หลินหยุนพูดว่า “พี่ฉินหลัน พี่อย่าเพิ่งบอกฐานะของผม กับท่านประธานหวาง”
“เพราะอะไร?” ฉินหลันถามด้วยความมึนงง
“เพื่อผลดีต่อพวกพี่!” หลินหยุนพูดด้วยใบหน้าจริงจัง
“เรื่องนี้ฉันไม่กล้ารับประกัน ถ้าเกิดท่านประธานถามขึ้นมา ฉันจะไม่มีวันหลอกเธออย่างเด็ดขาด” ฉินหลันไม่ได้ปฏิเสธ และก็ไม่ได้ตกลง
“ก็ได้ ขอแค่พี่อย่าเป็นคนเริ่มบอกท่านด้วยตัวเองก็พอ” หลินหยุนรู้จักนิสัยของฉินหลันดี รู้ว่านอกซะจากเปิดเผยฐานะของตัวเอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่ฉินหลันจะยอมปิดปังคุณแม่อย่างแน่นอน
“ก็ได้” ฉินหลันตกลงแล้ว “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?ปรมาจารย์หลิน?”
คำว่าปรมาจารย์หลิน ราวกับเป็นการเสียดสี
หลินหยุนยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่มีแล้ว”
“งั้นฉันไปล่ะ”
หลินหยุนเข้าดีใจ ถึงแม้ฉินหลันจะปากแข็ง แต่ความเป็นจริงเธอได้ให้อภัยที่เขาปิดบังฐานะของตัวเองแล้ว
เจอกันครั้งหน้าก็คงหายโกรธแล้ว
พอออกจากห้องพัก หลินหยุนเองก็เตรียมตัวกลับ
แต่ว่า มีเงาของคนที่งดงาม ได้มารอเขาที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว
หลินหยุนสำรวจเซี่ยหยู่เวยอยู่เงียบๆ จากนั้นก็เดินผ่านเธอไปในทันที ไม่คิดที่จะสนใจ
“หลินหยุน หรือว่าตอนนี้ระหว่างพวกเรา กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วจริงๆงั้นเหรอ?” เสียงหัวเราะเยาะตัวเองของเซี่ยหยู่เวยดังมาจากข้างหลังของหลินหยุน
หลิหหยุนหยุดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อไป ตอนนี้ต่อให้พูดอะไรมันก็เป็นแค่เรื่องที่เกินความจำเป็น
ใบหน้าของเซี่ยหยู่เวยได้เผยความไม่พอใจออกมาแวบหนึ่ง รีบวิ่งไปข้างหน้า แล้วห้ามหลินหยุนเอาไว้
“แกหมายความว่ายังไง?หรือว่าตอนนี้แม้แต่จะคุยกับฉัน ก็ยังรังเกียจอย่างงั้นเหรอ?” ใบหน้าของเซี่ยหยู่เวยราวกับกำลังร้องทุกข์ จ้องมองหลินหยุนอย่างเอาเป็นเอาตาย ใบหน้าที่งดงามขาวซีดไปพักหนึ่ง
หลินหยุนมองเธออยู่เงียบๆ แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “เธออยากจะพูดอะไร?”
เซี่ยหยู่เวยดูเจ็บปวด หัวเราะเยาะตัวเองด้วยความขมขื่นแล้วพูดว่า “ฉันอยากจะพูดอะไร?นั่นสิ ฉันอยากจะพูดอะไรล่ะ?ฉันยังสามารถพูดอะไรได้อีก!ตอนนี้แกเป็นคนสูงส่ง กลายเป็นปรมาจารย์หลินที่เก่งกาจ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา จะกล้าพูดอะไรล่ะ?”
“แต่ว่า แกคิดว่าแบบนี้ มันยุติธรรมกับฉันงั้นเหรอ?”
ใบหน้าของหลินหยุนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ จ้องมองเซี่ยหยู่เวยอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
เซี่ยหยู่เวยราวกับกำลังระบายอารมณ์ เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ “จริงอยู่ ฉันยอมรับว่าตอนแรกฉันดูถูกแก ฉันรู้สึกว่าแกมันก็แค่คนไร้ประโยชน์ และไม่ได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี”
“แต่ว่า แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ?ทั้งๆที่แกเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันรังเกียจแกเป็นเรื่องธรรมดา”
“หรือว่าแกจะชอบผู้หญิงที่หน้าตาขี้เหร่รึไง?”
“แต่ว่า ทั้งๆที่แกมีทักษะการแพทย์ที่น่าตกใจ แถมยังมีเพลงฝึกบู๊ที่เก่งกาจ กลับแกล้งทำเป็นคนไร้ประโยชน์ แกทำแบบนี้เพราะอะไรกัน?”
“ถ้าเกิดแกบอกความจริงกับฉันตั้งแต่แรก ฉันจะไปรังเกียจแกได้ยังไงกัน?”
“เพราะงั้น คนที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็เป็นเพราะแก ไม่ใช่ฉัน!”
“เพราะความหยิ่งยโสของแก เพราะความโอ้อวดของแก เพราะสายตาของแกที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เพราะแกไม่ยอมอธิบาย ทำให้ฉันเกิดความโกรธแค้นแกในใจ ทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวังกับแก เป็นแกเองที่เป็นคนผลักฉันไปอยู่ในอ้อมแขนของคนอื่น!”
พอผ่านไปสักพัก เซี่ยหยู่เวยก็เริ่มตีโพยตีพาย ใบหน้าที่งดงามเริ่มบิดเบี้ยว
พอได้ยินประโยคพวกนี้ หลินหยุนก็อยากจะหัวเราะออกมา
ทั้งๆที่เธอหลงใหลในเงินทอง ทั้งๆที่เธอเห็นตัวเองเป็นชิปการพนัน ทั้งๆที่เธอเป็นคนชอบผู้ชายคนอื่นโดยที่ตัวเองแต่งงานแล้ว ตอนนี้กลับมาโทษตัวเขาสักงั้น
ถ้าเกิดตัวเองไม่ได้เริ่มชีวิตใหม่ ถ้าเกิดตัวเองไม่ใช่ปรมาจารย์หลิน ถ้าเกิดตัวเองยังเป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนกับชาติที่แล้ว ตอนนี้เธอจะต้องกำลังมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยเทียนหมิงอย่างแน่นอน!
ความคิดพวกนี้ได้ผ่านเข้ามาในหัวของหลินหยุน เขาคิดที่จะตอบกลับ แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่จำเป็น
สำหรับคนที่เจอข้างทาง จำเป็นต้องโต้เถียงด้วยเหรอ?
“พูดจบแล้ว?” หลินหยุนถามด้วยเสียงเรียบๆ
เซี่ยหยู่เวยกัดริมฝีปากตัวเอง จ้องมองหลินหยุนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ถ้าพูดจบแล้วงั้นฉันไปล่ะ” หลินหยุนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ เดินผ่านเซี่ยหยู่เวยไปในทันที ราวกับว่าคำพูดเมื่อกี้ มันเหมือนกับสายลมที่พัดผ่านไป ไม่ได้เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้
เซี่ยหยู่เวยกำหมัดทั้งสองข้าง พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “หลินหยุน ต่อให้แกจะตบตีหรือด่าฉันก็ยังดี ตอนนี้ ฉันไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะให้แกมองฉันแล้วรึไง?”
“แกโหดร้ายมาก แกรู้ว่าฉันเกลียดการโดนเมินที่สุด เพราะงั้นแกจึงตั้งใจเมินฉันถูกไหม?”
“ปรมาจารย์หลิน ฮ่าๆ ปรมาจารย์หลินงั้นเหรอ!หลินหยุน แกปิดบังได้มิดชิดมาก!”
“ฉันเซี่ยหยู่เวยวันนี้ขอสาบาน สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องทำให้แกเสียใจ!”
เซี่ยหยู่เวยจ้องมองแผ่นหลังของหลินหยุนที่ค่อยๆจากไป ดวงตาแดงก่ำ เล็บแทงเข้าไปเนื้อข้างใน มือขาวเรียวที่ราวกับหยกขาวบริสุทธิ์กำลังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
หลังจากที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลินหยุนก็กลับไปยังคฤหาสน์เยว่โหลวเพื่อฝึกฝนต่อ
หลายวันมานี้ หลินหยุนได้เพิ่มค่ายกลรวมพลังอีกแห่งหนึ่ง ตอนนี้น้ำชี่ทิพย์สามารถเพิ่มขึ้นมาได้ด้วยตัวเองแล้ว
ทางด้านหนึ่ง เจี่ยงสงเองก็ส่งข่าวมาว่า น้ำแห่งชีวิตขายดีมาก ตอนแรกคิดว่าต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ถึงจะสามารถครองตลาดของหลินโจวได้
ปรากฏว่าภายในสามวัน ก็ครองตลาดของหลินโจวสักแล้ว
สิบวันนี้ ทั้งหลิงหนานไม่เคยว่าง
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าหลินหยุนได้ขอเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งขยายกิจการออกสู่ภายนอก เจี่ยงสงมีความมั่นใจว่าภายในหนึ่งเดือนนี้ จะสามารถทำให้น้ำแห่งชีวิตครองตลาดทั่วทั้งประเทศได้
วันนี้ เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ดของสิ้นปี โจวเฟินได้โทรมา ให้หลินหยุนกลับไปฉลองปีใหม่ด้วยกัน
แต่ว่า กลับถูกหลินหยุนปฏิเสธ
หลินหยุนได้คาดการณ์เอาไว้ว่า แม่กับพี่ฉินหลันน่าจะกลับบ้านเกิดไปแล้ว ไปรวมฉลองปีใหม่กับหลินตงหัว
ซูหนันยังคงบำเพ็ญอยู่ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเธอยังไม่บรรลุขั้ดไม่กินทั้งข้าวทั้งน้ำ จึงจำเป็นต้องทานอาหาร หลินหยุนก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าเธอยังมีตัวตนอยู่
ตอนเย็นของวันนี้ ซูจื่อเหลียงที่หายไปหลายวัน จู่ๆก็กลับมา
แต่ว่า กลับมาพร้อมกับบาดแผล แถมยังเจ็บหนักอีกด้วย พอเจอหน้าของหลินหยุน ก็สลบไป
หลินหยุนมองแวบหนึ่ง รู้สึกตกใจเล็กน้อย “กลับมีคนที่สามารถทำร้ายซูจื่อเหลียงจนเป็นแผลสาหัสได้!”
ไม่ต้องพูดอะไร หลินหยุนก็หยิบโอสถออกมาหนึ่งเม็ด แล้วให้ซูจื่อเหลียงกลืนเข้าไป จากนั้นก็ใช้พลังทิพย์ของตัวเอง เพื่อรักษาบาดแผลของซูจื่อเหลียง
พอผ่านการรักษาไปหนึ่งชั่วยาม ซูจื่อเหลียงก็พ้นขีดอันตรายแล้ว
พอซูจื่อเหลียงลืมตาขึ้นมา ประโยคแรกที่พูดออกมาก็คือ “รีบ รีบไปที่อำเภอจีหมิง ที่นั่นมีการค้นพบถ้ำเซียนป้ายเยว่ ของเมื่อแปดร้อยปีก่อน!”
เซียนป้ายเยว่?
กล้าเรียกตัวเองว่าเซียน งั้นแสดงว่าจะต้องมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“แผลของเจ้าได้หายดีแล้ว พูดช้าๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?เจ้าโดนใครทำร้ายมา” หลินหยุนพูดด้วยเสียงเรียบๆ ครั้งก่อนที่ซูจื่อเหลียงโทรกลับมา บอกว่าค้นพบสถานที่ลับแห่งหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นถ้ำเซียนป้ายเยว่นี้แหละ
ซูจื่อเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วหวงนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
“หลังจากที่ข้ากลับมาจากจงโจว ก็บังเอิญเจอกับเหล่านักบู๊มากมายกำลังไปที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เมืองเล็กๆนั้นเป็นตลาดการค้าขนาดเล็ก ตอนที่ข้าอยู่ที่ตลาดการค้า ก็ได้ยินข่าวว่ามีถ้ำเซียนป้ายเยว่”
“ตอนแรกข้าก็ยังไม่เชื่อ จึงตามเหล่านักบู๊เพื่อไปสำรวจด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าข้ากลับเจอเข้าจริงๆ!”
“แต่น่าเสียดาย ถ้ำเซียนป้ายเยว่ได้ถูกนักบู๊คนอื่นยึดไปแล้ว ตอนที่ข้าโทรมาหาท่าน ก็เป็นตอนที่ข้าตัดสินใจแอบลอบเข้าไป เพื่อไปตรวจสอบข้างใน
หลินหยุนเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว “งั้นแผลของเจ้าเป็นฝีมือของใคร?นักบู๊ระดับไหนกันที่สามารถทำร้ายเจ้าจนถึงขั้นนี้?”
ซูจื่อเหลียงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “อาจารย์ นักบู๊คนนั้นมีฝีมือที่แข็งแกร่งมาก มีนักบู๊อยู่สามคนที่มีระดับฝีมือ เหนือกว่าข้า แค่จำนวนของปรมาจารย์ ข้าก็เห็นว่ามีไม่ต่ำกว่าสิบคน!”
“ข้าแค่ตรวจสอบจนเจอว่าถ้ำเซียนป้ายเยว่มีค่ายกลป้องกันเอาไว้ พวกเขายังไม่สามารถเปิดค่ายกลได้ ตอนที่ข้าคิดว่าจะลองเปิดดู ก็โดนพวกเขาจับได้ ลูกศิษย์พวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่แล้ว ต่อมาก็มีปรมาจารย์ออกมา แต่ข้าก็ยังพอต้านเอาไว้ได้ แต่ว่า ต่อมาก็มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากออกมาถึงสามคน ข้าได้ประมือกับพวกเขาแค่สามกระบวนท่า ก็พ่ายแพ้แล้ว”
“โชคดีที่ข้าหนีไว ถึงได้มีชีวิตกลับมาเจอกับท่าน!”