น่าเสียดาย เงินพวกนี้ไม่เหลือเลยในหลายปีมานี้ ปกติหลวงจีนหงเหยียนจะเก็บไว้ซ่อมแซมวัด ที่เหลือถ้าไม่ให้หมู่บ้านซ่อมทางก็บริจาค ทำจนวัดผาแดงไม่เคยได้พัฒนาใหญ่โตเลย
ดังนั้นอู้หมิงจึงไม่เข้าใจวิธีการของหลวงจีนหงเหยียนมาก! ในมุมมองเขา มีเงินก็ควรจะขยายวัด กระทั่งสร้างให้สูงยิ่งกว่า ใหญ่กว่า ขึ้นไปบนเขาที่ทิวทัศน์ดีกว่า! มีเงินพวกนี้เขามั่นใจว่าในช่วงหลายปีสั้นๆ จะพัฒนาวัดผาแดงให้เป็นวัดใหญ่! สิบปีไล่ตามวัดเมฆาขาวทัน!
อู้หมิงไม่เห็นด้วยกับการที่หลวงจีนหงเหยียนลำบากซ่อมถนน ในมุมมองเขา ความรุ่งเรืองของวัดกับความรุ่งเรืองของศาสนาต่างกันอย่างสิ้นเชิง! เขาแค่อยากมีชื่อเสียงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สืบต่อไป เป็นไต้ซือที่ปุถุชนยอมรับเหมือนกับไต้ซือไป๋อวิ๋น!
หลวงจีนหงเหยียนคิดว่าพระธรรมถึง ก็จะถึงเองโดยธรรมชาติ
แต่อู้หมิงคิดว่าทุกอย่างเป็นเงิน! ขอแค่มีเงินวัดจะใหญ่พอ ติดโฆษณา พระธรรมก็ไม่ใช่ปัญหา! ส่วนตัวเขาจะห่อตัวเองเป็นไต้ซือที่มีชื่อเสียงถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!
ฉะนั้นแม้อู้หมิงจะเคารพหลวงจีนหงเหยียน แต่กลับไม่พอใจอยู่ข้างในมาก ขณะเดียวกันก็ยังเป็นคนหยิ่งยโส ตอนนี้ถูกหลวงจีนหงเหยียนตำหนิต่อหน้าทุกคนจึงย่อมไม่พอใจ ทว่าเขาไม่กล้าทำอะไรหลวงจีนหงเหยียน ได้แต่ย้ายเพลิงโทสะไปยังฟางเจิ้งแห่งวัดเอกดรรชนีที่ทำให้เขาขายหน้า…
‘เณร รอก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วแกได้เห็นดีแน่’ อู้หมิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แต่กลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งราวกับกำลังตั้งใจฟัง…
“ติ๊ง! ประกาศภารกิจที่สี่ คือมีชื่อเสียงเล็กน้อย ชื่อเสียงดังห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในระดับท้องถิ่น แถมยังมั่นคง! ตอนนี้มีชื่อเสียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อภารกิจสำเร็จจะสุ่มรางวัลหนึ่งชิ้น”
“เอ่อ ระบบ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้วเหรอ? ทำไมถึงมีภารกิจแบบนี้อีก?” ถ้าฟางเจิ้งจำไม่ผิด การประลองศิลปะพู่กันจีนทำให้เขามีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้วนี่
“ครั้งก่อนแค่ชั่วคราว แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ วัดเอกดรรชนีถูกลืมไปแล้ว ถ้านายไม่คิดหาวิธี ชื่อเสียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่าไม่ยั่งยืนหรอกนะ ชื่อเสียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แค่เริ่มต้น ความยั่งยืนต่างหากที่ยากที่สุด สู้ๆ ฉันเชียร์นายอยู่”
“เหอะๆ นายเชียร์ฉัน แต่ฉันไม่อยากจะเชียร์ตัวเองเลย หรือว่าจะหาคนมาประลองดี? ช่างเถอะ ยุ่งยากไป! อยากทำอะไรก็ทำดีกว่า ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ฟางเจิ้งส่ายหน้า ชี้เกียจจะคิดแล้ว
พูดจบก็เก็บข้าวของ เล่นกับหมาป่าแล้วกลับเข้าไปในวัด อาบน้ำ แต่กลับมีคนนอนไม่หลับ นั่นคือเฉินจิน!
“ฮ่าๆ…”
“ทำไมร้อนแบบนี้!”
“ฉันก็ร้อน! แต่สบายนะ รู้สึกมีแรง แค่นอนไม่หลับ!”
“ข้อต่อกระดูกฉันร้อน”
“กระดูกสันหลังฉันร้อน…”
“ฉันร้อนตรงหน้าอก…”
“ฉันร้อนปอด…”
……………
พอได้ยินเสียงข้างนอก เฉินจินพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ สุดท้ายลุกขึ้นด่าไป “ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมพวกแกยังไม่นอน? กินโจ๊กล่าปาแค่ชามสองชามอิ่มรึไง?”
“เฉินจิน ถ้านายนอนไม่หลับก็ช่วยออกมาคุยกันหน่อย มัวนั่งอยู่ในนั้นทำไม? ฉันจะบอกให้นะ โจ๊กล่าปานั้น จึ๊ๆ…หอมจริงๆ!” เสียงซ่งเอ้อโก่วดังแว่วมา
“อย่าไร้สาระ แค่โจ๊กล่าปาจะดีแค่ไหน?” เฉินจินกล่าว
“เฮ้ นายยังไม่เชื่ออีกเหรอ? ไม่เชื่อก็ถามทุกคนดู คนที่เคยกินน่ะไม่มีใครบอกว่าไม่อร่อย!” ซ่งเอ้อโก่วตอบ
“จริงๆ! เฉินจิน ซ่งเอ้อโก่วไม่ได้หลอกนายนะ! รสชาตินั่นสุดยอดมาก! ฉันโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยกินโจ๊กที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน! ไม่ใช่สิ อาหารเลิศรสอะไรพวกนั้นเทียบไม่ได้กับโจ๊กชามนี้เลย” มีคนพูดเสริม
เฉินจินโต้ตอบ “ไร้สาระ นายเคยกินอาหารเลิศรสกับเขาด้วยเหรอ? แค่ปลาในแม่น้ำก็ใช้ฉลองปีใหม่นายได้แล้ว! เจ้าฟางเจิ้งยังมีปัญหาเรื่องปากท้องอยู่เลย จะแจกจ่ายโจ๊กล่าปา? อย่าไร้สาระ!”
“นี่! นายยังไม่เชื่ออีก? ไม่เชื่อก็ช่าง! พวกเรากินกันเอร็ดอร่อยก็พอแล้ว นายนอนบนเตียงคิดถึงปลาของนายไปเถอะ!” อีกฝ่ายเอ่ย
พูดจบ ด้วยความที่อีกฝ่ายตะโกนกับเฉินจิน ข้างนอกเลยส่งไปปากต่อปาก คุยกันว่าทำไมร้อนแบบนี้? เพราะอะไร?
เฉินจินพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ทรมานจนหลังเที่ยงคืนถึงสะลึมสะลือหลับไป
วันที่สอง ฟ้าสาง
“นี่…ตาแก่! ตาแก่! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมฉันรู้สึกว่าตื่นนอนมาแล้วตัวเบาสบายแบบนี้ล่ะ?” หลู่เสียนคนรักของถานจวี่กั๋วตื่นนอนมาแล้วก็กระโดดไปมากับพื้น
ถานจวี่กั๋วที่ยังไม่ตื่นนอนลืมตาขึ้น กวาดสายตามองหลู่เสียน ก่อนหัวเราะ “เอาเถอะ เช้าขนาดนี้เป็นลมบ้าหมูรึไง แถมยังตัวเบาอีก…หืม? เฮ้ย!”
ถานจวี่กั๋วลืมตาขึ้น รู้สึกแปลกๆ ปกติตื่นนอนเวลานี้แล้วจะสมองเบลอๆ เล็กน้อย แต่วันนี้ชัดเจนเป็นพิเศษ! ลุกขึ้นนั่งแกว่งแขน เบาสบาย! จึงเอ่ยด้วยความตกใจระคนดีใจ “จริงด้วย! เฮ้ย สบาย! เหมือนกับอะไหล่ขึ้นสนิมได้ชโลมน้ำมันหล่อลื่นเลย สบาย!”
“ตาแก่ คุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนี่? ทำไมจู่ๆ ถึงดีแบบนี้?” หลู่เสียนเป็นกังวล
ถานจวี่กั๋วหรี่ตาลง “สองวันนี้ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ใช้ชีวิตปกติตามเดิม มีอย่างเดียวคือขึ้นเขา กินโจ๊กล่าปา สรงน้ำพระ ถ้าบอกว่ามีปัญหาก็คงอยู่ที่ตรงนี้ล่ะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง? แค่โจ๊กชามเดียวกับสรงน้ำพระเป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ? ปีก่อนๆ พวกเราหลายคนก็ไปกินโจ๊กที่วัดผาแดงแล้วก็สรงน้ำพระด้วยนี่” หลู่เสียนกล่าว
ถานจวี่กั๋วส่ายหน้า “ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เอาเถอะ ร่างกายคุณดีแล้ว ไปทำกับข้าวเถอะ ผมจะออกไปเดินข้างนอก ดูว่าทุกคนเป็นยังไงบ้าง เอ่อ เรื่องตัวเบาสบายนี่อย่าไปพูดมั่วซั่วล่ะ ให้รอข่าวจากผมก่อน”
ถานจวี่กั๋วรีบสวมเสื้อผ้าพร้อมกับกำชับหลู่เสียน
หลู่เสียนยิ้ม “เอาเถอะ อย่ามัวพูดมาก จะฟังคุณทุกอย่างเลยพอใจไหม”
ถานจวี่กั๋วหัวเราะเหอะๆ แล้วออกจากบ้านไป
อีกห้อง
“ที่รัก ผะ…ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ” ถานหมิงพลันดึงตัวภรรยา
“อะไร? ฝัน? ฝันว่ากินโจ๊กล่าปาอีก?” ภรรยาถานหมิงพลิกตัว ถามขึ้นอย่างรำคาญ
ถานหมิงตอบ “ไม่ใช่ เอ่อ…ริดสีดวงทวารผมหายไปแล้ว”
“อะไรนะ? เล่นอะไร?” ภรรยาถานหมิงลุกพรวดขึ้นมา จากนั้นด่ายิ้มๆ “คุณนอนจนสับสนรึเปล่า? พูดถึงความฝันเหรอ?” สิ้นเสียง ภรรยาถานหมิงหน้าเปลี่ยนสี “ของฉันก็เหมือนหายไปเหมือนกัน…”
บ้านหยางผิง
“ที่รัก กลากเกลื้อนที่เท้าผมเหมือนจะหายไปแล้วล่ะ…”
“เป็นไปได้ยังไง? หืม? จริงๆ ด้วย…”
……
เหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก ตอนนี้ทุกคนไม่นอนกันแล้ว พากันตื่นขึ้น
ไก่ตัวผู้ข้างนอกยังไม่ขัน แต่ชาวบ้านพวกนี้รบกวนจนคนอื่นตื่น จึงพากันไม่พอใจ ตะคอกต่อว่า…ตามด้วยเสียงหมาเห่า หมาก็เห่าจนเด็กร้องไห้ เวลานี้หมู่บ้านเล็กๆ เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง
…………