หลินหยุนยืนอยู่ด้านหน้าประตู แล้วโทรศัพท์ไปหาฉินหลัน
“ฉันมาถึงแล้ว”
ฉินหลันพูดว่า: “นายรอก่อน เดี๋ยวสักครู่ฉันจะลงมารับนาย!”
เมื่อวางสายลง หลินหยุนมองไปยังประตูใหญ่ของตึกบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปที่คุ้นเคย และปรากฏภาพอดีตความทรงจำขึ้นเป็นฉาก ๆ ในเบื้องหน้า
ครั้งแรกที่รู้สึกตึงเครียดและตะลึงที่ถูกหวางซูเฟินพาเข้าตึกบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
ครั้งแรกที่รู้สึกหวาดกลัวและมุมานะในการรับช่วงต่อบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
ครั้งแรกที่กลายเป็นประธานกรรมการบริษัทที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้าน
และสุดท้ายที่ถูกตระกูลส้งพาคนมารับช่วงต่อเพื่อครอบครองบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ซึ่งก็อยู่ตรงที่บริเวณห้องโถงชั้นหนึ่งนี้ ที่หลินหยุนถูกกระทำอย่างอัปยศจนต้องกระอักเลือด
ฉินหลันก็ตอบตกลงจำนนยินยอมต่อส้งอันหมิงในครั้งนั้น เพื่อปกป้องคุ้มครองหลินหยุนเช่นกัน
ในดวงตาของหลินหยุนมีภาพผันผวนแปรเปลี่ยนไปมา แต่จิตใจยังคงสงบแน่นิ่ง
ชีวิตทั่วไปบนโลกนี้ มีทั้งขึ้นและลง เวลาร้อยปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ช่วงวัยหนุ่มสาวอายุยังน้อยมักจะคิดแสวงหาความท้าทายเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อเข้าสู่วัยแก่ชรากลับนึกถึงเรื่องที่ผิดพลาดในอดีต แต่ก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ ต่อให้บ้านเมืองอยู่ในมือแล้ว ก็ไม่เท่ากับการเมาครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ดูเหมือนว่า อดีตที่พ้นผ่านไปนั้น ก็เหมือนกับคลื่นน้ำที่ถูกลมพัดขึ้นกลางทะเล สำหรับทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น คลื่นน้ำก็ไม่มีความสำคัญอะไรแม้แต่น้อยเลย
ชายที่ทะเยอทะยานต้องการแสวงหาความลึกลับของจักรวาล และความหมายที่แท้จริงของชีวิต ถึงอย่างไรก็จะไม่ยอมละทิ้งโอกาสในการใช้ชีวิตนี้ไปแน่นอน
ประตูกระจกหมุนบานใหญ่ที่ห้องโถงหมุนวนเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ฉินหลันที่อยู่ในชุดสูททำงานสีดำ ผมยาวดำสลวยมัดทรงหางม้า เดินออกมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เสียงต๊อก ๆ ของรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นกระเบื้องหินอ่อนแข็ง
“ตามฉันเข้ามาด้านใน!” ฉินหลันพูดขึ้นพร้อมกับมองหลินหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ครั้งนี้ที่เห็นหลินหยุน ฉินหลันรู้สึกว่ากลิ่นอายร่างกายของหลินหยุนไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่พบเจอ
ครั้งก่อนเธอรู้สึกว่าหลินหยุน แม้ว่าจะดูแปลกและหยิ่งยโส แต่ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ท่าทางที่วัยรุ่นหนุ่มสาวพึงจะมี
แต่ว่าในครั้งนี้ ฉินหลันรู้สึกว่าร่างกายของหลินหยุนนั้น เหมือนได้ผ่านเรื่องราวประสบการณ์อย่างโชกโชนมานับไม่ถ้วน
เหมือนว่าหลินหยุนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอนั้น ไม่ใช่ชายหนุ่มวัยรุ่นที่มีอายุเพียงแค่ยี่สิบกว่าปีอย่างแน่นอน แต่เหมือนเป็นคนชราที่ใช้ชีวิตดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน
แต่ว่า ไม่นานฉินหลันก็ละทิ้งความรู้สึกนึกคิดดังกล่าวนี้ออกจากหัวสมองทั้งหมด เพราะว่าเธอรู้สึกว่ามันไร้สาระสิ้นดี
หลินหยุนเดินตามฉินหลันเดินเข้าไปที่ห้องโถง ฉินหลันหันกลับมาพูดกับหลินหยุนว่า: “พวกเราอยู่ในโซนพักผ่อนรอคนผู้หนึ่งสักครู่ แล้วเดี๋ยวฉันจะพานายไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”
หลินหยุนไม่พูดไม่จา แล้วก็เดินตรงไปยังโซนพักผ่อน
สาวสวยแผนกต้อนรับคนหนึ่ง ถือน้ำชาสองแก้วเดินเข้ามา ยิ้มและพูดว่า: “ผู้ช่วยฉิน เชิญดื่มน้ำชา!”
“ขอบคุณ!” ฉินหลันตอบรับอย่างเกรงใจ จากนั้นก็พูดกับหลินหยุนว่า: “ดื่มน้ำชากันก่อน”
หลินหยุนก็ไม่เกรงใจ เหมือนกับว่าเป็นบ้านของตนเอง แล้วก็ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม
ผ่านไปห้านาที คนผู้หนึ่งที่มีสีหน้าขาวซีด มีรอยคล้ำใต้ดวงตา เมื่อเห็นก็ทราบว่าเป็นวัยรุ่นที่ดื่มเหล้าติดแอลกอฮอล์อย่างหนัก พร้อมกับพาลูกน้องสองคนเดินออกมาจากลิฟต์
วัยรุ่นผู้นั้นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถง จากนั้นมองเห็นฉินหลันที่อยู่ในโซนพักผ่อน ทันใดนั้นแววตาก็เป็นประกายร้อนผ่าวขึ้นแวบหนึ่ง แล้วก็เดินมุ่งตรงมายังฉินหลัน
“ขอโทษด้วยผู้ช่วยฉิน ที่ปล่อยให้คุณรอนาน” วัยรุ่นผู้นั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน และคำนับอย่างสุภาพต่อฉินหลัน
ฉินหลันยิ้มรับอย่างสุภาพ และพูดว่า: “ฉันก็เพิ่งถึงไม่นานนี้เอง คุณชายเหยียน พวกเราไปกันเถอะ!”
หลินหยุนมองไปที่วัยรุ่นผู้นี้ ชื่อของคนผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขาในทันที
เหยียนรุ่ยเหวิน ลูกชายของเหยียนต้าวหมิงกรรมการแห่งบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
ชาติที่แล้วตอนที่หลินหยุนกำลังวิเคราะห์ถึงการประสบปัญหาหนักของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปในงานประชุมสุดยอดจงโจวครั้งนั้น รายชื่อที่พบเห็นมากที่สุดก็คือพ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้
ซึ่งเหยียนต้าวหมิงก็คือคนแรกที่ทรยศหักหลัง จากนั้นก็เกิดโดมิโนเอฟเฟคขึ้นในบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
หลินหยุนจำได้อย่างชัดเจนว่า ชาติที่แล้วเหยียนรุ่ยเหวินแสดงท่าทีลิงโลดต่อหน้าเขามากที่สุด ออกมาให้ร้ายผู้อื่นแทนส้งอันหมิง และเพื่อประจบเอาใจส้งอันหมิง จึงมักจะแกล้งใส่ร้ายหลินหยุน ทำตัวเป็นปรปักษ์กับหลินหยุนอยู่ตลอด
นอกจากนี้ เหยียนรุ่ยเหวินยังแอบเหล่จ้องมองฉินหลันตาเป็นมัน อีกทั้งยังเคยคุกคามฉินหลันด้วย หากไม่ใช่เพราะส้งอันหมิงก็กำลังสนใจในตัวของฉินหลัน ไม่แน่ว่าเหยียนรุ่ยเหวินผู้นี้อาจจะใช้กลอุบายหลอกล่ออะไรก็เป็นไปได้
ที่ทำให้หลินหยุนคิดไม่ตกก็คือ นึกไม่ถึงว่าฉินหลันจะร่วมมือกับไอ้คนชั่วเหยียนรุ่ยเหวินผู้นี้แล้ว
เธอต้องการคิดจะทำอะไร?หรือว่าเธอไม่ทราบว่าเหยียนรุ่ยเหวินผู้นี้คือสุนัขบ้าตัวหนึ่งหรืออย่างไร?หากไม่ทันระวังตัวแม้ชั่วครู่ก็จะถูกงับกัดได้โดยง่าย ฉินหลันไม่กังวลความปลอดภัยของตนเองเลยเหรอไง?
ฉินหลันหันหลังแล้วเดินตรงออกไปด้านนอก เหยียนรุ่ยเหวินกลับยิ้มเล็กน้อย และพูดขึ้นว่า: “ผู้ช่วยฉิน อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ตอนนี้เวลายังเช้าอยู่ แม้ว่าพวกเราจะไปถึงกันแล้ว แต่การประชุมสุดยอดขนาดเล็กก็คงยังไม่เริ่มต้นขึ้น”
“หรือว่าพวกเราจะหาที่สงบเงียบสักแห่งหนึ่ง พูดคุยปรึกษากัน เพื่อวางแผนงานในการประชุม”
แววตาของฉินหลันแสดงความสะอิดสะเอียนขึ้นแวบหนึ่ง แต่ภายนอกยังคงยิ้มอย่างถ่อมตัวและพูดว่า: “คงไม่ต้องพูดคุยปรึกษาอะไรกันแล้ว เพียงแค่คุณพาฉันไปถึงที่นั่นก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นก็คงไม่ต้องรบกวนคุณชายเหยียนแล้ว”
หลินหยุนนึกขึ้นในใจได้อย่างฉับพลัน ที่จริงแล้วฉินหลันต้องการที่จะไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก
การประชุมสุดยอดขนาดเล็ก พูดกันตามตรงแล้วก็คือกลุ่มวัยรุ่นไฟแรงในมณฑลจงโจวและบางเมืองในบริเวณโดยรอบ ได้รวมตัวกันจัดขึ้น
การประชุมสุดยอดจงโจวนั้น ผู้ที่มาร่วมงานต่างก็เป็นผู้มีอิทธิพลอำนาจและพวกเศรษฐี พวกกลุ่มวัยรุ่นแม้ว่าจะโดดเด่นยอดเยี่ยม แต่เมื่อยืนร่วมในงานเปรียบเทียบกับผู้มีอิทธิพลอำนาจเหล่านี้แล้ว ก็เป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบเท่านั้น
ดังนั้น พวกวัยรุ่นไฟแรงยอดเยี่ยมทั้งหลายที่ไม่ยอมเป็นเพียงตัวประกอบ ก็เลยรวมตัวกันก่อนการประชุมสุดยอดจงโจวหนึ่งวัน เพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองสำหรับพวกวัยรุ่นกันเองขึ้น
จึงได้ตั้งชื่องานขึ้นว่าการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก
เมื่อเวลาผ่านไป การประชุมสุดยอดขนาดเล็กต่างก็เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในมณฑลจงโจว และรวมไปถึงมณฑลต่าง ๆ ในบริเวณโดยรอบ
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นจุดหมายปลายทางที่วัยรุ่นทุกคนใฝ่ฝันที่จะเข้าร่วม
ในชาติที่แล้ว หลินหยุนก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก แต่ทว่าการประชุมสุดยอดขนาดเล็กต่างถูกกำหนดควบคุมโดยส้งอันหมิง หลินหยุนเคยได้เข้าร่วมเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเป็นเพราะถูกใส่ร้ายจึงได้มีโอกาสในการเข้าร่วมการประชุมนี้
แต่การประชุมสุดยอดขนาดเล็กนี้มิอาจมองข้ามไปได้ ก็เพราะเป็นการรวมตัวกันของวัยรุ่นไฟแรงที่เก่งและมีความสามารถ กลายเป็นแรงพลังผลักดันที่ยิ่งใหญ่
ในการประชุมสุดยอดจงโจวนั้น จะประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจมากมาย ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงความอยู่รอดของบริษัท
แต่ ในการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก ก็มีความร่วมมือเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน ซึ่งในเมื่อวัยรุ่นเหล่านี้ขึ้นครอบครองรับช่วงต่อกิจการแล้ว ความร่วมมือเหล่านี้ก็จะประสบผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ถึงขนาดที่ มีคำพูดเล่าลือกันว่า การประชุมสุดยอดจงโจวนั้นเป็นตัวตัดสินในปัจจุบัน ส่วนการประชุมสุดยอดขนาดเล็กนั้นเป็นตัวตัดสินในอนาคต
แต่ หลินหยุนไม่เข้าใจว่า ทำไมฉินหลันถึงต้องปกปิดคุณแม่ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดขนาดเล็กนี้ด้วยล่ะ?
เหยียนรุ่ยเหวินหัวเราะเหอะๆและพูดขึ้นว่า: “ผู้ช่วยฉิน คุณเกรงกลัวฉันอยู่หรือเปล่า?ผู้ช่วยฉินต้องการให้ฉันช่วยเหลือ แต่กลับไม่แสดงออกถึงความจริงใจได้อย่างไรกันล่ะ?”
ขณะที่พูด เหยียนรุ่ยเหวินก็นั่งลงบนโซฟา ลูกน้องสองคนยืนประกบอยู่ด้านข้าง หันมองไปที่หลินหยุนอย่างเย็นชาบ้างเป็นบางครั้งคราว
ฉินหลันมีหน้าตาบูดบึ้ง และมองไปที่เหยียนรุ่ยเหวินอย่างจริงจัง ถามขึ้นว่า: “คุณต้องการความจริงใจอะไรล่ะ?”
เหยียนรุ่ยเหวินชี้ไปยังที่นั่งข้างตัวของเขา หัวเราะเหอะๆและพูดขึ้นว่า: “ผู้ช่วยฉินเชิญนั่ง มีที่ไหนที่ยืนพูดคุยปรึกษากันด้วยเล่า?”
ฉินหลันสูดหายใจลึก สูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ความโกรธเคืองในจิตใจลง แต่ก็ไม่ได้นั่งลงไป
เหยียนรุ่ยเหวินแสดงอาการที่ว่าหากคุณไม่นั่งลงฉันก็ไม่ยอมที่จะลุกเดินไป และมองไปที่ฉินหลั่งด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง: “ตอนนี้เวลาแปดนาฬิกาสิบนาที ซึ่งยังเหลือเวลาอีกห้าสิบนาทีจะเริ่มต้นการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก”
ฉินหลันจำต้องยินยอม อดทนต่อความอับอายและนั่งลงไปที่ข้างกายของเหยียนรุ่ยเหวิน
“แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว?ผู้ช่วยฉินเป็นหญิงสาวที่สวยงดงามขนาดนี้ ทำไมถึงชอบที่จะหน้าบูดบึ้งด้วยล่ะ?ไหนลองยิ้มให้พี่ดูหน่อยสิ!” ขณะที่เหยียนรุ่ยเหวินพูดนั้น ก็ได้ยื่นมือออกไปเพื่อที่จะสัมผัสคางที่เนียนใสของฉินหลัน
ฉินหลันกำลังจะหลบหลีก แต่ หลินหยุนรวดเร็วกว่าเธอ โดยยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับที่ข้อมือของ เหยียนรุ่ยเหวินอย่างแน่น
“ความจริงใจเท่านี้เพียงพอแล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของหลินหยุนเฉยชา แต่ว่า กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นอย่างที่สุด
“โอ้ย!เจ็บ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้!” เหยียนรุ่ยเหวินอุทานขึ้น เขารู้สึกว่ามือของหลินหยุนเหมือนกับคีมเหล็ก ที่จะคีบแขนของเขาจนขาดด้วย
หลินหยุนไม่ยอมปล่อยมือ แล้วมองไปที่เหยียนรุ่ยเหวินอย่างเฉยชา
ฉินหลันรีบตะโกนขึ้น: “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
หลินหยุนจึงปล่อยมือลง กวาดสายตามองไปที่เหยียนรุ่ยเหวิน สายตานั้นเหมือนกับว่ากำลังมองไปยังร่างของคนที่ตายแล้ว
เหยียนรุ่ยเหวินตกใจจนสีหน้าซีดเซียวขึ้นโดยพลัน หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมา และรีบหดมือเข้ากลับไป
จากนั้น เหยียนรุ่ยเหวินที่เพิ่งได้สติ ก็ได้จ้องมองไปที่หลินหยุนด้วยท่าทางโกรธแค้น: “ไอ้หนุ่มน้อย แกเป็นใครกัน?”