เฉินจินดึงซูหงเดินไปข้างนอก ซูหงได้แต่ยิ้มอย่างจำใจ พูดกับฟางเจิ้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ปีหน้าอาจะมาอีก! ตอนนั้นเก็บไว้ให้อาชามหนึ่งด้วย!”
ฟางเจิ้งประนมมือ “โยมวางใจ”
เฉินจินดึงซูหงเดินไปไกล แต่ฟางเจิ้งกลับมีสีหน้าพิลึก เขาไปหาเรื่องใครรึเปล่า? ทำไมถึงรู้สึกว่าสายตาที่เฉินจินมองเขาถึงเหมือนมีความแค้น? ทว่าฟางเจิ้งขี้เกียจจะสนใจ เลยกลับไปเตรียมอาหารเย็น
ส่วนเฉินจินกับซูหง ฟางเจิ้งไม่ค่อยใกล้ชิดกับพวกเขามาก รู้แค่ว่าเฉินจินมีลูกเยอะ จะออกข้างนอกทุกวัน ซูหงก็ตามออกไปบ่อยๆ สุดท้ายถึงกลับมาอยู่ที่หมู่บ้าน…
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดต่อเรื่องที่สองคนนี้ไม่ได้กินโจ๊กล่าปาเลย อีกอย่างรู้สึกผิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เขาไม่มีจริงๆ!
พอกลับหมู่บ้าน เฉินจินพบว่าเดินไปที่ไหนก็จะได้ยินทุกคนคุยกันเรื่องโจ๊กล่าปา ผู้ใหญ่ เด็กต่างมีสีหน้าตื่นเต้น ทว่าในใจเขากลับย่ำแย่ยิ่ง! อิจฉาริษยาคละปนกันเป็นความเกลียดชัง!
‘ไอ้ห่าฟางเจิ้ง นี่มันเกินไปแล้ว! แย่งคนของฉันแล้วยังทำให้ฉันขายหน้าอีก!’ เฉินจินกลับไปด้วยความโมโห ไม่ออกจากบ้านอีก ถ้าไม่เห็นก็จะไม่หงุดหงิด
เข้าสู่กลางคืน ฟ้ามืดลง หิมะตกหนักอีกรอบ…
ครั้งนี้หิมะตกต่อเนื่องกันหนึ่งสัปดาห์ สั่งสมจนหนาหนึ่งเมตร ถือว่าเป็นหิมะกองใหญ่ที่พบเห็นได้น้อยในช่วงหลายสิบปีมานี้
หลายวันมานี้ฟางเจิ้งไม่ต้องกวาดฝุ่นแล้ว แต่ลำบากกว่านั้น!
หิมะทางภาคเหนือสะอาดมาก ไม่มีฝุ่นและใบไม้ ทั้งยังไม่มีอุจจาระนก ที่ต้องจัดการมีอย่างเดียวคือหิมะ! หิมะที่กวาดยังไงก็ไม่หมด!
หิมะตก ลมพัดพาหิมะ ในวัดมีกำแพง หิมะจึงตกกองขวางทางเดินง่ายมาก ถ้าจัดการไม่ทันเวลา หากคิดจะจัดการจะยากแล้ว…
ฟางเจิ้งใช้ทุกวิถีทางจัดการกับกองหิมะ ทั้งกวาด ทั้งพลั่วเหล็กโกย หมาป่าเดียวดายก็ใช้แผ่นไม้ผลักหิมะ สรุปทุกๆ หนึ่งถึงสองชั่วโมงจะออกมาทำความสะอาดหนึ่งครั้ง ต่อให้เป็นกระรอกก็ไม่ว่างงาน มันช่วยจัดการกับกองหิมะบนหลังคาเป็นบางครั้ง อย่างเช่นตอนที่หมาป่าเดียวดายเดินผ่าน มันจะผลักกองหิมะตกลงไปโดนหมาป่าบางตัว…
เพราะหิมะตกหนัก หลายวันมานี้เลยไม่มีคนขึ้นเขามาไหว้พระ วูบเดียวผ่านไปอีกหลายวัน…
ฟางเจิ้งยืนอยู่บนยอดเขา มองสายลมรุนแรงส่งเสียงมาแต่ไกล เห็นหมู่ภูเขารางๆ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มีสีหน้าเจ็บปวดน่าสงสาร ทั้งยังมีความลึกซึ้งราวกับตระหนักในสัจธรรมว่ามันว่างเปล่านัก…
แชะ!
สีหน้าเมื่อครู่หายไป ก่อนเอามือถือกลับมาดู ยิ้ม “รูปนี้ไม่เลว หล่อมาก!”
ไม่ผิด เจ้านี่ไม่ได้กำลังตระหนักรู้ฟ้าดิน แต่กำลังถ่ายรูปตัวเอง…
ฟางเจิ้งแชร์ภาพที่ถ่ายมาลงในหน้าโซเชี่ยวตัวเอง หลังจากครั้งก่อนที่ฟางอวิ๋นจิ้งวานให้เขาถ่ายภาพ เขาก็ติดนิสัยว่างๆ ชอบมาถ่ายภาพสวยๆ สักสองรูป
ขณะที่ฟางเจิ้งเตรียมจะกลับวัดนั้น พลันมีเสียงประทัดแว่วมาจากตีนเขา ตามด้วยเสียงประทัดคู่ดังต่อเนื่อง!
ฟางเจิ้งมองไปใต้เขา ตรงนี้เห็นหมู่บ้านเอกดรรชนีพอดี วันนี้หิมะไม่ตก แค่ลมแรงหน่อย เลยเห็นคร่าวๆ
เห็นว่าเมื่อเสียงประทัดดังขึ้นตีนเขาก็เริ่มมีคนขยับ ควันหุงอาหารลอยโชย ทำให้ภูเขาใหญ่อันเงียบเชียบมีกลิ่นอายคนกับความอบอุ่นเล็กน้อย ทว่าพอหันไปมองวัดอันเงียบเหงาของตัวเอง เทียบกันชัดๆ แล้ว ฟางเจิ้งได้แต่ส่ายหน้าอย่างจำใจ ทอดถอนใจ ไม่พูดอะไร แต่ยกมือถือขึ้นมา ปลดล๊อคหน้าจอ ทว่า…ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปแล้ว!
ตุ๊กตานำโชคสีแดงตัวใหญ่ถือประทัด ใบหน้ารอยยิ้มราวกับดอกไม้ ด้านบนยังมีตัวอักษรใหญ่แถวหนึ่ง
‘ถึงวันปีใหม่เล็ก[1]แล้ว ปีใหม่ยังอีกไกลไหม?’
ฟางเจิ้งอึ้งงัน “ปีใหม่เล็กแล้ว? มิน่าทุกคนถึงจุดประทัดกันเร็วขนาดนี้…ปีใหม่เหรอ…”
หมู่บ้านทางภาคตะวันออกและเหนือ พอถึงปีใหม่เล็กจะจุดประทัดคู่ก่อนกินข้าว หนึ่งเพื่อแสดงความยินดี สองส่งเทพ ส่งเทพเจ้าแห่งเตาขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันจะเตรียมพร้อมสำหรับปีใหม่ สถานที่ต่างกันวิธีการจะต่างกันด้วย…สรุป ในมุมมองฟางเจิ้ง แค่คึกคัก ปีติยินดีก็พอแล้ว!
ขากลับในใจฟางเจิ้งรู้สึกไม่ค่อยดี ในความคิดมักจะมีภาพตอนปีใหม่เมื่อปีก่อน ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วยังอยู่ แม้จะมีคนเพิ่มมาคนเดียว แต่วัดไม่ใหญ่ ไม่เงียบเหงา ตอนนี้เหลือเขาคนเดียว ความอบอุ่นพลันลดน้อยลงมาก ลมก็แรง อากาศก็หนาว…
พอกลับมาถึงประตูวัดเห็นหมาป่าเดียวดายดันหิมะทั้งพื้นมั่วไปหมด รวมเป็นหิมะกองใหญ่ตรงหน้าประตู! กระรอกกลิ้งบนกองหิมะ เล่นอย่างสนุกสนาน…
เห็นเจ้าตัวตลกสองตัวนี้แล้ว ความเหงาในใจฟางเจิ้งถึงละลายไปไม่น้อย ผ่อนหายใจยาวโล่งอก คิดในใจว่า ‘ฉันก็ไม่ถือว่าโดดเดี่ยวมากเสียทีเดียว อย่างน้อยๆ ปีนี้ก็ยังมีเจ้าสองตัวนี้ฉลองปีใหม่ด้วยกัน นับตามจำนวนคนแล้ว ปีนี้ยังมีเพิ่มมาอีกคน เหอะๆ…’
ฟางเจิ้งปลอบใจตัวเอง ก่อนจะปั้นก้อนหิมะพุ่งเข้าไปตบหัวหมาป่าเดียวดายดังแปะ พร้อมกันนั้นยังยัดกระรอกเข้าไปในกองหิมะ
จากนั้นหมาป่าเดียวเห่าพลางพุ่งเข้ามา กระโจนฟางเจิ้งล้มลงกับพื้น กระรอกขี่บนหัวเขา เอาหิมะยัดใส่จีวร ทำเอาเขาหนาวจนร้อง…พันกันจนเป็นก้อน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ความอัดอั้นในใจฟางเจิ้งหายไปจนหมด
ปีใหม่เล็กในจีนมีความหมายต่างกัน อย่างน้อยก็มีเรื่องที่ต้องทำเยอะ
เขียนคำขวัญ แนบคำอวยพร เมื่อวันนี้เริ่มขึ้น จนกระทั่งถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดทางจันทรคติ จะเป็นวันที่มีรสชาติของปีใหม่! ขึ้นเขาลงเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความยินดี
ฟางเจิ้งได้รับห่อของขวัญชิ้นใหญ่จากระบบอีกครั้ง!
“ติ๊ง! ร่างสถิต ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ระบบจะมอบของตกแต่งปีใหม่ให้เล็กน้อย จะรับหรือไม่?”
“เฮ้ย วันปีใหม่เล็กยังมีของขวัญด้วยเหรอ? ก็ดี เหอะๆ…พุทธศาสนาก็ฉลองวันปีใหม่เล็กกันด้วยเหรอ?” ฟางเจิ้งพยักหน้ารับทันที แถมยังถามด้วยความแปลกใจ
“ฉลองปีใหม่ใหญ่ แต่พุทธศาสนาอยู่ที่ไหนก็ควรปฏิบัติตามธรรมเนียมของที่นั่น ต้องพัฒนาไปตามยุคสมัยไม่ใช่หรือ” ระบบตอบอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งหัวเราะ เขารู้สึกว่ายิ่งไม่เข้าใจระบบมากขึ้นเรื่อยๆ มีแสงสีเหลืองสว่างวาบตรงหน้า ปรากฎกองเพิ่มมาเล็กน้อย มีพู่กันหมึก และยังมีกระดาษสีแดงใหญ่ที่ใช้เขียนคำขวัญอีกหลายใบ! นอกจากนี้แล้วไม่มีอะไรอีก
“ระบบ นายยังขี้เหนียวกว่านี้ได้อีกไหม?” ฟางเจิ้งถามอย่างจนปัญญา
“พู่กันกับน้ำหมึกให้นายยืม ใช้เสร็จแล้วคืนด้วย” ระบบกล่าวเรียบๆ
ตอนนี้ฟางเจิ้งแค่อยากด่าแม่! นี่งกเกินไปแล้ว! บนโลกยังมีระบบที่ขี้งกกว่าเจ้านี่อีกไหม? ดีที่อู๋ฉางสี่ให้พู่กันเขาไว้ หมึกก็ยังมีอีกก้อน น่าเสียดาย ไม่มีกระดาษแดง…ดังนั้นเขาเลยคิดไว้ต้องใช้อย่างประหยัดๆ
แม้จะเป็นการยืม ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ถือว่าเป็นของขวัญ ดีกว่าไม่มี ได้รับของขวัญปีใหม่ใหญ่ ฟางเจิ้งก็ดีใจแล้ว
เมื่อได้รับของขวัญ ในใจเขาโยกไหวขึ้นมา เกิดความหวังในการฉลองปีใหม่ ดังนั้นจึงตรึกตรองว่าจะฉลองปีใหม่ยังไงดี
อันดับแรกคือการเขียนคำขวัญ เขาค้นในอินเทอร์เน็ตอยู่นานก็เจอคำขวัญที่ไม่เลว จากนั้นสะบัดพู่กัน เขียนลงไปโดยมีอักษรพุทธองค์มังกรอยู่ในมือ!
…………………………………………
[1] ปีใหม่เล็ก หรือเสี่ยวเหนียน ตรงกับแรมแปดค่ำเดือนสิบสองของปี