บทที่ 109 ลมปราณของสหายเก่า
หลี่เหยนหัวเราะเย้ยหยันอย่างตื่นเต้น “ฮะๆๆ ในที่สุดไอ้เศษสวะไร้ประโยชน์หลินหยุนนั่น ก็ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ซะที!”
“ตอนนี้มันน่าจะเข้าใจได้แล้วนะ ว่าช่องว่างระหว่างมันกับผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง มันห่างไกลกันมากขนาดไหน!”
หวางเสี่ยวซีพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าไม่เพราะเสี่ยวหลิงหลิงพูดจาปกป้องมัน เมื่อกี้มันก็คงหาทางลงไม่ได้แล้วเหอะ!”
หานกั๋วเฉียงถูกอีหลิงดึงออกไปแล้ว แต่ทว่า สายตาที่จ้องมองมาที่หลินหยุนก่อนที่จะจากไปนั้น เต็มไปด้วยความรังเกียจและคุกคาม
ดวงตาของหลินหยุนเย็นชาเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่านั่นคือลุงของอีหลิง เขาจะทำอะไรลงไปก็คงจะไม่ดี
หยุนเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย เธอคิดไม่ถึงว่า หานกั๋วเฉียงจะไม่ไว้หน้าเธอสักนิด ก็เล่นงานหลินหยุนตรงๆแบบนี้เลย
“คุณหลินเป็นเพราะฉันจัดการไม่รอบคอบ ขอได้โปรดยกโทษให้ด้วยนะคะ!” หยุนเยว่ขอโทษอย่างจริงใจ
หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่เป็นไร”
“ขอเชิญคุณหลินทางนี้ค่ะ!” หยุนเยว่รีบนำทางต่อทันที
หลินหยุนเดินตามหยุนเยว่ไปยังที่นั่งวีไอพีในแถวแรก แล้วนั่งลงหลับตาพักผ่อน รอให้การประมูลเริ่มขึ้น
หยุนเยว่ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน จากนั้นก็ประกาศว่าการประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องของหลินหยุน แล้วเปลี่ยนมาโฟกัสที่การประมูลแทน เพราะถึงอย่างไรสุดท้ายแล้ว การประมูลต่างหากที่เป็นเป้าหมายสำคัญของพวกเขา
ในการประมูลครั้งนี้ มีของล้ำค่าทั้งหมดสามชิ้น แต่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นอะไร
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการประมูลที่ควีนจินเป็นผู้จัด เพราะฉะนั้นย่อมไม่ใช่ของอะไรที่มันธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
ในไม่ช้า เมื่อพิธีกรปรากฏตัวขึ้นบนเวที ก็ทำการประกาศเริ่มการประมูลอย่างเป็นทางการ
หลังจากนั้นของประมูลชิ้นแรกที่ถูกจัดวางบนแท่น ก็ถูกพิธีกรสาวร่างสูงโปร่ง สวมกระโปรงยาวคนหนึ่งยกออกมา
หลังวางลงบนโต๊ะแล้วเปิดผ้าสีแดงที่คลุมของประมูลออก แจกันลวดลายงดงามสวยหรูก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
พิธีกรอธิบายที่มาของแจกัน ตลอดจนใบเซอร์รับรองต่างๆ เพื่อเป็นการรับประกันได้ว่า แจกันใบนี้เป็นของแท้
สำหรับการประมูลเพื่อการกุศลเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยพิบัติ แน่นอนว่าคนใหญ่คนโตระดับควีนจินจะต้องไม่พอใจแน่ หากพบว่ามีการนำของปลอมมาแหกตาคนอื่น
เนื่องจากเป็นงานเพื่อการกุศล ราคาประมูลจึงย่อมสูงกว่าราคาตลาด คนที่มาในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนรวยทั้งสิ้น เพื่อชื่อเสียงหน้าตาในแวดวงสังคม เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเงินที่จ่ายไปมากนัก
หลินหยุนไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมอะไรพวกนั้น เมื่อเห็นการเรียกราคาประมูลกันอย่างกระตือรือร้นของคนพวกนี้ เขาก็ยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะสิ่งที่เขารออยู่คือเครื่องรางต่างหากล่ะ
ของประมูลสองชิ้นแรกเป็นวัตถุโบราณธรรมดา แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นของแท้และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป แต่หลินหยุนก็ไม่ได้รู้สึกถึงพลังชี่ทิพย์ใดๆจากของเหล่านี้เลย
ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าเครื่องราง จะต้องเป็นของประมูลชิ้นที่สามอย่างแน่นอน
“มิสหลี่อี๋ ขอเชิญยกสมบัติชิ้นที่สาม ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของการประมูลในวันนี้ขึ้นมาด้วยครับ!” พิธีกรกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้มสร้างบรรยากาศ
เมื่อสมบัติชิ้นนั้นถูกนำขึ้นมา ในขณะที่ผ้าคลุมสีแดงนั้นยังไม่ถูกเปิดออก หลินหยุนที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาทันที
“นี่มัน … ปราณที่แสนคุ้นเคยนี่มันคือ [วิชาต้าเต๋า] แห่งสำนักต้าเต๋า!”
“หรือว่าจะเป็น … เย่เยว่!”
แววตาของหลินหยุน พลันสาดประกายแสงเจิดจ้าออกมาสองสาย บนโลกนี้ไม่ควรมีมรดกของสำนักต้าเต๋าดำรงอยู่ นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของหลินหยุนเคยบอกไว้
ถ้าอย่างนั้น เพราะเหตุใดจึงมีปราณจากเคล็ดวิชาที่มาจากสำนักต้าเต๋า ปรากฏขึ้นในเวลานี้ได้?
มีคำอธิบายเพียงประการเดียว นั่นคือ เย่เยว่ก็กลับชาติมาเกิดใหม่เช่นกัน!
ตบะซึ่งบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาถึงแปดร้อยปีของหลินหยุน เกิดผันผวนอย่างรุนแรงในเวลานี้ เย่เยว่ นั่นคือผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา!
อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีขาวราวแสงจันทร์ของวิถีแห่งเต๋าแล้ว กลับดูงดงามตรึงตาเสียยิ่งกว่าผลงานชิ้นเอกชิ้นไหนๆ ของดีไซน์เนอร์ในงานปารีสแฟชั่นวีคเสียอีก
ในเวลานั้น หลินหยุนเพิ่งจะถูกอาจารย์พากลับไปที่สำนักต้าเต๋า แต่ไม่ได้ถูกรับเข้าเป็นศิษย์โดยตรง เซียนซางหมิ่นโยนหลินหยุนกับคนจำนวนมากอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกพามาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ไปไว้ในโลกใบเล็กๆใบหนึ่ง
จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ารับการทดสอบ ด้วยการเอาชีวิตรอดจากโลกใบเล็ก ๆ ที่ว่านั้นให้ได้ และมีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เท่านั้น ที่จะถูกเซียนซางหมิ่นรับเป็นศิษย์
เย่เยว่กับหลินหยุนก็เช่นกัน พวกเขาต่างก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น
การทดสอบประเภทนี้ นับเป็นการทดสอบที่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลกจริงๆ คนที่เซียนซางหมิ่นพากลับมาตอนแรกนับได้มีเป็นหมื่นๆคน แต่สุดท้ายคนที่ถูกรับเป็นศิษย์ กลับมีเพียงสิบคนเท่านั้น
บรรดาผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์เหล่านั้น จะถูกขีดฆ่าชื่อออกไปโดยปริยาย
ไม่ใช่ว่าผู้ที่เป็นเซียน จะมีจิตใจโอบอ้อมอารีกันไปหมดเสียทุกคน กฎในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้น โหดร้ายยิ่งกว่าโลกมนุษย์มากมายหลายเท่า
กฎของจักรวาลที่เป็นอยู่เสมอมานั่นก็คือ ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบเอาชีวิตรอดดังกล่าว หลินหยุนก็ได้พบกับเย่เยว่
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่หลินหยุนตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เมื่อเขาถูกปิดล้อมโจมตีจากศัตรูถึงสามคน เย่เยว่เป็นคนที่เข้ามาช่วยเขาไว้
ไม่สิ! ควรจะพูดว่าเย่เยว่ช่วยคนไว้เยอะมาก คนอื่นจะตั้งหน้าตั้งตาฆ่าอีกฝ่ายให้มากที่สุด เพราะยิ่งมีคนเหลือรอดน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ตนเองโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น
แต่เพราะมีเพียงเย่เยว่คนเดียวเท่านั้นที่เอาแต่ช่วยคน นั่นจึงทำให้นางเป็นเสมือนดั่งดอกบัวขาวพิสุทธิ์ที่อยู่ในโคลนตม ผลิบานขึ้นมาอยู่เหนือตะกอนขุ่นคลั่กได้โดยไม่แปดเปื้อน
เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เย่เยว่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลินหยุนจึงเลือกที่จะติดตามเย่เยว่ เพื่อคอยปกป้องนาง เพราะในสภาพแวดล้อมนั้น ไม่อาจแยกคนออกจากสัตว์เดรัจฉานได้อีกต่อไป
ด้วยนิสัยใจคอของเย่เยว่แล้ว เป็นเรื่องยากที่นางจะมีชีวิตรอดออกไปได้
ทั้งสองคอยช่วยเหลือ สนับสนุนกันและกันไปตลอดทาง จนในที่สุดก็ไปจนถึงจุดสิ้นสุดของการทดสอบได้ ทั้งยังสร้างความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีคนที่รอดออกมาได้ทั้งหมดสิบเอ็ดคน แต่เซียนชางหมิงต้องการเพียงสิบคนเท่านั้น
และในบรรดาสิบเอ็ดคนที่เหลือ พละกำลังของหลินหยุนนั้นนับได้ว่าอ่อนด้อยที่สุด อีกทั้งเดิมทีเย่เยว่ก็เป็นผู้ฝึกวิชาเซียนมาก่อนคนหนึ่ง จึงแข็งแกร่งกว่าหลินหยุนอยู่มาก
แต่เย่เยว่กลับมอบตำแหน่งนั้นให้กับหลินหยุนไป นางหันกลับมาแย้มยิ้มอ่อนหวาน แล้วตั้งใจจะกลับไปยังโลกใบเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยอันตรายใบนั้นเพียงลำพัง
แน่นอนว่าหลินหยุนไม่มีทางยอมให้เย่เยว่จากไป เขาลอบโจมตีคนหนึ่งในนั้น และด้วยความช่วยเหลือของเย่เยว่ จึงสามารถฆ่าคนคนนั้นได้สำเร็จด้วยการทุ่มไปกว่าครึ่งชีวิตเพื่อแลกมา
ในที่สุด ทั้งคู่ก็ออกจากโลกใบเล็กนั้นมาได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วกลายเป็นศิษย์ของสำนักต้าเต๋า
ต่อมา หลินหยุนถูกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้ภัยอัสนีทำลายฌานบำเพ็ญ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาเห็นเย่เยว่วิ่งทะยานเข้ามาหาเขาอย่างไม่คิดชีวิต
ในเมื่อเขาสามารถกลับมาเกิดใหม่ที่โลกใบนี้ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็มีแนวโน้มว่าเย่เยว่เองก็น่าจะตามเขามาเกิดใหม่ได้ด้วยเช่นกัน
บนเวที มิสหลี่อี๋ได้เปิดผ้าสีแดงที่คลุมของประมูลออก แหวนหยกสีขาวพิสุทธิ์วงหนึ่งวางนิ่งอยู่บนแท่นโชว์
พิธีกรยิ้มพลางพูดเสียงดัง “สมบัติชิ้นที่สาม เป็นแหวนหยกวงนี้ครับ”
“จากผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญแล้ว แหวนหยกวงนี้น่าจะเป็นวัตถุในยุคราชวงศ์ฮั่น ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แม้ผ่านกาลเวลา ผ่านลมฝนมานานนับหลายพันปี ก็ยังดูเหมือนของใหม่เลยนะครับ”
“จุดที่สำคัญที่สุดคือ แหวนวงนี้น่าจะเป็นเครื่องรางชิ้นหนึ่ง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่สวมแหวนวงนี้ ร่างกายจะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที”
“ราคาพื้นฐานของแหวนวงนี้คือห้าล้าน! ราคาที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้งต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน ตอนนี้ ขอเริ่มการประมูลได้เลยครับ!”
ทันทีที่เสียงของพิธีกรดังขึ้น ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่ง ก็ชูป้ายไม้ในมือของเขาขึ้น “หกล้าน!”
“หกล้านห้า!”
“ เจ็ดล้าน!”
“แปดล้าน!”
เพียงไม่นาน ราคาของแหวนก็พุ่งสูงขึ้นถึงสิบห้าล้านไปแล้ว
จะเห็นได้ชัดว่า ทุกคนต่างมีความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเครื่องรางเป็นอย่างยิ่ง
“ ห้าสิบล้าน!”
จู่ๆหลินหยุนก็ยกป้ายไม้ขึ้น
ทุกคนพากันตกตะลึง สายตานับไม่ถ้วนต่างจ้องมองไปที่หลินหยุน
เจ้าเด็กนี่ จงใจใช่มั้ยเนี่ย!
มีใครเขาเรียกราคากันอย่างนี้ไม่ทราบ?
จากสิบห้าล้านกระโดดขึ้นไปเป็นห้าสิบล้าน หากนี่ไม่ใช่การประมูลที่จัดขึ้นโดยควีนจินล่ะก็ ทุกคนคงจะสงสัยไปแล้วว่า หลินหยุนต้องเป็นหน้าม้าในงานนี้แน่ๆ
อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ พวกเขารู้ดีว่าหลินหยุนไม่ใช่หน้าม้า เพราะหน้าม้าจะไม่เรียกราคาประมูลโง่ ๆ แบบนี้เด็ดขาด!
หลายคนที่อยากจะซื้อแหวน เป็นเพราะเจอกับการเรียกราคาของหลินหยุน จึงทำได้เพียงถอยไปดูอยู่ห่าง ๆ
ห้าสิบล้าน นับว่าเป็นราคาที่สูงเกินไปจริงๆ!
แม้ว่าทุกคนที่มาในงานวันนี้ต่างก็เป็นคนร่ำรวย แต่การซื้อแหวนที่อาจจะเป็นเครื่องรางในราคาห้าสิบล้าน ก็ยังนับว่าฟุ่มเฟือยเกินไปอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น พิธีกรก็ไม่ได้บอกถึงหน้าที่เฉพาะของแหวนวงนี้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กระทั่งพิธีกรเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด
มันเสี่ยงเกินไป ที่จะซื้อกลับไปในราคาห้าสิบล้าน
พวกหลี่เหยนมองไปที่หลินหยุนด้วยความตกตะลึง
“นี่จู่ ๆ หลินหยุนมันก็เสนอเงินห้าสิบล้านเพื่อซื้อแหวนพัง ๆ วงนึงเนี่ยนะ! ต่อให้แหวนวงนี้เป็นเครื่องรางจริง ๆ แล้วมันจะทำไมล่ะ? มันทำให้มีชีวิตยืนยาว อยู่ยงคงกระพันได้รึยังไงกัน?”
จ้าวกางก็ตกตะลึงจนปากอ้าแทบจะฉีกไปถึงใบหูแล้ว ” หลินหยุนมันมีเงินด้วยเหรอ ? นี่มันเงินห้าสิบล้านเชียวนะ ! มันเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?”