บนเวที หลังจากที่เจี่ยงสงได้กล่าวแนะนำเปิดงานตามเหมาะสมแล้ว ก็ได้เริ่มต้นเข้าสู่หัวข้อหลัก: “แม้ว่างานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้เริ่มต้น แต่ทุกคนคงทราบกันดีว่า ข้าเป็นตัวแทนของปรมาจารย์หลินที่เชิญทุกท่านให้มาร่วมงาน! ”
“แน่นอนว่า วัตถุประสงค์ของงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ คาดว่าทุกคนคงน่าจะทราบกันอยู่ก่อนแล้ว ถูกต้อง ซึ่งก็คือน้ำแห่งชีวิต! ”
“รายละเอียดที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ก็คงต้องเชิญให้ปรมาจารย์หลินขึ้นมาพูดแนะนำให้กับทุกคนฟัง! ”
“ขอเชิญปรมาจารย์หลิน! ”
เมื่อเจี่ยงสงพูดจบ ด้านล่างเวทีก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างเกรียวกราว
หลินหยุนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ไม่ใช้ไมโครโฟน กวาดสายตามองไปที่ทุกคน และพูดขึ้นว่า: “ครั้งนี้ที่ได้เรียกทุกคนมารวมตัวกัน ต้องการจะถามว่า ใครสนใจที่จะเป็นตัวแทนสิทธิ์ในการจำหน่าย น้ำแห่งชีวิตบ้าง! ”
“หากมีใครที่สนใจเป็นตัวแทน ก็ไปหาเจี่ยงสงพร้อมกับจ่ายเงินค่ามัดจำหนึ่งร้อยล้านหยวน แต่ว่าพวกคุณจะมีเพียงแค่สิทธิ์การจำหน่าย ส่วนอย่างอื่นนั้น พวกคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยว”
“พวกคุณจะได้รับผลกำไรครึ่งหนึ่งจากการจำหน่ายน้ำแห่งชีวิต ถ้าหากมีใครสนใจที่จะเป็นตัวแทน ก็ไปหาเจี่ยงสงได้เลย”
สรรพคุณที่น่าอัศจรรย์ของน้ำแห่งชีวิต เจี่ยงสงเคยได้กล่าวแนะนำเอาไว้ก่อนแล้ว
ดังนั้น พวกคุณเหล่านี้ที่มากันในวันนี้ ต่อให้จะไม่รับผลกำไรแม้เพียงหนึ่งเฟิน ก็สามารถที่จะได้รับสิทธิ์การเป็นตัวแทนของน้ำแห่งชีวิตได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผลกำไรครึ่งหนึ่ง ของน้ำแห่งชีวิตที่มีความอัศจรรย์นั้น แทบจะเป็นตัวเลขมูลค่าที่มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
ถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องถึงหนึ่งปี เพียงแค่ผลกำไรจากการจำหน่ายน้ำแห่งชีวิต ก็สามารถมีมูลค่าที่ เกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินดั้งเดิมของตนแล้ว
“ปรมาจารย์หลิน ฉัน ฉันสนใจ! ”
“ฉัน ฉันก็สนใจด้วย! ”
“ยังมีฉันด้วย……”
ผู้มีอิทธิพลอำนาจ ผู้มีชื่อเสียงแต่ละคนแต่ละคน ต่างก็ไม่ใส่ใจในภาพลักษณ์ของตนเอง ตะโกนเสียงดังอย่างสุดกำลัง
เจี่ยงสงพูดว่า: “คนที่สนใจให้มาลงทะเบียนที่ข้าตรงนี้! ”
ทันใดนั้น เบื้องหน้าของเจี่ยงสงก็ได้มีการเข้าแถวยาวขึ้นสองแถว
การลงทะเบียนใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ จากนั้นจึงได้เริ่มต้นงานเลี้ยงฉลองอย่างเป็นทางการ
พวกเซี่ยหยู่เวยกับเถียนชุ่ยชุ่ย ต่างก็นั่งอยู่ด้านข้างผู้อาวุโสของตัวเอง
หลินหยุนที่มีเจี่ยงสงคอยติดตาม ได้เดินชนแก้วแสดงความเคารพไปแต่ละโต๊ะตามมารยาท
แต่ว่า ไม่ทันรอให้หลินหยุนเดินมาถึงที่โต๊ะ คนที่อยู่ในโต๊ะนั้นต่างก็ได้ลุกยืนขึ้นล่วงหน้าแล้ว พร้อมกับต้อนรับด้วยสีหน้าท่าทางที่เคารพ
ทุกคนต่างก็ดื่มจนหมดแก้ว ส่วนหลินหยุนเพียงแค่จิบพอเป็นพิธี
เซี่ยหยู่เวยมองไปยังวัยรุ่นที่เดินไปมาที่บริเวณโต๊ะงานเลี้ยง บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเบาบางเล็กน้อย ท่าทางสงบนิ่ง ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
เซี่ยหยู่เวยเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงความละอายใจที่ตัวเองเทียบไม่ได้กับคนอื่น
ตอนนั้นไอ้คนที่ไม่ได้เรื่องได้ราวที่ตัวเองดูถูกเหยียดหยาม และรังเกียจเป็นอย่างมาก ได้มา แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้ที่ตัวเองทำได้เพียงแค่เงยหน้ามองและเลื่อมใสไปตลอดชีวิต!
ในทุกโต๊ะที่หลินหยุนเดินเข้าไปหา คนที่โต๊ะนั้นต่างก็พากันยกย่องชมเชย เหมือนกับในสมัยโบราณตอนที่ขันทีพบกับฮ่องเต้
ผ่านไปชั่วครู่ หลินหยุนก็เดินมายังโต๊ะของตนเอง
เซี่ยหยู่เวยใจเต้นแรงขึ้นในทันที
เห็นว่าหลินหยุนใกล้จะมาถึง ทุกคนที่โต๊ะต่างก็รีบลุกยืนขึ้น
เซี่ยหยู่เวยกับเว่ยเทียนหมิงก็รีบลุกยืนขึ้นตามพวกผู้ใหญ่ ก้มศีรษะลง เกรงว่าหลินหยุนจะจดจำตนเองได้
“ปรมาจารย์หลิน ข้าแซ่หวางได้เคารพเลื่อมใสท่านมานานแล้ว” คนที่พูดนี้ คือผู้รับผิดชอบราชการแห่งเมืองหลินโจว ซึ่งก็คือหัวหน้าของเว่ยเด๋อหลง
เขามีท่าทางที่สุภาพ วางตัวอย่างนอบน้อมถ่อมตน
“ชื่นชมกันเกินไปแล้ว! ” หลินหยุนพูดขึ้นอย่างเฉยเมย
เว่ยเด๋อหลงที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์นี้แล้ว จึงรีบยกแก้วขึ้นด้วยมือสองข้าง และพูดขึ้นด้วยท่าทางที่สุภาพนอบน้อมว่า: “ปรมาจารย์หลิน ข้าแซ่เว่ยขอคารวะท่านหนึ่งแก้ว! ”
เว่ยเด๋อหลงที่มีอานุภาพน่าเกรงขาม เป็นถึงรองผู้รับผิดชอบราชการแห่งเมืองหลินโจว นึกไม่ถึงว่าจะยกแก้วเหล้าขึ้นด้วยมือสองข้างเพื่อคารวะหลินหยุน อีกทั้งยังเรียกหลินหยุนว่า ‘ท่าน’ อีกด้วย!
หลินหยุนมองไปที่เว่ยเด๋อหลง เขามีอายุห้าสิบกว่าปี จอนผมเริ่มหงอกบ้างแล้ว เป็นคนที่สดชื่นแจ่มใสและมีความสามารถ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของความเป็นผู้รู้และมีบุคลิกที่สง่างาม
แต่ หลินหยุนรู้ว่าเว่ยเด๋อหลงผู้นี้ไม่ธรรมดา เป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก ในชาติที่แล้วผู้ที่ช่วยบริษัท หัวอัน กรุ๊ปของตระกูลส้งจุดไฟเผาคนสุดท้าย ก็คือเขา
พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า เขาก็คือหนึ่งในศัตรูของหลินหยุน
มองไปยังเว่ยเด๋อหลงที่ยกแก้วเหล้าขึ้นด้วยมือสองข้าง และมีสีหน้าท่าทางนอบน้อม หลินหยุนไม่มีการตอบสนองอะไร โดยมองไปยังแก้วเหล้าที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก
เว่ยเด๋อหลงเกิดความเก้อเขิน เพราะคนอื่นที่โต๊ะต่างก็จ้องมองมาที่เขา เขาเป็นถึงรองผู้รับผิดชอบราชการแห่งเมืองหลินโจวที่น่าเกรงขาม เตรียมคารวะเหล้ากับหลินหยุนด้วยตนเอง แต่หลินหยุน กลับไม่ได้แสดงท่าทางตอบรับอะไรกลับมา!
แบบนี้เว่ยเด๋อหลงเองก็เสียหน้าไปพอสมควร
แต่ว่า เว่ยเด๋อหลงกลับไม่กล้าที่จะแสดงอาการอะไรออกมา ปรมาจารย์หลินในวันนี้ เขาไม่สามารถที่จะล่วงเกินได้อย่างเด็ดขาด
เว่ยเด๋อหลงก็เป็นคนฉลาด ที่เขาได้ออกมาชนแก้วแสดงความเคารพต่อหลินหยุนนั้นก็เพราะ ข้อที่หนึ่งก็เพื่อแสดงออกต่อหน้าผู้บังคับบัญชา
ข้อที่สองก็เพื่อขอโทษหลินหยุน
ก็เพราะว่า เว่ยเทียนหมิงลูกชายของเขากล้าที่จะไปแย่งชิงคนของปรมาจารย์หลิน ซึ่งความผิดนี้เขาต้องออกหน้ารับผิดชอบเอง
เดิมที เขาคิดว่าบางทีหลินหยุนอาจจะเห็นแก่เกียรติแก่หน้าตาของเขาบ้าง ทุกคนควรจะเปลี่ยนจากสงครามให้กลายเป็นมิตรภาพ แต่เห็นได้ชัดเจนว่า เขาประเมินค่าเกียรติและหน้าตาของเขา สูงเกินไป
“ปรมาจารย์หลิน ลูกชายของข้าก่อนหน้านี้ได้ล่วงเกินท่าน ข้าขอแสดงความขอโทษแทนเขาในที่ตรงนี้ หวังว่าผู้ใหญ่อย่างท่านคงจะให้อภัยไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้ต่ำต้อย! ”
พูดจบ เว่ยเด๋อหลงก็โค้งคำนับหลินหยุน ด้วยท่าทางที่นอบน้อมและจริงใจ
คนอยู่ที่โต๊ะ ต่างก็มองมาที่หลินหยุน ซึ่งการที่เว่ยเด๋อหลงแสดงความขอโทษด้วยตนเอง ทั่วทั้งเมืองหลินโจว เกรงว่าคงจะไม่มีใครสามารถได้รับการปฏิบัติจากเขาแบบนี้
แต่ว่า หลินหยุนก็ยังคงไม่แสดงท่าทีอะไร และก็เพียงมองไปยังเว่ยเด๋อหลงแวบหนึ่ง แล้วก็หันหลังเดินกลับออกไป
ด้านข้างของเว่ยเด๋อหลง เว่ยเทียนหมิงที่กำลังก้มศีรษะ โกรธจัดจนหน้าเขียว กำหมัดสองข้างอย่างแน่น จนเล็บมือฝังเข้าไปข้างในเนื้อแล้ว
อับอายขายหน้า! อับอายขายหน้าอย่างมากเลยทีเดียว!
แบบนี้ยังอับอายขายหน้ามากกว่าหลินหยุนตบหน้าของเขาเสียอีก!
ก่อนหน้านี้ เว่ยเทียนหมิงไม่เคยคิดว่าหลินหยุนเป็นศัตรูมาก่อน เพราะเขารู้สึกว่าหลินหยุนยังไม่คู่ควร
แต่ว่า ตอนนี้แม้แต่ผู้ที่เขาพึ่งพาอย่างมากที่สุดก็ยังถูกหลินหยุนเหยียดหยาม โดยเว่ยเด๋อหลงแสดงความขอโทษกับหลินหยุนต่อหน้าทุกคน แต่หลินหยุนกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
นี่เป็นการเยาะเย้ยถากถางอย่างมากเลยทีเดียว!
ด้านข้างของเว่ยเทียนหมิง เซี่ยหยู่เวยกลับได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่งดงามทั้งสองข้างจ้องมองไปยังหลินหยุน
เห็นเงาร่างทีเลือนลางของหลินหยุน แล้วหันกลับมามองเว่ยเทียนหมิงที่อยู่ด้านข้าง ก็รับทราบถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน!
โดยตัวเองเคยมองว่าเว่ยเทียนหมิงเป็นคนที่เก่งกาจมีความสามารถ เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว แต่ว่าเมื่อนำเขาไปเปรียบเทียบกับหลินหยุนแล้ว กลับพบว่าเป็นเพียงแค่เศษขยะ!
ตัวเองแท้ ๆ ที่ทอดทิ้งหยกอันล้ำค่าของจริงอย่างหลินหยุนไป แล้วก็หันไปเลือกเศษขยะอย่างเว่ยเทียนหมิงนี้!
จิตใจของเซี่ยหยู่เวยในตอนนี้ หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกซึ่งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดออกมาได้
โกรธแค้น ไม่ยินยอม สำนึกผิด หงุดหงิด ที่มากที่สุดคือเสียใจ!
มองไปยังเงาร่างที่ผอมบางของวัยรุ่นคนนั้น ในทุกที่ที่ไป เต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ ผู้มีอิทธิพลอำนาจนับไม่ถ้วน โดยทั้งหมดต่างก็มองไปที่เขาอย่างเคารพและยำเกรง
พวกผู้มีอิทธิพลอำนาจเหล่านี้เป็นผู้ที่ดำรงอยู่โดยคนธรรมดาทั่วไปต่างก็พากันเลื่อมใส เมื่อแต่ละคนเดินออกไปไหนมาไหนคนเดียว ต่างก็ยังคงได้รับความเคารพจากคนธรรมดาทั่วไปนับไม่ถ้วน
แต่ว่า วันนี้พวกผู้มีอิทธิพลอำนาจเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ต่างก็เงียบกริบ และสุภาพนอบน้อม
นี่คือเกียรติยศความภาคภูมิใจอย่างมากเลยทีเดียว! นี่คืออำนาจบารมีที่สูงส่งมากเลยทีเดียว!
ถ้าหากตอนนั้นตัวเองไม่ได้เลือกที่จะทอดทิ้งเขา ในวันนี้พวกเกียรติยศความภาคภูมิใจ อำนาจบารมีเหล่านี้ ก็คงเป็นของเธอครึ่งหนึ่ง!
สิ่งเหล่านี้ต่างก็เคยเป็นที่สิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันต้องการ!
แต่กลับถูกตัวเองทำลายลงด้วยมือของตัวเอง
เซี่ยหยู่เวยสีหน้าขาวซีด จิตวิญญาณในร่างกายของตนเหมือนกับถูกกลืนหายไปแล้ว
เว่ยเด๋อหลงนั่งลงบนเก้าอี้ บุคคลที่ยิ่งใหญ่สง่างามไร้ขีดสุดแห่งเมืองหลินโจวท่านนี้ เวลานี้กลับอยู่ในท่าทางที่เซื่องซึม
จากนั้น สายตาของเขาก็มองไปที่เซี่ยหยู่เวย สิ่งที่เผยออกมาทางแววตาไม่รู้ว่าเป็นความเจ็บแค้น หรือว่าเหยียดหยาม หรือว่าหงุดหงิดใจกันแน่
เว่ยเทียนหมิงเหมือนว่ารับรู้ได้ถึงแววตาของผู้เป็นพ่อ ก็ยิ่งก้มศีรษะต่ำลงไปอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความละอาย
ถ้าหากว่าเขาไปไม่ได้ไปแย่งชิงคนรักมาจากหลินหยุน ก็คงจะไม่ทำให้พ่อของเขาถูกบีบบังคับถึงขั้นนี้?
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเขา!
ลูกชายของรองผู้รับผิดชอบเมืองหลินโจวที่สง่างาม เขาต้องการผู้หญิงอย่างไรไม่ใช่ว่าจะหาไม่ได้แต่กลับดันไปเลือกผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างเซี่ยหยู่เวย
คนอื่นที่โต๊ะ ต่างก็มองไปที่เซี่ยหยู่เวย ด้วยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อน
ทุกคนต่างทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยหยู่เวยกับหลินหยุน ผู้หญิงคนนี้ยอมที่จะทอดทิ้งบุคคลระดับเซียนอย่างปรมาจารย์หลิน แล้วกลับมาเลือกคนที่มีหน้าตาดีแต่ไม่มีสติปัญญาอย่าง เว่ยเทียนหมิง
ช่างมีตาหามีแววไม่เสียจริง! น่าเสียดาย น่าสงสาร น่าโศกเศร้า น่าสลดใจ!