เซี่ยหยู่เวยพูดจบ ก็ก้าวขาที่เรียวยาวเดินไปยังประตูห้องที่จองไว้ หลินหยุนเดิมทีที่ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรสักคำ เงยหน้าขึ้นมาทันที
“อ๋อ ที่แท้ในสายตาคุณ ฉันเป็นแค่คนตัวเล็กคนหนึ่งที่เอาแต่อาศัยเกาะแกะกับคนนอกเท่านั้น”
น้ำเสียงของหลินหยุนแฝงไปด้วยความรู้สึกที่เยาะเย้ยตัวเอง เซี่ยหยู่เวยหยุดเดินต่อ แต่ไม่หันหน้ามา น้ำเสียงแฝงด้วยความเหยียดหยาม “หรือว่าไม่ใช่?”
“ถ้าหากไม่มีจินซื่อหรงและเจี่ยงสงพวกนั้นแล้ว คุณยังจะเหลืออะไรอีกล่ะ?”
“รอให้คุณเรียนจบแล้วก้าวออกสู่สังคมภายนอก ด้วยนิสัยของคุณ เกรงว่าจะหางานทำยังไม่ได้เลย”
“ฉันรู้ว่าคุณถนัดเรื่องชกต่อย แต่ว่าอย่างมากคุณก็เป็นได้แค่บอดี้การ์ดของคนอื่น ต่อให้คุณได้อยู่กับอีหลิง แล้วคุณจะทำให้เธอมีความสุขได้อย่างไร?”
“อีกทั้งพ่อบังเกิดเกล้าของอีหลิง ก็ไม่ยอมให้ลูกสาวของเขาไปอยู่กับคนปลายแถวไร้ชื่อคนหนึ่งอย่างแน่นอน”
หลินหยุนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสุขุมเคร่งขรึม
คำพูดของเซี่ยหยู่เวยพวกนี้ เมื่อก่อนหานกั๋วเฉียงก็เคยพูดกับเขา ในเวลานั้นเขาก็รู้แล้วว่า ฐานะของอีหลิงไม่ธรรมดาแน่นอน
แต่ว่า แล้วยังไงเหรอ?
หลินหยุนมองไปยังเซี่ยหยู่เวย แล้วพูดอย่างช้าๆ
เสียงของเขาดังก้องกังวานราวกับแว่วมาจากสวรรค์ชั้นเก้า
“อย่าพึ่งพูดถึงความรู้สึกของฉันที่มีต่ออีหลิงเลย มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดทั้งนั้น ต่อให้ฉันจะจีบอีหลิงจริง แล้วใครจะห้ามฉันได้?”
“พวกผู้ยิ่งใหญ่ที่คุณพูดถึงนั่น ในสายตาของฉันไม่ต่างอะไรกับพวกมดตัวเล็กตัวน้อยเลย แค่ฉันพูดเพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องก้มหัวให้แล้ว! ที่คุณพูดถึงอุปสรรคพวกนั้น ในสายตาฉัน ก็แค่ยกดาบขึ้นมาแล้วฟันลงไปก็จัดการได้แล้ว!”
“ในสายตาของคุณ เห็นแต่เพียงความสำคัญของเรื่องร่ำรวยเงินทอง อำนาจบารมี ตำแหน่งหน้าที่ คุณไม่รู้หรอก ว่าของพวกนี้ในสายตาฉัน มันก็เป็นแค่กองขยะเท่านั้นเอง! ยิ่งไปกว่านั้นคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณกำลังพูดกับใครที่ยังคงอยู่”
“ความคิดของคุณ กำหนดไว้แล้วว่า ชาตินี้คุณก็ได้แต่วนเวียนอยู่ในโลกมายาที่ล่องลอยขึ้นลงไม่แน่นอน มีชีวิตอยู่ก็ไม่ถึงร้อยปี ด้วยอายุที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าฉัน ก็ได้ท่องไปยังหมู่ดาวในจักรวาลนานแล้ว”
“รอให้คุณร่างกลบดิน ใบหน้ากลายเป็นผงธุลี ฉันก็ยังคงยืนอยู่บนสวรรค์แล้วก้มหน้ามองดูสรรพสิ่ง เป็นหมื่นปีไม่มีวันดับสูญ คุณคิดว่าทัศนคติเกี่ยวกับค่านิยมระหว่างเทพเจ้าองค์หนึ่งกับมนุษย์คนหนึ่งมันจะเหมือนกันหรือไม่?”
“คุณกับฉันก็เหมือนอยู่กันคนละโลก ดังนั้น กรุณาอย่าเอาสายตาแบบมดตัวน้อยของคุณมาประเมินค่าในตัวฉัน”
คำพูดของหลินหยุนที่พูดออกมาด้วยความโกรธ ก้องกังวานอยู่ข้างหูของเซี่ยหยู่เวย เหมือนกับศรธนูที่แหลมคมทิ่มแทงลงในใจเธอ เซี่ยหยู่เวยราวกับถูกศรธนูหมื่นอันแทงทะลุเข้าไปในหัวใจ รู้สึกเสียหน้ามาก
ความจริงแล้วเซี่ยหยู่เวยเพียบพร้อมมาก แต่ว่า ถึงแม้จะเพียบพร้อมเพียงใด ก็เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลชื่นชอบความมั่งคั่งจอมปลอมในโลกมายาใบนี้เท่านั้นเอง
ทัศนคติที่มีต่อชีวิต ทัศนคติเกี่ยวกับค่านิยม ทัศนคติที่มีต่อโลกของเธอได้กำหนดไว้แล้วว่า ชาตินี้ก็คงถูกกำจัดให้อยู่แต่ภายในเมืองหรือภายในประเทศเท่านั้น
แต่ว่า หลินหยุนได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนานถึงแปดร้อยปีมาแล้ว ท่องเที่ยวไปหมู่ดาวในจักรวาล มหากษัตริย์ชางฉองที่เกรียงไกรไปทั่วทุกภพทุกชาติ หมัดดับดวงตะวันจันทรา กระบี่ทะลวงท้องฟ้า พันปีไม่ดับสูญ อยู่ยงคงกระพันตราบชั่วนิรันดร์
ทั้งสองคนต่างอยู่กันคนละโลก ทุกสิ่งที่เซี่ยหยู่เวยเทิดทูนนั้น ในสายตาของหลินหยุน มหากษัตริย์ชางฉองผู้นี้แล้ว ก็แค่สะบัดทิ้งราวกับถอดรองเท้า
หลังจากพูดจบแล้ว หลินหยุนก็เดินจากไป
ส่วนเซี่ยหยู่เวยก็ยังยืนงงอยู่ที่เดิม ไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว เสียงดังกังวานของหลินหยุนที่พูดด้วยคำพูดที่น่าทึ่งยังวนเวียนอยู่ข้างหูทั้งสองของเธอ
“ความคิดของคุณ กำหนดไว้แล้วว่า ชาตินี้คุณก็ได้แต่วนเวียนอยู่ในโลกมายาที่ล่องลอยขึ้นลงไม่แน่นอน มีชีวิตอยู่ก็ไม่ถึงร้อยปี ด้วยอายุที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าฉัน ก็ได้ท่องไปยังหมู่ดาวในจักรวาลนานแล้ว”
“รอให้คุณร่างกลบดิน ใบหน้ากลายเป็นผงธุลี ฉันก็ยังคงยืนอยู่บนสวรรค์แล้วก้มหน้ามองดูสรรพสิ่ง เป็นหมื่นปีไม่มีวันดับสูญ คุณคิดว่าทัศนคติเกี่ยวกับค่านิยมระหว่างเทพเจ้าองค์หนึ่งกับมนุษย์คนหนึ่งมันจะเหมือนกันหรือไม่?
“คุณกับฉันก็เหมือนอยู่กันคนละโลก ดังนั้น กรุณาอย่าเอาสายตาแบบมดตัวน้อยของคุณมาประเมินค่าในตัวฉัน”
……………………
รอให้เซี่ยหยู่เวยตั้งสติกลับมาได้ ภายในห้องจองพิเศษ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินหยุนแล้ว
มองไปยังที่นั่งหลินหยุนเมื่อครู่ สีหน้าเซี่ยหยู่เวยดำคล้ำ
“หลินหยุน ฉันไม่รู้ว่าแกมีใครเป็นที่พึ่งอยู่ข้างหลัง ทำให้แกกล้าที่จะพูดคำพูดโอหังแบบนี้ออกมา อีกสองวันข้างหน้าเป็นงานวันเกิดพ่อ ถึงเวลานั้นฉันก็จะหย่าต่อหน้าผู้คนในงานเลี้ยง”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะแน่ขนาดนั้น ร้ายกาจขนาดนั้นอย่างที่แกพูดมาหรือเปล่า!”
เซี่ยหยู่เวยกำหมัดทั้งสองไว้แน่น จนเล็บมือจิกเข้าไปในเนื้อ จะเห็นได้ว่าคำพูดของหลินหยุนเมื่อครู่นี้ กระทบกระเทือนจิตใจของเธอไม่เบาเลยทีเดียว
สองวันต่อมา งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเซี่ยเจี้ยนโก๋ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเซี่ยเจี้ยนโก๋จัดขึ้นที่ตึกโรงแรมฟู่หวง
โรงแรมฟู่หวงนี้เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองหลินโจว ก็เป็นเพียงแค่งานวันเกิดห้าสิบปี ถึงจะใหญ่โตสู้งานวันเกิดหกสิบปีไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้ตัวเองน้อยหน้าเหมือนกัน
อีกทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาเซี่ยเจี้ยนโก๋ก็ได้อาศัยความรู้ด้านวิชาการแพทย์ของตัวเอง อยู่ในวงการแพทย์เมืองหลินโจว ก็พอมีชื่อเสียงพอสมควรอยู่บ้าง ดังนั้น สถานที่จัดงานฉลองวันเกิดห้าสิบปีนี้ ก็ต้องดูดีมีระดับ
การจัดงานวันเกิดครั้งนี้เซี่ยเจี้ยนโก๋ไม่เพียงแต่เชิญญาติสนิทมิตรสหายแล้ว ยังมีเพื่อนพวกที่อยู่ในวงการแพทย์จำนวนไม่น้อยที่มาร่วมงานด้วย
งานเลี้ยงวันเกิดยังไม่ได้เริ่มต้น ก็มีแขกมาจากสมาคมแพทย์แห่งเมืองหลินโจวหลายคน เข้ามาอวยพรวันเกิดเซี่ยเจี้ยนโก๋แล้ว
“ขอให้หมอเทพเซี่ยร่างกายแข็งแรง ยิ่งอยู่ยิ่งหนุ่มนะครับ!”
แขกจำนวนหนึ่งก็ยกมือทั้งสองคารวะแล้วยิ้มอวยพรให้
“พี่หยาง น้องอู๋ พี่สือ พวกคุณมาได้อย่างไรครับ?” ใบหน้าของเซี่ยเจี้ยนโก๋แสดงความดีใจออกมา แขกที่มาพวกนี้เขาไม่ได้เชิญมาร่วมงาน อีกทั้งแต่ละคนก็มีตำแหน่งฐานะสูงส่ง ไม่นึกว่าจะมาในงานนี้ด้วย
ผู้เฒ่าที่อาวุโสสูงสุดก็พูดด้วยเสียงหัวเราะว่า “น้องเซี่ย พวกเราตาแก่ไม่กี่คนนี้มาอย่างไม่ได้รับเชิญ คุณคงไม่รังเกียจนะ?”
เซี่ยเจี้ยนโก๋หัวเราะดังแล้วพูดว่า “พี่หยาง พี่ก็พูดอะไรเกินไป? ฉันรู้สึกดีใจไม่ว่าสิ! ตอนแรกผมก็คิดจะเชิญพวกคุณมาเป็นแขกในงานแล้ว แต่เกรงว่าศาลเจ้าเล็กๆของผมนี่คับแคบเกินไป ไม่เหมาะสมกับเทพเจ้าองค์ใหญ่อย่างพวกท่านน่ะสิ!”
“ฮาๆ แค่ฟังคำพูดนี้ก็รู้ว่าไม่จริงใจล่ะ ถ้าคุณหลี่ไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้จริงๆว่าคุณจัดงานวันเกิดวันนี้”
เมื่อทักทายกันพอสมควรแล้ว จากนั้นเซี่ยเจี้ยนโก๋ ก็ต้อนรับพวกเขาโดยจัดให้พวกเขานั่งโต๊ะเดียวกัน
ระหว่างการพูดคุยสนทนากันนั้น พวกเขาก็คุยถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่เกิดเหตุกับเด็กแรกเกิดยี่สิบแปดคนขึ้นมา
ผู้เฒ่าหยางพูดขึ้นว่า “คราวนี้เด็กทั้งยี่สิบแปดคนนั้นรอดมาอย่างปลอดภัย ก็ด้วยฝีมือของคณะผู้เชี่ยวชาญจากเมืองหลวงที่ได้ช่วยไว้เลยทีเดียว!”
“ฮาๆ พี่หยางครับ ไม่นึกเลยว่าพี่จะถูกปิดกั้นข่าวสารได้ถึงเพียงนี้! คณะผู้เชี่ยวชาญเหลวไหลอะไรกัน คนที่ช่วยชีวิตเด็กทั้งยี่สิบแปดคนที่แท้จริงนั้น คือหมอเทพแห่งเมืองหลินโจวของพวกเราต่างหาก!” ผู้เฒ่าหูพูดด้วยรอยยิ้ม
ผู้เฒ่าหยางส่งสายตาค้อนใส่ผู้เฒ่าหูแล้วพูดว่า
“เรื่องนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่? ฉันไม่ได้ออกสังคมมานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่ายังมีเหตุอะไรที่ซ่อนอยู่ภายใน!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋พูดว่า “พี่หยางครับ คำพูดที่ว่าพวกผู้เชี่ยวชาญเป็นคนที่ช่วยชีวิตเด็กพวกนั้น มันก็เป็นคำพูดจากทางการเท่านั้น คนที่ช่วยชีวิตเด็กพวกนั้นแท้จริงแล้วก็คือ หมอเทพหลิน เรื่องนี้เขาลือกันไปทั่ววงการแพทย์ประเทศจีนแล้ว อีกอย่างผู้อำนวยการโรงพยาบาลประชาชนโจวชิงเหอ ผู้อำนวยการโจวก็เคยออกมาพูดยืนยันด้วยตัวเองแล้ว”
“อ๋อ! แม้แต่ผู้อำนวยการโจวก็ยอมรับแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องเป็นเรื่องจริงสินะ! คนดีอย่างผู้อำนวยการโจว ฉันให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด คำพูดของเขารับรองไม่ผิดแน่” ผู้เฒ่าหยางพูดอย่างจริงจัง
“แต่ว่าคุณบอกว่าหมอเทพหลินคนนั้น ทำความดีแล้วทำไมไม่ยอมบอกชื่อแซ่เหรอ? นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังไปทั่วหล้าได้เลยนะ!” ผู้เฒ่าหยางรู้สึกเสียดายแทนหมอเทพหลินที่ตนเองยังไม่เคยได้เห็นหน้าเลย
เซี่ยเจี้ยนโก๋พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่แหละเป็นสิ่งที่ผมเลื่อมใสศรัทธาในตัวหมอเทพหลินคนนั้น! ความดีความชอบที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ เขาถึงกับไม่รับแม้แต่นิดเดียว นี่แหละคือการวางตัวที่สง่างามของผู้อาวุโสฝีมือสูงส่งที่แท้จริง”
ผู้เฒ่าหูพูดชมขึ้นว่า “ใช่แล้วใช่แล้ว! หมอเทพหลินยังได้ช่วยแก้แค้นให้กับพวกเราในวงการแพทย์เมืองหลินโจวอีกด้วย ตบหน้าพวกคณะผู้เชี่ยวชาญที่มาจากเมืองหลวงอย่างแรงเลย! แม้แต่ผู้อำนวยการโจวก็ยังพูดว่า เขาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกเราวงการแพทย์แห่งหลินโจวเลย