมองพวกเส้เทียนหัวทั้งสาม แล้วพูดขึ้นว่า “เลือกคนที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องจิปาถะได้มาสองคน แล้วเลือกคนรับผิดชอบเรื่องบัญชีได้มาอีกสองคน ตามฉันไปบ้านตระกูลฉิน”
“รับทราบ!” พวกเส้เทียนหัว รีบจัดหาคนที่มีความสามารถตามที่ว่านี้ให้หลินหยุนทันที พวกเขาไม่จำเป็นต้องถาม ก็รู้อยู่แล้วว่าหลินหยุนคิดจะทำอะไร
ลูกหลานสายตรงของตระกูลฉิน ตายไปหมดแล้วในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่กิจการมากมายใหญ่โตของตระกูลฉินทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ควรปล่อยให้มันสูญไปเปล่าๆ!
หลินหยุนกำลังจะเข้ายึดครองตระกูลฉิน!
“ไปเถอะ ไปตระกูลฉิน” หลินหยุนพูดกับคนตระกูลฉิน
คนตระกูลฉินหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่เนื่องจากว่าพวกเขายอมจำนนต่อหลินหยุนไปแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของหลินหยุน
หลินหยุนนำคนที่พวกเส้เทียนหัวเลือกไว้แล้วทั้งสี่คน มาถึงยังฉินโจวตระกูลฉิน
หลังจากสังหารผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลฉินไป คนที่เหลือทุกคนในตระกูลฉินต่างก็ประกาศยอมแพ้ หลินหยุนก็หาตัวแทนจากตระกูลฉินคนหนึ่งมาเป็นหุ่นเชิด แล้วให้คนที่ถูกเลือกมาทั้งสี่ซึ่งเขาพามาด้วย ช่วยจัดการดูแลในเรื่องต่างๆ รวมถึงบัญชีทรัพย์สิน และกิจการของตระกูลฉินทั้งหมด เสร็จแล้วจึงค่อยจากไป
สองวันต่อมา หลินหยุนก็กลับไปที่ชุมชนฝูย่วน
ซูจื่อเหลียงยังอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้จากไปไหน ทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นแขกคนสำคัญของเซี่ยเจี้ยนโก๋อีกด้วย พวกเขาถือว่าซูจื่อเหลียงเป็นอาจารย์ของหลินหยุน รูปลักษณ์ของซูจื่อเหลียงก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของคนมีฝีมือ ที่ซ่อนภูมิความรู้ในสายตาของคนในบ้านเซี่ยเจี้ยนโก๋อีกด้วย
ตอนที่หลินหยุนกลับไปที่บ้านตระกูลเซี่ย ซูจื่อเหลียงกำลังนั่งคุยกับเซี่ยเจี้ยนโก๋อยู่บนโซฟา ดูไปแล้วน่าจะคุยกันได้ถูกคอมาก
แต่หลินหยุนเองก็รู้สึกวางใจซูจื่อเหลียงไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ของซูจื่อเหลียงแล้ว ก็เหมือนกับว่าเขากำลังหยอกเซี่ยเจี้ยนโก๋เล่นอยู่ก็เท่านั้น ไม่มีทางหลุดเผยพิรุธอะไรออกไปแน่ๆ
“เสี่ยวหยุนกลับมาแล้ว!” โจวเฟินที่กำลังยกชามาให้ทั้งสอง แสดงอาการดีใจอย่างมากเมื่อได้เจอหลินหยุน
“กลับมาแล้วสินะ” เซี่ยเจี้ยนโก๋ กล่าวทักด้วยน้ำเสียงเฉยชาคล้ายไม่แยแส
เห็นได้ชัดว่ายังคงคิดเคืองขุ่น ในเรื่องการลักพาตัวพวกเขาเรื่องนั้นอยู่ไม่หาย เขาคิดว่าทั้งหมดก็เพราะหลินหยุนเป็นต้นเหตุ
ในขณะที่ซูจื่อเหลียงเตรียมจะลุกขึ้น เพื่อคารวะหลินหยุนนั่นเอง หลินหยุนก็พลันส่งสายตาไปให้เขาแวบหนึ่ง ซูจื่อเหลียงเป็นใครน่ะหรือ? ก็เป็นตาเฒ่าจอมหลอกลวง นักต้มตุ๋นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานหลายสิบปีแล้วน่ะสิ ความสามารถในการสังเกตสีหน้าท่าทางของคน เขานับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว จึงสามารถเข้าใจความหมายของหลินหยุนได้ในทันที
ดังนั้นซูจื่อเหลียงจึงนั่งอย่างสบายอารมณ์ต่อไป แสร้งทำเป็นไม่เห็นหลินหยุน
แต่ตาเฒ่าจอมลวงโลก สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับผลการต่อสู้ของหลินหยุนในครั้งนี้มาก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากถามออกไป
หลินหยุนส่งเสียง “อื้ม” เบา ๆ ถือเป็นการตอบรับการทักทายของเซี่ยเจี้ยนโก๋
จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้โจวเฟินแล้วพูดว่า “น้าเฟิน ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วหรือครับ?”
“ไม่เป็นไรตั้งนานแล้วล่ะ เธอล่ะสบายดีไหม? คนพวกนั้นไม่ได้ทำให้เธอต้องลำบากใช่ไหม?” โจวเฟินดูเป็นห่วงกังวลใจมาก ๆ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงถูกลักพาตัว แต่เธอก็พอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าคนเหล่านั้นเหมือนจะมาเพราะหลินหยุน
“ผมสบายดี น้าเฟินสบายใจได้ครับ” หลินหยุนตอบด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยหยู่เวยไม่อยู่บ้าน หลินหยุนก็ว่างๆอยู่พอดี เมื่อเห็นว่าโจวเฟินไม่เป็นไรแล้ว หลินหยุนก็รู้สึกวางใจได้
“ช่วงนี้ผมยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ คงจะไม่กลับมาอยู่บ้านสักพัก น้าเฟิน ผมไปก่อนนะครับ” หลินหยุนพูดจบ ก็มองไปที่ซูจื่อเหลียง
โจวเฟินขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าหลินหยุนจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ปิดบังเธออยู่แน่ๆ แต่เพราะหลินหยุนไม่อยากพูด เธอเองก็ไม่ควรจะไปบังคับอะไรเขา
“เอาเถอะ แต่เธอออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยด้วยนะจ๊ะ!”
“อื้ม ผมจะระวัง” หลินหยุนพูดจบก็หันหลังจากไป
ซูจื่อเหลียงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ผมจะไปส่งเขาสักหน่อย”
เซี่ยเจี้ยนโก๋ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าศิษย์อาจารย์คู่นี้ คงมีเรื่องอะไรต้องคุยกัน
ซูจื่อเหลียงเดินตามหลินหยุนออกไป ในลิฟต์มีเพียงพวกเขาสองคน
“ ศิษย์น้อมคารวะท่านอาจารย์!” ซูจื่อเหลียงโค้งคำนับ
หลินหยุนพูดเบา ๆว่า “วันหลังเวลามีคนนอกอยู่ด้วย เจ้าก็เรียกข้าว่าคุณหลินแล้วกัน!”
“ขอรับ!” ซูจื่อเหลียงตอบพร้อมกับโค้งคำนับ
หลินหยุนพูดขึ้นอีกครั้งว่า “วันหลังเวลาข้าไม่อยู่ เจ้าก็ช่วยดูแลคนในครอบครัวข้าด้วยล่ะ”
“ขอรับ!”
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรอื่นแล้ว เจ้าก็ตามสบายเถอะนะ!” หลินหยุนอนุญาต
“เช่นนั้น ท่านอาจารย์ โปรดเดินระวังๆนะขอรับ” ซูจื่อเหลียงโค้งคำนับส่ง
หลินหยุนจากไปชนิดไม่เหลียวหลัง ตรงกลับไปยังตึกว่างเยว่
แต่แล้ว ในขณะที่เขาเดินอยู่บนถนน หยุนเยว่ก็โทรหาเขา
“คุณหลิน วันพรุ่งนี้จะมีงานประมูลเพื่อการกุศลที่โรงแรมว่างเป่า คุณอยากมาร่วมสักหน่อยไหมคะ?”
หลินหยุนรู้สึกว่า หยุนเยว่ไม่น่าจะโทรมาเชิญเขา เพียงเพราะการประมูลเพื่อการกุศลธรรมดาๆ งานหนึ่งแน่ ๆ ในเมื่อเขาได้เผยความสามารถพิเศษของตัวเองออกไปเมื่อคราวของควีนจินครั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ หลินหยุนจึงไม่พูดอะไร แต่รอให้หยุนเยว่แบไต๋ออกมาเอง
“ได้ยินมาว่าในงานประมูลครั้งนี้ อาจจะมีเครื่องรางวิเศษเข้ามาด้วยชิ้นหนึ่ง เลยคิดว่าคุณหลินอาจจะสนใจ”