มาถึงหน้าประตูใหญ่ก็กดเมล็ดข้าวเป็นก้อน ทำเป็นกาวเหนียว จากนั้นคลึงให้กลมแล้วส่งให้กระรอก กระรอกอุ้มไว้ ขี่อยู่บนหัวหมาป่าเดียวดาย ส่วนฟางเจิ้งถือคำกลอนคู่ วาดพู่กันอยู่หน้าประตูใหญ่เสร็จแล้วถึงถาม “มองจากมุมสูงเป็นยังไง? เบี้ยวรึเปล่า?”
กระรอกมองอย่างแม่นยำ ตอบกลับ “ไปซ้ายหน่อย ขึ้นมุมขวาหน่อย ดี! แบบนี้ล่ะ”
ฟางเจิ้งใช้ก้อนข้าวแปะคำขวัญไว้กับประตู
คำกลอนบน เจตนาดีเป็นเรื่องของนักบวชโดยแท้จริง
คำกลอนล่าง จิตใจเมตตาคืออาณาบริเวณประกอบพิธีทางศาสนา
คำกลอนขวาง ไม่ใช่นักบวช!
คำกลอนคู่เป็นของคนอื่น แต่คำกลอนขวางเป็นของเขาเอง ช่วงเวลาบนเขายากลำบาก เงียบเหงา เขายังหนุ่ม จิตใจเลยยากจะสงบลง เขาก็อยากมีชีวิตใต้ภูเขา โลดแล่นในทางโลกอย่างอิสระ ไม่ใช่หลวงจีนเฝ้าวัด ดังนั้นคำกลอนขวางสุดท้ายเขาเพิ่มไว้ให้ตัวเอง ถือว่าเป็นการเยาะเย้ยตัวเอง
ฟางเจิ้งมองคำกลอนคู่บทนี้ ในที่สุดก็รู้สึกถึงรสชาติของปีใหม่ จึงหัวเราะ “สวยมาก”
“จี๊ดๆๆ!” ตอนนี้เองกระรอกร้องขึ้น
ฟางเจิ้งงุนงง “นายก็อยากได้กลอนคู่เหมือนกัน? บ้านนายอยู่ไหนฉันไม่รู้ จะติดกลอนให้นายได้ยังไง?”
กระรอก “จี๊ดๆๆ…”
“อะไรนะ? นายจะย้ายมาเหรอ? เลือกรังเรียบร้อยแล้ว? อะไรนะ? นายจะอยู่บนต้นโพธิ์? เอ่อ…บนนั้นไม่มีโพรงไม้ให้นายอยู่นี่? เดี๋ยวฉันเลือกบ้านให้นายเองว่าไง?” ฟางเจิ้งถามอย่างไม่พอใจ
ทว่าฟางเจิ้งก็ยังเอากระถางดอกไม้ยาวผูกไว้กับกิ่งไม้บนต้นโพธิ์
ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีค้อน ตะปูและแผ่นไม้ เลยสร้างรังเล็กสวยๆ ให้กระรอกน้อยไม่ได้ ทว่าในเมื่อเจ้านี่อาศัยในโพรง ใช้กระป๋องแทนก็น่าจะไม่เป็นอะไร
เพียงแต่ว่าทำไมพอเจ้าตัวเล็กเห็นบ้านใหม่แล้วถึงถลึงตามองเขา ไม่เห็นจะต้องจ้องแบบนั้นเลยนี่? ฟางเจิ้งตบป้าบเข้าที่หัวพลันนึกขึ้นได้ หยิบมาผิด นี่ไม่ใช่กระถางดอกไม้ แต่เป็นที่รองปัสสาวะ…นานมากแล้วก็แทบจะลืมไป ตอนที่หาของเห็นมันคุ้นตาเลยเอามาใช้
ทว่าฟางเจิ้งจะไม่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกระรอกจะต้องข่วนหัวโล้นเขาแน่ๆ
แต่ว่าเขาก็เปลี่ยนกระถางดอกไม้ที่ใหญ่กว่าสวยกว่าให้กระรอก เจ้าตัวน้อยถึงมุดเข้าไปอย่างพอใจ จากนั้นมากระโดดบนบ่าเขา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาหัวโล้นลื่นเกินไป เดาว่าคงมากระโดดบนหัว
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหัวโล้นของตนมีประโยชน์…
หลังจัดการบ้านเสร็จก็เขียนคำกลอนคู่!
เขาฉีกกระดาษสีแดงขนาดเท่านิ้วโป้งเล็กสองชิ้น ใช้พู่กันเขียนอักษรไปแถวหนึ่งอย่างชัดเจนบนกระดาษแคบเล็ก ก็ยังคงใช้อักษรพุทธองค์มังกร อักษรยิ่งใหญ่มีพลัง มีกลิ่นอายนักบวชครบสิบส่วน
คำกลอนบน มนุษย์ชอบโลกรุ่งเรือง
คำกลอนล่าง หนูทำนายปีที่ผลเก็บเกี่ยวดี
คำกลอนขวาง บ้านมีกระรอก
เจ้าตัวเล็กอ่านไม่เข้าใจ แต่ก็มีความสุขมาก
หมาป่าเดียวดายเห็นดังนั้นก็ไม่ยินดีนัก อยากจะได้คำกลอนคู่บ้าง
หมาป่าเดียวดายมาเร็ว ฟางเจิ้งใช้ไม้เก่าสร้างรังหมาป่าให้มัน ดังนั้นจึงไม่ต้องเปลืองแรงสร้างรังให้มันอีก
ถ้าอย่างนั้นเขียนคำกลอนล่ะ?
แต่ฟางเจิ้งค้นหาดูแล้วก็ยาก! ในอินเทอร์เน็ตที่พูดถึงหมาป่าจะเป็นการด่าหมาป่าทั้งหมด ไม่มีคำดีๆ แล้วจะทำยังไง?
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองหมาป่าเดียวดายที่ทำหน้าแบ๊วพลางหัวเราะ “นายเข้าใจอักษรไหม?”
หมาป่าเดียวดายส่ายหน้า
ฟางเจิ้งดีดนิ้ว ง่ายล่ะทีนี้! จึงตวัดพู่กัน…
คำกลอนบน โคมไฟประดับแดนพุทธ
คำกลอนล่าง สุนัขหยกเฝ้าห้องโถงกลาง
คำกลอนขวาง มีสุนัขไม่มีขโมย
พอแปะทั้งหมด กระดาษแดงก็หมดเหมือนกัน
แทบเป็นขณะเดียวกัน พู่กันกับหมึกในมือพลันกลายเป็นแสงทองหายไป
ฟางเจิ้งมองบนพลางคิดในใจ “นายรีบไปรึเปล่า? ขี้งก…”
ด่าไปสองประโยค ในใจกลับสุขสบายมาก ทว่าปีใหม่จะมีแค่กลอนคู่ยังไม่พอ ต้องมีโคมไฟสีด้วย! แต่เขาจะเอาโคมไฟมาจากไหน?
ฟางเจิ้งปิ๊งความคิด นึกถึงโคมไฟน้ำแข็งของหลวงจีนหนึ่งนิ้วในตอนนั้น! เลยวิ่งไปหลังลาน เอาถังเหล็กใหญ่ไปตักน้ำจนเต็มสองถัง!
มีแก้วน้ำก็ตักน้ำ แล้ววางไว้ในลาน
ผ่านไปหลายชั่วโมง น้ำในถังน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ฟางเจิ้งเคาะดูแข็งมากแล้ว ใช้ได้!
เขาแบกถังใหญ่เข้าไปในครัวอีกครั้ง วางไว้ข้างไฟ หมุนถังใหญ่ไปรอบๆ เป็นการอุ่น ไม่นานน้ำแข็งละลายออกจากถัง ขยับได้ง่ายขึ้น
ฟางเจิ้งหิ้วถังออกไปข้างนอกอีกครั้ง เจาะน้ำแข็งในถังเป็นรู ก่อนจะเทน้ำที่ไม่แข็งในนั้นออกมา จากนั้นเอาถังใหญ่คว่ำลงกับพื้นแล้วยกขึ้นเบาๆ!
ถังใหญ่ลอยขึ้น โคมไฟน้ำแข็งรูปถังน้ำปรากฎขึ้น! น้ำบริสุทธิ์สะอาดมาก หลังแข็งตัวแล้วยังไม่มีสิ่งปนเปื้อนแม้แต่นิด ราวกับก้อนผลึก สวยมากๆ! เพียงแต่ว่าไม่มีขอบและมุม เป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนขัดเงาจนเป็นเพรช ฟางเจิ้งลูบดูแล้วไม่แย่กว่าเพรชเลย!
ฟางเจิ้งเจาะรูอีกรูบนโคมไฟน้ำแข็งให้ลมผ่าน จากนั้นแขวนโคมไฟน้ำแข็งขึ้นไปอย่างสำราญใจ แขวนไว้ตรงหัวกำแพงวัด จากนั้นหาเทียนสักเล่มจุดไฟใส่เข้าไปในโคมไฟน้ำแข็ง และเพราะข้างบนมีลมผ่านเลยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีอากาศและเทียนจะดับ ขณะเดียวกันรอบๆ โคมไฟน้ำแข็งยังมีน้ำแข็งปกป้อง เลยไม่ต้องกลัวว่าลมจะดับไฟ
แม้แสงเทียนจะไม่สวย แต่เมื่อสะท้อนออกมาจากผลึกถังน้ำทรงกลมแล้วก็ดูสวยงามอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งมีลมเบาๆ เข้าไป พัดแสงเทียนสว่างวูบวาบ สั่นไหว แสงข้างนอกก็ขยับไหวและสั่นตาม ราวกับไฟนีออน ดูสวยจริงๆ!
ทว่าพอเห็นโคมไฟน้ำแข็งแล้ว กระรอกน้อยกับหมาป่าก็ทนไม่ไหวอีก กระโดดไปมา อยากจะได้โคมไฟน้ำแข็งของตัวเองบ้าง
ฟางเจิ้งด่าทอยิ้มๆ “พวกนายสองคนอยากได้โคมไฟน้ำแข็ง? ได้ ไปตักน้ำมาเอง!”
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกวิ่งไปตักน้ำทันที ไม่นานตรงรังเล็กของกระรอกมีโคมไฟน้ำแข็งเท่าแก้วน้ำเพิ่มมา ตรงหน้าบ้านหมาป่าเดียวดายก็มีโคมไฟน้ำแข็งใหญ่ๆ เช่นกัน ทว่าในโคมไฟเจ้าสองตัวนี้ไม่มีเทียน ช่วยไม่ได้ ฟางเจิ้งมีเทียนไม่กี่เล่ม จะสิ้นเปลืองไม่ได้
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่กระรอกกับหมาป่าก็มีความสุข
ฟางเจิ้งเล่นจนสนุกใหญ่ คิดว่าจะทำโคมไฟน้ำแข็งเพิ่มอีกไว้บนเขา ถึงยังไงก็ว่าง!
ตอนนี้เองเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วจำนวนคนไม่น้อย
ฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อออกไปดูสถานการณ์ เห็นกลุ่มคนพวกหวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋ว หยางผิง หยางหวา ซ่งเอ้อโก่ว มีชายหญิง มือถือไหล่หามข้าวของขึ้นเขามา
ฟางเจิ้งมึนงงเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ย้อนเวลากลับไปตอนเช้า…
“พวกนายจะทำอะไรน่ะ?” ซ่งเอ้อโก่ววางไม้กวาดลง ปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองโต๊ะยาวที่วางไว้หน้าหมู่บ้าน ก่อนเดินเข้าไปถามด้วยความกังวล
“คุณอา คือแบบนี้ รัฐบาลส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านน่ะ ตอนนี้ปีใหม่เล็กไม่ใช่เหรอ ทุกคนต้องติดคำกลอนคู่ ปีก่อนๆ ทุกคนต้องไปซื้อ เสียบรรยากาศวัฒนธรรมไปเยอะ พวกเราเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนในอำเภอ มาที่นี่เพื่อช่วยทุกคนเขียนคำกลอน ถือว่ามาอวยพรให้ด้วยวัฒนธรรมพื้นบ้าน” วัยรุ่นคนหนึ่งลูบดวงตา ตอบกลับยิ้มๆ
………………