หลินหยุนมองไปที่จางซือจู่ที่มีสีหน้าท่าทางโกรธเคือง พูดขึ้นว่า: “ไอ้หมอ นายพูดมาแล้วกัน! ”
ทันใดนั้นจางซือจู่ก็ได้เล่าเรื่องราวที่ผู้ช่วยหลิวได้ใช้วิธีลงมือแก้แค้นอย่างไร กำเริบเสิบสานมากขนาดไหน อย่างตรงไปตรงมา
สีหน้าของหยางหยิงยิ่งดูเลวร้ายมากขึ้น แม้ว่าเธอจะเติบโตมาจากครอบครัวที่ธรรมดาทั่วไป แต่ ตอนนี้สถานะของเธอในวงการบันเทิงนั้นกำลังโด่งดังเป็นที่สุด เธอเองนั้นจึงโดนหล่อหลอมให้มีสภาพการณ์ของอารมณ์ที่ค่อนข้างเด็ดขาดรุนแรง
“ผู้ช่วยหลิว เป็นไปตามนี้ใช่ไหม? ” หยางหยิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิวเสี่ยวเกอตกใจจนสีหน้าซีดเซียว และรีบเถียงข้าง ๆ คู ๆ ขึ้นว่า “หยางหยิง คุณอย่าไปฟังที่พวกเขาพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณ จะไปถือสาหาความกับพวกเด็กนักเรียนเหล่านั้นทำไมกันล่ะ? ”
หยางหยิงพูดอย่างเย็นชาว่า: “ความหมายของคุณก็คือ พวกนักเรียนเหล่านั้นใส่ร้ายป้ายสีผู้ช่วยของฉันอย่างนั้นเหรอ? พวกเขาหาญกล้ามากกันเกินไปแล้ว! ”
หยางหยิงหันไปหาผู้จัดการนักแสดงแล้วพูดขึ้นว่า: “พี่เฟิ่ง คุณช่วยไปหาพวกเด็กนักเรียนเหล่านั้นและสอบถามเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน่อย! ”
“ตกลง! ” เฉินซีเฟิ่งหันมองไปที่ผู้ช่วยหลิว แล้วก็เดินจากไป
“พี่เฟิ่งเดี๋ยวก่อน! ” ผู้ช่วยหลิวสีหน้าซีดเซียว: “ไม่ต้องไปสอบถามผู้ใดแล้ว ฉันยอมรับสารภาพ! ”
“ที่พวกเขาเหล่านั้นพูดเป็นความจริงทั้งหมด ซึ่งฉันเองต้องการจะระบายความแค้นให้กับลูกผู้น้อง จงใจที่จะข่มเหงพวกเขา”
“แต่ว่าหยางหยิง ฉันคือผู้รับผิดชอบการคัดเลือกนักแสดงรอบแรกในครั้งนี้ หรือว่าสิทธิ์เพียงเท่านี้ฉันเองก็ไม่มีเลยหรือยังไงกัน? ก็แค่พวกนักเรียนยากจน คุณคงไม่ถึงกับลงโทษฉันเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้หรอกใช่ไหม? ” หลิวเสี่ยวเกอพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เศร้าโศกเสียใจจากความแค้นเคือง
หยางหยิงพูดอย่างเย็นชาว่า: “ลงโทษงั้นเหรอ? ฉันไม่ลงโทษคุณหรอก พี่เฟิ่ง รบกวนช่วยเปลี่ยนตำแหน่งผู้ช่วยให้ฉันหน่อย”
“อะไรกัน! ” หลิวเสี่ยวเกอสีหน้าซีดเซียวอย่างที่สุด ร้องตะโกนขึ้นด้วยความตระหนกตกใจ: “หยางหยิง ฉันรับใช้คุณมานานสามปี นับตั้งแต่ที่คุณเริ่มเข้าสู่วงการฉันก็รับใช้คุณมาโดยตลอด อย่างน้อยก็สมควรได้รับเครดิตสำหรับความพยายาม นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะไล่ฉันออกเพราะพวกนักเรียนยากจนเหล่านี้ คุณมีจิตสำนึกมีความเป็นธรรมอยู่บ้างไหม? ”
หยางหยิงมองไปที่หลิวเสี่ยวเกอ พูดอย่างเย็นชาว่า: “นักเรียนยากจน? หลิวเสี่ยวเกอ เกรงว่าตอนนี้คุณก็คงยังไม่ทราบถึงความผิดที่แท้จริงของคุณว่าคืออะไร! ”
หยางหยิงมองไปที่หลินหยุน และพูดว่า: “คุณหลินผู้นี้ คือผู้ที่มาช่วยชีวิตที่อาจารย์ผู้มีพระคุณของฉันกำลังตามหาอยู่! ”
“อาจารย์ผู้มีพระคุณ? ” หลิวเสี่ยวเกอเหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง และมีสีหน้าที่ตื่นตระหนก: “เป็นไปได้อย่างไรกัน! เขาเป็นเพียงแค่นักเรียนทั่วไปของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์ จะเป็นผู้ที่มาช่วยชีวิตของคุณเสี้ยงได้อย่างไรเล่า! ”
คุณเสี้ยง? ใครคือคุณเสี้ยง? ทำไมหลิวเสี่ยวเกอถึงต้องพูดถึงคุณเสี้ยงผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะน่าเกรงกลัวอยู่ไม่น้อย?
กู้ซิวหรั่นและจางซือจู่ทั้งสองคนจ้องมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าที่ตัวของหลินหยุน ปกคลุมไปด้วยหมอกควัน
เดิมทีร่างกายของหลินหยุนที่ปกติทั่วไป อยู่ดี ๆ ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง
หยางหยิงมองไปที่หลิวเสี่ยวเกอด้วยความเย็นชา: “คำนึงถึงว่าพวกเรานั้นรู้จักกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ฉันขอเตือนคุณอย่างหนึ่ง หากว่าล่วงเกินตัวฉันนั้นไม่เป็นไร แต่หากคุณไปล่วงเกินอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉันแล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรคุณก็คงรับทราบเป็นอย่างดี! ”
หลิวเสี่ยวเกอตกใจจนตัวสั่น ล้มทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้น เห็นได้ชัดเลยว่าเธอมีความหวาดกลัวต่ออาจารย์ผู้มีพระคุณของหยางหยิงมากแค่ไหน!
กู้ซิวหรั่นกับฉินโส่วและพวกพ้องต่างแอบตกตะลึง อาจารย์ผู้มีพระคุณของหยางหยิงนั้นตกลงคือใครกันแน่? นึกไม่ถึงว่าได้ยินเพียงแค่ชื่อก็ทำให้หลิวเสี่ยวเกอตกใจกลัวมากขนาดนี้!
“หยางหยิง ฉันผิดไปแล้ว ขอร้องคุณในฐานะที่พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี กรุณาอย่าได้นำเรื่องนี้ไปบอกให้กับคุณเสี้ยงได้รับทราบ! ” หลิวเสี่ยวเกอร้องขอความเมตตาด้วยสีหน้าท่าทางที่หวาดกลัว
หยางหยิงมองไปที่หลิวเสี่ยวเกอด้วยความเย็นชา: “ฉันสามารถปล่อยคุณไปได้ แต่ ผู้ที่คุณล่วงเกินนั้นไม่ใช่ฉัน! ”
หลิวเสี่ยวเกอก็นับว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม จึงเข้าใจได้ในทันที
“คุณหลิน ฉันผิดไปแล้ว ฉันขอโทษท่านด้วย ขอร้องท่านได้โปรดเมตตาให้อภัย! ฉันยินยอมที่จะชดเชยค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อท่าน”
กู้ซิวหรั่นมีสีหน้าที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อครู่เขายังกระหยิ่มยิ้มย่อง ดุด่าข่มเหงหลินหยุนอย่างไม่มีชิ้นดี แต่เพียงแวบเดียวลูกผู้พี่ที่เขานับถือนั้น นึกไม่ถึงว่าแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอความเมตตาอยู่เบื้องหน้าหลินหยุน!
แล้วอย่างนี้จะให้กู้ซิวหรั่นทนรับสภาพได้อย่างไรกัน?
“ลูกผู้พี่ คุณไม่ต้องไปร้องขออ้อนวอนเขา! มีเรื่องอะไรเดี๋ยวฉันจะช่วยคุณแบกรับเอาไว้เอง! ” เบื้องหลังของกู้ซิวหรั่นคือตระกูลกู้ ที่เป็นวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่มานานนับหลายสิบปี แม้ว่าในวงการบันเทิงจะมีสถานะที่เทียบเท่าไม่ได้กับหยางหยิง แต่ในภาพรวมแล้วมีอำนาจอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่กว่าหยางหยิงหลายเท่าตัวนัก
แต่ว่า หลิวเสี่ยวเกอกลับส่ายศีรษะ พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่หวาดกลัวว่า: “ไม่ นายแบกรับไม่ไหว! แม้ว่าตระกูลกู้ของนายเองก็แบกรับไว้ไม่ไหวเช่นกัน ซึ่งหากได้ล่วงเกินคุณเสี้ยงแล้ว ฉันก็คงจะต้องตายสถานเดียว ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะทำมาหากินในวงการบันเทิงได้อีกต่อไป! ”
กู้ซิวหรั่นตกตะลึงยิ่งนัก: “ลูกผู้พี่ ที่คุณพูดว่าคุณเสี้ยงตกลงเขาคือใครกันแน่? เขาถึงขนาดที่ว่าจะไม่ให้เกียรติไม่ไว้หน้าต่อตระกูลกู้ของฉันบ้างเลยเหรอไง? ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก ในวงการบันเทิง คุณเสี้ยงคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด! ” หลิวเสี่ยวเกอพูดขึ้นด้วยความเคารพและยำเกรง
“คุณหลิน ได้โปรดยกโทษให้อภัยด้วย! ” หลิวเสี่ยวเกอคำนับอย่างนอบน้อม
จางซือจู่กับพวกพ้องแม้จะตื่นตระหนกแต่ก็เหมือนได้ระบายความโกรธเคืองอย่างที่สุด
เมื่อครู่ที่หลิวเสี่ยวเกอลงมือจัดการแก้แค้นนั้น เรียกได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ทรมานใจมากยิ่งนัก
ในตอนนี้ กลับถูกกรรมตามสนอง เหมือนกับสุนัขที่กำลังอ้อนวอนร้องขอการยกโทษจากหลินหยุน
“เหอะๆ หากทราบก่อนแล้วว่าผลลัพธ์จะลงเอยแบบนี้ แล้วจะทำแบบนั้นในตอนแรกไปทำไมกัน? ” จางซือจู่แสดงท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง
หลินหยุนมองไปที่หลิวเสี่ยวเกออย่างเฉยเมย: “คุณไปเถอะ! ”
หลิวเสี่ยวเกอดีอกดีใจ: “ขอบคุณคุณหลิน ขอบคุณคุณหลินมาก! ”
หยางหยิงมองไปที่หลิวเสี่ยวเกอ และก็มองไปที่กู้ซิวหรั่นกับพวกพ้อง แล้วพูดกับผู้จัดการนักแสดงขึ้นว่า: “พี่เฟิ่ง คนพวกนี้ใช้เส้นสายความสัมพันธ์ส่วนตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยุติธรรมในการคัดเลือกรอบแรกนี้ ขอให้ขึ้นบัญชีดำรายชื่อพวกเขาเหล่านี้เอาไว้ โดยจะไม่รับเข้ามาร่วมงานด้วยตลอดไป”
“ตกลง! ”
“ใช่แล้ว เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหายให้กับคนเหล่านี้ ช่วยจัดแจงบทบาทการแสดงในละครเรื่องใหม่ของฉันให้กับพวกเขาด้วย” หยางหยิงพูดสั่งการ
“รับทราบ! ” ผู้จัดการนักแสดงเฉินซีเฟิ่งตอบรับ
จางซือจู่กับพวกพ้องตื่นเต้นดีใจในทันที: “นี่มันคือทุกขลาภใช่ไหม? ”
เถียนชุ่ยชุ่ยกับหวางหยู่หันรวมถึงจางเหมิง แต่ละคนก็มีสีหน้าที่ซีดเซียว
แม้ว่าพวกเธอจะไม่อาศัยความสัมพันธ์ของกู้ซิวหรั่น ก็คงจะผ่านการคัดเลือกรอบแรกนี้ไปได้อย่างไม่เป็นปัญหา แต่พวกเธอกลับที่จะเลือกเดินในเส้นทางลัด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เสมือนว่ากู้ซิวหรั่นโดนตบหน้าเข้าอย่างจัง เดิมทีหน้าตาที่หล่อเหลากลับกลายเป็นหมองคล้ำไม่สง่างาม: “หยางหยิง แม้ว่าพวกเราจะใช้เส้นสายความสัมพันธ์แล้วจะทำไมล่ะ? ตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช้ความสัมพันธ์! ทำไมคุณถึงต้องเอารายชื่อของพวกเราบันทึกไว้ในบัญชีดำด้วย! ”
“นอกจากนี้ ตระกูลกู้ของฉัน ไม่เกรงกลัวคุณอย่างแน่นอน! ” กู้ซิวหรั่นมีสีหน้าท่าทางที่หยิ่งผยอง
หยางหยิงมองไปที่กู้ซิวหรั่น พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ตระกูลกู้ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่ แต่ตระกูลกู้ไม่สามารถเข้ามามีอิทธิพลเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงได้ และยิ่งจะมาจัดการทำอะไรกับฉันหยางหยิงก็ไม่ได้เสียด้วย”
“พี่เฟิ่ง ดำเนินการเดี๋ยวนี้! ” หยางหยิงไม่ให้เกียรติไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย
“ตกลง” เฉินซีเฟิ่งรีบโทรศัพท์จัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องในทันที
เถียนชุ่ยชุ่ยเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นบ้างแล้ว เธอแตกต่างกับจางเหมิงและหวางหยู่หัน หวางหยู่หันหลงรักในตัวของกู้ซิวหรั่น วงศ์ตระกูลก็พอมีชื่อเสียง หากจะพลาดโอกาสในครั้งนี้ก็ไม่เสียหายอะไร
ส่วนจางเหมิงก็เป็นหนึ่งในดาวของมหาวิทยาลัย วงศ์ตระกูลสูงศักดิ์กว่าหวางหยู่หันเสียอีก ยิ่งไม่ต้องกังวลอะไร
แต่ตัวเธอนั้นแตกต่างกับพวกเขาทั้งสอง เธอมีวงศ์ตระกูลที่ธรรมดาทั่วไป ซึ่งก็ต้องอาศัยกลอุบายแผนการต่าง ๆ ที่เหนือกว่าคนอื่นจนมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ไม่ว่าโอกาสอะไรเธอก็จะต้องไขว่คว้าเอาไว้ทั้งหมดทั้งมวล
“คุณหยาง คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้เป็นพวกพ้องเดียวกันกับพวกเขาสักหน่อย! ฉันคือแฟนคลับของคุณ คุณคงไม่บันทึกชื่อของฉันไว้ในบัญชีดำหรอกใช่ไหม! ” ภายใต้สถานการณ์ที่ฉุกเฉินนี้ เถียนชุ่ยชุ่ยก็ไม่สามารถที่จะไปสนใจว่าจะเป็นการล่วงเกินต่อกู้ซิวหรั่นหรือไม่อย่างไรแล้ว
กู้ซิวหรั่นมองไปที่เถียนชุ่ยชุ่ยด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแสดงออกถึงรอยยิ้มเย็นชาและเหยียดหยาม
หยางหยิงมองไปที่เถียนชุ่ยชุ่ย แล้วก็หันมองไปที่หลินหยุน เหมือนกับว่าขอรับฟังความคิดเห็นจากหลินหยุน
เถียนชุ่ยชุ่ยแสดงออกถึงท่าทางอันน่าสงสาร ซึ่งหากผู้ชายทั่วไปทุกคนพบเห็นก็คงต่างพากันเกิดความรู้สึกอาทรสงสาร
“หลินหยุน ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำผิดไว้กับคุณ แต่ว่าฉันก็ได้รับการลงโทษแล้ว หวังว่าคุณคงจะให้อภัยกับฉัน! ”
“การคัดเลือกรอบแรกในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญมากของฉัน ฉันไม่ต้องการจะสูญเสียมันไป ขอให้คุณช่วยเหลือฉันหน่อยเถอะ จะได้ไหม? ”
หลินหยุนเงียบไม่พูดไม่จา แม้แต่จะมองก็ยังไม่หันไปมองเถียนชุ่ยชุ่ยแม้แต่น้อย ทำเหมือนกับว่าเธอไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
จางซือจู่มีท่าทางที่เหยียดหยาม พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า: “หลินหยุน นายห้ามหลงกลผู้หญิงคนนี้อีกเป็นอันขาด ตอนที่เธอต้องการจะหลอกใช้นาย ก็ทำตัวอ่อนแอน่าสงสาร ตอนที่ไม่ต้องการนาย ก็ถีบส่งอย่างไม่ไยดี ผู้หญิงคนนี้จิตใจร้ายกาจดั่งงูพิษ ไม่มีความจริงใจกับนายอย่างแน่นอน