“ไอ้เวรพวกนี้เป็นบ้าอะไรกัน? จะให้คนอื่นเขานอนกันไหมเนี่ย?!” เฉินจินเปิดผ้าห่มออก ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาแดงก่ำพลางร้องโวยวาย! กว่าจะได้นอนไม่ง่าย เดิมทีคิดจะนอนต่ออีกสักพัก แต่ไก่บินหมาเห่า เด็กร้องไห้ ผู้ใหญ่หัวเราะ แล้วจะให้นอนยังไง?
ข้างกายเฉินจินว่างเปล่า! มองไปภรรยาหายไปนานแล้ว! ได้ยินเสียงแว่วๆ มาจากข้างนอกว่าภรรยาเขาคุยกับคนอื่น
“เช้าขนาดนี้เธอจะออกไปทำไมกันนะ?” เฉินจินพึมพำด้วยความไม่พอใจ
เฉินจินได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดังมาจากข้างนอก เลยอดใจอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว ใส่รองเท้าออกไปดู
ลานของหมู่บ้านทางภาคเหนือกว้างมาก ปกติกำแพงไม่สูงจะอยู่ราวๆ เมตรกว่า ดังนั้นเฉินจินเลยยืนอยู่ในลานก็เห็นสถานการณ์บนถนนข้างนอก เห็นกลุ่มคนยิ้มแย้ม เหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่
“เฉินจิน เมื่อวานนายไม่ขึ้นเขา อดเลย! ฮ่าๆ…” ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะเสียงดัง
“ก็แค่ไม่ได้กินโจ๊กล่าปาคำสองคำเองไม่ใช่เรอะ? ต่อให้อร่อยแล้วยังไง? หอมปากแต่เหม็นทางก้น ไม่มีอะไรวิเศษวิโสนักหรอก!” ชั่วขณะที่เฉินจินกล่าวก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย คนหนึ่งบอกโจ๊กล่าปาบนเขาอร่อย อีกคนก็บอกอย่างนั้น ในใจเขาก็ไม่ได้แน่วแน่ขนาดนั้น ทว่าตอนที่ทุกคนบอกว่าโจ๊กล่าปาบนเขาอร่อย เขาเชื่อสนิทแล้ว แค่ปากแข็งเท่านั้น ไม่ยอมละศักดิ์ศรียอมรับ
“เฮ้อ มันไม่ใช่แค่หอมปาก เหม็นก้นอย่างที่ว่าจริงๆ หรอกนะ ฉันบอกให้ โรคไขข้ออักเสบเรื้อรังของฉันหายดีแล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นเตะขาโชว์ด้วยความตื่นเต้น
“ไร้สาระ…กินโจ๊กรักษาโรคได้ด้วยรึไง?” เฉินจินไม่เชื่อ เขาออกจากลานมาก็เห็นพวกถานหย่งมาเข้ามาใกล้
ถานหย่งถาม “ทุกคนรู้สึกมีอะไรพิเศษไหม?”
“ใช่ โรคไขข้ออักเสบเรื้อรังฉันหายแล้ว!”
“โรคข้อไหล่ติดของฉันไม่ปวดแล้ว!”
“ฉันรู้สึกโล่งปอด ไม่ไอแล้ว”
“ไม่ปวดเอวแล้ว ไม่เมื่อยขาด้วย มีแรงอุ้มหลานแล้วล่ะ” คุณยายผมขาวทั้งศีรษะหัวเราะเสียงดัง
ทุกคนต่างหัวเราะ ตอนนี้ซ่งเอ้อโก่วมาแล้ว ตะโกนมาแต่ไกล “นี่ ฉันยังคิดว่ามีแค่ฉันคนเดียวที่ดีขึ้น ที่แท้ทุกคนก็ดีขึ้นเหมือนกัน จึ๊ๆ…มหัศจรรย์จริงๆ โจ๊กล่าปาอร่อยด้วย ฮ่าๆ…ถานหย่ง นายล่ะ? เป็นไงบ้าง?”
ถานหย่งหน้าแดง “เอ่อ ก็ดีขึ้นเหมือนกัน แต่พวกนายอย่าถามเลย”
“ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรนั่นเหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วใช้สายตาที่ทุกคนเข้าใจมองถานหย่ง
ถานหย่งโกรธขึ้นมาทันที “อะไรๆๆ? ริดสีดวงทวารฉันหายแล้ว พอใจรึยัง? จริงๆ นะ ใครก็เป็นริดสีดวงทวารกันทั้งนั้น อย่าบอกฉันนะว่าพวกนายไม่คิดอย่างนั้น?”
“แหะๆ…ก็จริง ของฉันก็หายแล้ว…” ซ่งเอ้อโก่วหัวเราะแหะๆ
คนอื่นก็หัวเราะตาม เห็นได้ชัดว่าทุกคนหายดีแล้ว
เห็นดังนั้น เฉินจินพลันรู้สึกว่าเขาเหมือนพลาดอะไรไปจริงๆ…
ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วกับหวังโอ้วกุ้ยมาแล้ว
เฉินจินกล่าวขึ้นในทันใด “ผู้ใหญ่บ้าน เสมียนมาก็ดี คนพวกนี้แกล้งผมแต่เช้าเลย! แถมยังบอกโจ๊กรักษาโรคอีก แต่ละคนดูก็รู้ว่าวางแผนกันมาแกล้งผม! ผู้ใหญ่บ้านต้องตัดสินให้ผมนะ”
หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะดังลั่น “เฉินจิน เรื่องนี้น่ะพูดยากจริงๆ อาจจะเป็นผลจากโจ๊กล่าปาหรือไม่ใช่ก็ได้ ไม่ว่ายังไงโรคต่างๆ มากมายของทุกคนก็หายดีจริงๆ ใครป่วยก็หาย ไม่ป่วยร่างกายแข็งแรงขึ้น นายดูอาถานจะเดินเร็วกว่าฉันแล้ว”
ถานจวี่กั๋วยิ้ม “เฉินจิน บอกแกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าให้ตามพวกเราขึ้นเขา แต่ก็ไม่ฟัง เฮ้อ แกพลาดแล้วล่ะ…”
เฉินจินไม่เชื่อคำพูดคนอื่น แต่เชื่อคำพูดถานจวี่กั๋ว ถานจวี่กั๋วไม่เคยโกหกสักครั้งในชีวิต! คิดได้ดังนั้นเฉินจินก็อึ้งไป โจ๊กล่าปาชามเดียวมีผลขนาดนี้เลย? นะ…นี่เป็นไปได้หรือ?
ยังไม่ทันที่เฉินจินจะตอบกลับ ซูหงภรรยาเฉินจินร้อนใจแล้ว ตบเข้าที่หัวเฉินจินไปทีหนึ่ง “คุณนะคุณ! เพราะคุณมันไร้เหตุผล ให้คุณขึ้นเขาก็ไม่ไป พอฉันจะไปก็ไม่ให้ไป เห็นแก่ตัว…ไม่คุยด้วยแล้ว!” พูดจบซูหงก็เดินไป
เฉินจินรีบถาม “คุณจะไปไหน?”
“ขึ้นเขา! ดูว่าฟางเจิ้งยังมีโจ๊กล่าปาเหลือไหม ไม่ได้การ ฉันต้องกินสักคำ! ไม่อย่างนั้นไม่ยอมแน่!” ซูหงกล่าวพลางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เฉินจินเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงตะโกนเสียงดัง “กลับมาเดี๋ยวนี้! จะไปทำไม เมื่อวานไม่ไป วันนี้ยังมีหน้าไปอีกเหรอ?”
“เฉินจิน จะตายแล้วยังรักหน้าตาอีก แต่วันนี้ขึ้นเขาไปก็คงหมดหวังจริงๆ ฟางเจิ้งบอกแล้วว่าจะแจกโจ๊กล่าปาแค่วันเดียว วันที่สองไม่แจกแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้เรียนพระธรรมมาเยอะเท่าไร แต่เรียนนิสัยหัวแข็งของหลวงจีนหนึ่งนิ้วมาแปดส่วน บอกว่าไม่ให้ก็ไม่ให้ กฎเป็นกฎ พวกเธอขึ้นเขาไปก็ไม่มีประโยชน์” หวังโอ้วกุ้ยบอก
เฉินจินยิ้มแห้ง “ผมรู้ แต่ก็ต้องให้ซูหงกลับมานี่ครับ?”
พูดจบเฉินจินก็ตามไป
ตอนนี้เองฟางเจิ้งกำลังทำความสะอาดวัด จากนั้นเดินเตร่บนเขา เขาก็ควรจะตรึกตรองปัญหาของวัดได้แล้ว แม้วัดเอกดรรชนีจะสูงชัน แต่พื้นที่บนยอดเขาไม่น้อย ใหญ่แค่ไหนฟางเจิ้งไม่ได้วัด แต่ที่นี่ก็ใหญ่จริงๆ! ครึ่งหน้าวัดเอกดรรชนีเป็นพื้นราบแผ่ออก ที่นี่มีแค่หญ้ารกครึ้ม ต้นไม้เล็กๆ กับวัด
ข้างหลังเป็นยอดเขานูนขึ้นเหมือนกับหนึ่งนิ้วคน ตรงนั้นเป็นต้นไม่สูงป่ารก ต้นสนตั้งตระหง่านราวกับกระบอกปืนยาว ตอนนี้หิมะตกจึงเป็นผืนขาว ทว่ากลางป่ากลับเป็นสีดำ ตรงนั้นนอกจากฟางเจิ้งใช้ตัดฟืนแล้ว เวลาปกติจะไม่ไป
ฟางเจิ้งมองพื้นที่นี้พลางลูบคาง “ไม่รู้ว่าวัดเมฆาขาวใหญ่แค่ไหน สร้างวัดใหญ่บนยอดเขานี่ไม่น่ามีปัญหา…อืม ขาดแค่เงิน แค่มีเงิน ฉันอดข้าวได้ ทุกอย่างไม่ใช่ปัญหา เรามีเงินไม่น้อยแต่ก็ยังไม่พอจ่าย…”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า พาหมาป่าเดียวดายกับกระรอกเดินวนรอบหนึ่งแล้วกลับวัด
แต่เห็นมีคนหนึ่งรออยู่ตรงประตู พอเดินเข้าไปแล้ว ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตพุทธ โยมสองท่าน ทำไมถึงนั่งอยู่หน้าประตู? จะจุดธูปไหว้พระก็เชิญที่อุโบสถ…”
“ฟางเจิ้งแกกลับมาแล้ว อาถามหน่อยว่ายังมีโจ๊กอีกไหม?” ซูหงเห็นฟางเจิ้งในแวบแรกก็คึกคักขึ้นมา ไม่สนเฉินจินที่ฉุดดึง แต่รีบถาม
ฟางเจิ้งงุนงง มองซูหง ก่อนมองเฉินจินที่หน้าแดง ก้มหน้าไม่ออกเสียง จากนั้นยิ้มเจื่อนๆ “โยมทั้งสองท่าน โจ๊กล่าปาของอาตมาหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ไม่เหลือสักนิดเลยเหรอ?” ซูหงไม่ยอม
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ในใจ มี? เขาก็อยากให้มีเหมือนกัน แต่ปัญหาคือระบบไม่เหลือข้าวไว้ให้เขาสักเม็ด! ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตอบไปว่า “ไม่มีจริงๆ ถ้าโยมทั้งสองอยากกินก็ต้องรอปีหน้าเท่านั้น ทำไมเมื่อวานโยมสองคนไม่มาล่ะ?”
ซูหงจะพูดบางอย่าง เฉินจินหายใจออกพร้อมยืนขึ้น ดึงซูหงไว้ “กลับ กลับ! เขาไม่ให้ คุณจะหน้าด้านขอทำไม? น่าขายหน้า! กลับ!”
…………