จางกั๋วเหาตกตะลึงไปทั้งตัว สีหน้าขาวซีด สั่นไปทั้งสองขา เหงื่อแตกเต็มหน้า ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว
คนอื่นที่เหลือก็มีความรู้สึกสัมผัสถึงกลิ่นอายความตายที่น่ากลัวนั้นด้วย สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดทันที
ทุกคนต่างตกใจเบิกตาโต มองไปยังหลุมที่ซูหนันตกลงไป
หลินหยุนทำตาหรี่ลง ใช้สายตาจ้องมองไปยังหลุมนั้นด้วยความสนใจ ในที่สุดก็หลบซ่อนไม่ไหวแล้วใช่ไหม?
ทันใดนั้น มีมือที่เหี่ยวแห้งเหมือนเปลือกไม้ข้างหนึ่ง ยื่นออกมาจากหลุมนั้นแล้วจับขอบของหลุมนั้นไว้
โอ๊ย!
พวกบรรดาลูกพี่ใหญ่และลูกน้องทั้งหลายพร้อมใจกันถอยหลัง ส่งเสียงตกใจออกมามองไปยังมือที่ยื่นออกมานั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เชิ่ง!
มีเงาร่างคนโผล่ออกมาจากหลุมดินนั้น ยืนอยู่บนพื้น สายตามืดดำทั้งคู่จ้องมองไปยังหลินหยุน ราวกับว่าเป็นสัตว์ร้ายที่หลบหนีออกมาจากขุมนรก
รูปร่างของเขาน่าเกลียดมาก ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว หน้าตาดูไม่ได้ แต่ดูจากรูปทรงแล้ว ก็ยังสามารถจำได้ว่าเป็นซูหนันนั่นเอง
ทุกคนตกใจสีหน้าขาวซีด ถอยหลังไปอีกหลายก้าว
“นี่มันคือผีอะไร? ปีศาจเหรอ?”
พวกลูกพี่ใหญ่ทั้งหลายแอบปาดเหงื่อ สิ่งที่ได้รับรู้วันนี้ครอบคลุมความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาเคยเรียนรู้มาในโลกใบนี้
ทุกคนไม่เคยคิดฝันมาก่อน เดิมทีโลกที่เรียบง่ายใบนี้ กลับปรากฏมีนักรบฝีมือยอดเยี่ยมที่เหาะเหินเดินอากาศปีนกำแพงอย่างเช่นในนวนิยายกำลังภายใน อีกทั้งยังมีปีศาจปรากฏขึ้นอีกด้วย
ใบหน้าของหลินหยุนก็ยังเรียบเฉย มองดูสภาพหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงของซูหนันอย่างไม่รีบเร่ง หัวเราะเสียงเบาแล้วพูดว่า “ออกมาแล้วเหรอ?”
นี่เป็นคำพูดสองแง่สองง่าม ไม่รู้ว่ากำลังถามซูหนันออกมาจากหลุมนั้น หรือว่ามีความหมายอย่างอื่นแฝงอยู่
“ไอ้หนูน้อย แกก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ถึงกับสามารถบีบให้ฉันออกมาได้!” เสียงของซูหนันแหบแห้งมาก แต่ทุกคนก็ฟังออกว่า นั่นเป็นเสียงของผู้หญิง
กลุ่มพวกลูกพี่ใหญ่และพวกลูกน้องทั้งหลายตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง
สถานการณ์เป็นอย่างไร? ทำไมกลายเป็นเสียงผู้หญิงไปแล้ว!
ก่อนหน้านั้นในการสนทนาระหว่างหลินหยุนกับซูหนัน เคยพูดออกมาคำหนึ่งว่าคุณไม่ใช่คุณ ซึ่งตอนนั้น หลินหยุนก็ดูออกแล้วว่าในร่างของซูหนันนั้นยังมีร่างของอีกคนหนึ่งแอบแฝงอยู่ด้วย
หลินหยุนรู้สึกเกิดความสนใจขึ้นแล้วถามขึ้นว่า “จะบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับที่มาที่ไปของคุณ?”
“ฮิฮิ แกกำลังจะตายอยู่แล้ว ยังคิดอยากจะรู้ความเป็นมาของฉันอีก น่าขำจริง!” เสียงผู้หญิงนั้นฟังแล้วน่าเกลียดมาก เหมือนเสียงที่เกิดจากเล็บกรีดลงบนกระจก
หลินหยุนสีหน้าเรียบเฉย “คุณคิดว่าคุณสามารถฆ่าฉันได้เหรอ?”
“ไอ้หนูน้อย ฉันยอมรับว่าแกมีพลังแข็งแกร่งมาก แต่ว่า แกคิดว่าแค่อาศัยการสืบทอดเศษเล็กเศษน้อยจากผู้ฝึกชี่ ก็สามารถต่อกลอนกับฉันได้เหรอ?”
“ฝันไปเถอะ!” ซูหนันแหงนหน้าขึ้นแล้วหัวเราะเสียงดัง ท่าทางยโสโอหัง
“ผู้ฝึกชี่?”
เป็นครั้งแรกที่หลินหยุนได้ยินคำศัพท์คำนี้
เมื่อชาติที่แล้ว เขาบรรลุการฝึกจิตปฐม จากสำนักต้าเต๋ากลับมายังโลกมนุษย์ ในโลกมนุษย์ก็บังเอิญได้ค้นพบร่องรอยของผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากมาย
หลินหยุนจึงสงสัยว่า สมัยโบราณที่ผ่านมานานแสนนานในโลกใบนี้ จะต้องมีผู้บำเพ็ญเซียนปรากฏอยู่อย่างแน่นอน
แต่เสียดายที่หลินหยุนค้นหาไปทั่วโลกใบนี้แล้ว ก็ยังไม่พบผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งเลย
หลินหยุนรู้สึกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าผู้บำเพ็ญเซียนรู้สึกถึงพลังชี่ทิพย์ในโลกใบนี้ยิ่งมายิ่งเบาบางลงไปทุกที ดังนั้นจึงลาจากไป
โลกบู๊ในปัจจุบันนี้ ทำได้เพียงแค่ต่อยอดในส่วนที่ได้รับการสืบทอดจากผู้บำเพ็ญเซียนบางส่วนที่ทิ้งเอาไว้ให้
เมื่อคราวที่เขาเห็นซูหนันนั้น ก็พบว่าในร่างของซูหนันมีดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่ง แอบแฝงอยู่ด้วย
สามารถที่จะใช้วิธีวิญญาณแอบแฝงอยู่ในร่างที่มีชีวิตได้นั่น ชาติก่อนอย่างน้อยก็ต้องได้รับฝึกจิตปฐมมาก่อน
แต่ว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างซูหนันนั้น อย่างมากก็เป็นแค่วิญญาณเร่ร่อน พลังตอนนี้ยังไม่น่ากลัวเท่าไหร่
แต่ว่า สถานภาพของวิญญาณเร่ร่อนนี้ กลับทำให้หลินหยุนเกิดความสนใจอย่างมาก
อาจไม่แน่จากเรื่องของเธอ สามารถสืบค้นได้ว่าบนโลกใบนี้ในสมัยอดีตกาลที่ผ่านมานานแสนนานนั้น มันมีลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่
ถ้าหากชาติที่แล้วหลินหยุนไม่ได้ถูกพาไปยังสำนักต้าเต๋า ไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับพวกผู้บำเพ็ญเซียน หลินหยุนอาจจะไม่เชื่อเลยว่าในโลกใบนี้ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติเช่นนี้ปรากฏอยู่จริง
แต่ว่า ในเมื่อตัวหลินหยุนเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่ศึกษาเกี่ยวกับเทพนิยายโบราณของโลกใบนี้ หลินหยุนมักจะมองเห็นสิ่งที่มันอยู่ในชั้นที่ลึกลงไปอีก
อย่างเช่น ผานกู่เปิดฟ้าดิน
ในความคิดของผู้บำเพ็ญเซียนนั้น นั่นคือการกระทำยิ่งใหญ่ที่เปิดโลกให้กว้างขึ้น ต่อให้หลินหยุนชาติที่แล้วเกิดเป็นกษัตริย์เซียนก็ยังทำเช่นนั้นไม่ได้
คนที่สามารถเปิดโลกได้ ก็คงมีแต่จอมเทพระดับขั้นพิเศษ จึงจะทำได้
แล้วอย่างเช่น เทพหนู่วาปะชุนแผ่นฟ้า นั่นคือจะต้องหยั่งรู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติขั้นสูงสุด จึงจะมีวิธีการเช่นนี้ได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง โฮ่วอี้ดับตะวัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเทพนิยายที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยยุคหินมาแล้ว แต่ว่า สมัยยุคหินตอนนั้นผู้คนที่มีมาตรฐานการดำรงชีวิตและจินตนาการ ถ้าไม่ใช่เกิดจากการที่ได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติด้วยสายตาตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะคิดจินตนาการขึ้นมาเองได้
หรือว่า อาจจะเป็นยุคสมัยที่ห่างไกลออกไปของโลกใบนี้ ได้เกิดอารยธรรมผู้บำเพ็ญเซียนที่รุ่งโรจน์ในช่วงเวลาหนึ่งปรากฏขึ้นจริงก็ได้
แต่ว่า คำว่าผู้ฝึกชี่ที่ออกมาจากผู้หญิงคนนี้ ในนวนิยายเฟิงเซินเหยี่ยนอี้ก็ยังพูดถึง เซียนสิบสององค์สำนักฉ่านนั้น ก็ไม่ใช่อาศัยฐานะความเป็นผู้ฝึกชี่ในการท่องไปทั่วใต้หล้าหรอกหรือ?
แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ก็กลายเป็นเทพนิยายที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่ยุคสมัยทาสแล้ว
ถ้าพูดเช่นนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นผู้ฝึกชี่ในยุคสมัยทาสเมื่อหลายพันปีที่แล้วหรือไม่?
หลินหยุนอยากจะถามฐานะของผู้หญิงคนนี้ให้ชัดเจน แต่ว่า หลินหยุนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางที่จะพูดอย่างแน่นอน
ถ้าหากเธอเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ ต่อให้เธอไม่พูด หลินหยุนก็จะมีวิธีที่จะทำให้รู้ถึงความทรงจำของเธอได้
แต่ว่า ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อน วิธีการของหลินหยุนไม่สามารถที่จะใช้ได้
มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก
“เล่าความเป็นมาของคุณมา แล้วฉันจะไว้ชีวิตคุณ!” หลินหยุนมองดูเธอ รู้สึกความอดทนเริ่มจางหายไปทีละน้อย
ซูหนันส่งเสียงร้องที่แสบแก้วหูออกมาอีกครั้ง “ไปตายซะเถอะ!”
ขาทั้งคู่ของซูหนันกระโดดขึ้นมาจากพื้น พุ่งตัวออกไป ชกหมัดไปยังหลินหยุน
ในกำปั้นหมัดนั้น เกิดมีหนามแหลมสีดำเล็กๆงอกออกมา!
ลูกศิษย์หลายคนของสำนักยินซือ มองดูด้วยความมึนงง
“ท่านอาจารย์ทำไมกลายเป็นปีศาจไปแล้ว? นี่มัน……”
“ได้ยินที่ปรมาจารย์หลินพูดมา เหมือนกับว่าปีศาจนี้เข้าไปยึดร่างของท่านอาจารย์แล้ว!”
“ยังมีการปฏิบัติการเช่นนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“แต่ว่าปีศาจตนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง รู้สึกยังแข็งแกร่งกว่าท่านอาจารย์มากเลย! ไม่รู้ว่าปรมาจารย์หลินจะรับมือไหวหรือเปล่า?”
พวกกลุ่มควีนจินที่เป็นนักบู๊ทั้งหลาย ได้เห็นซูหนันตอนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว ก็ล้วนแสดงความตื่นตกใจ
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว มันไม่ใช่พลังของคนธรรมดาที่จะสามารถต้านทานได้!”
“ดูจากรูปร่างท่าทางของปีศาจนี้แล้ว ในร่างกายเขาต้องมีพิษแน่นอน!”
“ปรมาจารย์หลินสามารถจะเอาชนะได้ไหม?”
เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนร่างแล้ว ซูหนันที่มีรูปร่างน่ากลัวแต่แข็งแกร่งมากจนน่าเกลียด ใบหน้าหลินหยุนไม่แสดงความรู้สึกใดๆเลย
รอให้ร่างของซูหนันเกือบจะเข้าถึงตัวเขาแล้ว ทันใดนั้นหลินหยุนก็ยื่นมือทั้งคู่ออกไป ข้างหนึ่งขึ้นข้างหนึ่งลง ข้างหนึ่งแบออกข้างหนึ่งกำไว้ ค่อยๆท่องออกมา “สิบแปดท่าต้าเต๋า ท่าที่สี่ หยุดความว่างเปล่า!”
พอสิ้นเสียง ซูหนันที่กำลังเหาะลงมาจากกลางอากาศด้วยความรวดเร็วนั้น ถูกยึดตรึงไว้ทันที
ต่อให้เขาดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถขยับตัวได้เลย!
ในที่สุดใบหน้าของซูหนันก็แสดงถึงความหวาดผวา เสียงที่แหบแห้งน่าเกลียดพูดดังขึ้นว่า “ไอ้หนูน้อย นี่เป็นวิชามารอะไร? นี่มันไม่ใช่ที่สืบทอดจากผู้ฝึกชี่ แกเป็นใครกันแน่?”
หลินหยุนแหงนหน้ามองซูหนันที่ค้างอยู่กลางอากาศ พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ถ้าคุณเล่าความเป็นมาของคุณให้ฉันฟัง แล้วฉันก็จะบอกคุณเอง”
“ฝันไปเถอะ!” ซูหนันปฏิเสธเสียงแข็ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แกคิดว่าทำเช่นนี้สามารถขังฉันได้เหรอ? ฝันไปเถอะ!”
ร่างของซูหนันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วกลางอากาศ เกล็ดสีเขียวบนร่างก็หายไปหมดแล้ว หน้าตาที่น่าเกลียดก็หายไปแล้ว
จากนั้นก็กลายร่างคืนเป็นหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเดิมของเขาอย่างรวดเร็ว
ลูกน้องของสำนักยินซือต่างตะโกนเรียก “เป็นท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์กลายร่างกลับคืนมาแล้ว!”
สายตาของหลินหยุนยังคงจ้องไปที่ตำแหน่งของซูหนัน ตรงนั้น กลุ่มก้อนเงามืดที่อยู่บริเวณรัศมีสิบเมตรกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย เกิดกลุ่มก้อนเงาร่างคนที่ใหญ่โตมหึมา มีดวงตาสีเขียวเข้มที่โผล่ออกมา ก้มมองดูผู้คนที่อยู่ที่นั้น จ้องมองทุกคนข้างล่างอย่างเยือกเย็น
เดิมทีซูหนันที่ถูกยึดตรึงอยู่กลางอากาศนั้น สีหน้าขาวซีด ใช้น้ำเสียงที่อ่อนแอพูดขึ้นว่า “วิญญาณบรรพบุรุษฮั่นป๋า!”