“ระบบ จีวรขาวจันทร์ปกป้องฉันให้ไม่ตายได้จริงๆ ใช่ไหม?” ฟางเจิ้งถามระบบ
ระบบตอบ “กันน้ำกันไฟ ดาบปืนไม่เข้า แค่ไม่ถอดจีวร ตามหลักแล้วบนโลกนี้ไม่มีอะไรฆ่านายได้”
“ถ้าฉันกระโดดลงไปล่ะ?” ฟางเจิ้งมองข้างล่างที่มีเมฆหมอกโอบล้อมพลางถาม
“ไม่ตาย แต่ก็เจ็บมาก อีกอย่างนายลงเขาไม่ได้!” ระบบว่า
“อย่าพูดไร้สาระ ฉันจะลงเขา! ช่วยคนน่ะรู้จักไหม? ฉันจะไปช่วยคน!” ฟางเจิ้งได้ยินเสียงร้องจากปลายสาย โดยเฉพาะเสียงร้องไห้ของเด็กก็ร้อนใจดั่งไฟรนก้น จึงตะโกนออกมา ดีที่แถวนี้ไม่มีคน ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ลงเขาไปหมดแล้ว
ฟางเจิ้งเพิ่งเริ่มด่าสายฟ้าก็ผ่าลงตรงหน้าเขา ทว่าเขาทำเหมือนมองไม่เห็น “ฉันขอถามว่าฉันลงเขาได้ไหม!”
“นายก็ลองดู!” เสียงระบบพลันเย็นเยียบขึ้น แถมยังมีความเคร่งขรึมเพิ่มมาหลายส่วน ราวกับว่าฟางเจิ้งกำลังยั่วยุเส้นตายเขา!
“แม่ช่วยด้วย หนูเจ็บ!” เสียงเด็กร้องแว่วมา
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นดวงตาพลันแดงก่ำ! เขาไม่แปลกตากับอัคคีภัย ตอนนั้นที่เขาอยู่บ้านถานจวี่กั๋วก็เคยผ่านไฟไหม้ครั้งใหญ่มา ตอนนั้นพวกชาวบ้านฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยเขาออกมา ทว่าหลายคนนั้นถูกไฟคลอกจนเข้าโรงพยาบาล ไม่มีพวกเขาก็ไม่มีฟางเจิ้งในวันนี้
ตอนนี้กลับฝั่งกัน ฟางเจิ้งไม่สนแล้วว่าคนที่อยู่ในนั้นเป็นใคร แต่จะต้องรีบช่วยคน!
ฟางเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก ด่าทอไปยกใหญ่ “กฎระยำ ฉันจะช่วยคน!” ขณะเดียวกันฟางเจิ้งพุ่งออกไปปานลูกธนู กระโดดลงหน้าผาไป!
ทว่า ทันทีที่ฟางเจิ้งกระโดดลงไป…
“ติ๊ง! จิตใจผ่านการฝึกฝน! ยินดีด้วย ได้เป็นร่างสถิตของระบบพระพุทธองค์อย่างเป็นทางการ!”
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งอึ้งอยู่กับที่ ถาม “ระบบ นายพูดอีกทีซิ! เกิดอะไรขึ้น?”
“ตามกฎระบบแล้ว ถ้าก่อนนายลงเขาจิตใจยังไม่ตรงตามเป้าของภิกษุ ระบบจะเลือกร่างสถิตใหม่ แต่ข้อนี้มีกฎซ่อนไว้อยู่ ห้ามฉันบอกกับนายไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม” ระบบพูดอย่างเอ้อระเหย
“ระบบ ฉันล่ะอยากด่านัก!” ฟางเจิ้งอยากด่าจริงๆ ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้แต่แรกเขาควรจะกระโดดลงเขาไปแล้ว! แบบนั้นจะได้สึกทันที! ทว่ากลับถูกระบบต้ม…
ระบบเข้าใจความคิดเขามากเลยกล่าวเรียบๆ “ด่าสิ”
“ฉันด่านาย นายจะให้ฟ้าผ่าฉันรึเปล่า?” ฟางเจิ้งถาม
“ต้องสิ! แต่ขอเตือนอย่างเป็นมิตร นายเป็นภิกษุแล้ว และก็เป็นนักบวชอย่างแท้จริง โอกาสด่าได้สามครั้งต่อวันเหลือครั้งเดียว” ระบบกล่าวอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งกลืนคำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากกลับไป ก่อนคิดในใจ ‘ไอ้เวร รอฉันช่วยคนก่อนเถอะแล้วจะมาคิดบัญชีกับแก!’
“นายมองลงไปข้างล่างสิ” ระบบเอ่ย
ฟางเจิ้งก้มหน้ามอง หน้าผา ตกจากที่สูง ตาลาย ขาอ่อน…เขากลัวความสูง!
“อ๊าก!”
เมื่อครู่เอาหัวดิ่งลงไป ตอนนี้กรีดร้องโดยจิตใต้สำนึก…
บนเส้นทางลงเขา พวกหวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงวิ่งเร็วที่สุด ตอนนี้เหมือนได้ยินเสียงคนร้อง
หยางผิงกล่าว “ผู้ใหญ่บ้าน จะมีใครเป็นอะไรรึเปล่า?”
หวังโอ้วกุ้ยใจเต้นระรัว รีบให้หยางผิงกลับไปดูว่ามีใครเป็นไปอะไรไหม
ตอนนี้เองเฉินจินตามมาทันแล้ว ดวงตาแดงก่ำ กัดฟันแน่น วิ่งลงเขามาอย่างคลุ้มคลั่ง บนหัวมีเลือดไหล เสื้อผ้าก็ขาดไปหลายแห่ง เห็นได้ว่าเขากลิ้งลงเขามา
หวังโอ้วกุ้ยถามไปโดยพลัน “เฉินจินเป็นยังไงบ้าง?”
“บ้านฉันไฟไหม้ ไฟไหม้…ช่วยด้วย!” เฉินจินวิ่งลงเขาพลางร้องเสียงดัง ตอนนี้เขาสำนึกเสียใจจริงๆ เขาไม่ควรห้ามไม่ให้ซูหงตามขึ้นเขาไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ไฟไหม้บ้านคนก็ไม่เป็นไร! สำนึกเสียใจภายหลัง…
โครม!
เกิดเสียงดังสนั่นข้างหน้าผานอกหมู่บ้าน ฝุ่นฟุ้งกระจาย พื้นที่ราบเป็นหลุมใหญ่!
กลางหมอกฝุ่นนั้นมีเสียงคนร้องพร้อมกับวิ่งออกมา “เจ็บๆๆ…เจ็บจังโว้ย…ระบบ ทำไมนายไม่บอกให้ชัดล่ะ เฮ้อ เกือบตาย! เจ็บ…”
เดิมทีฟางเจิ้งตกลงพื้นอย่างวีรบุรุษชั้นยอดได้ ทว่ายืนไม่ไหวจึงเอาก้นล้มลงกับพื้น บนพื้นก็ไม่ได้ดีนัก มีหินนูนขึ้นมาก้อนหนึ่ง พอเอาก้นนั่งลงไป น้ำตาไหลเป็นทาง กุมก้นไว้พลางร้องโอ๊ยและวิ่งไปข้างหน้า
“บอกนายแล้วนี่ว่าเจ็บ” ระบบตอบเรียบๆ
ฟางเจิ้งไม่มีเวลามาเถียงกับเขา ที่คุยก็แค่เพื่อเบนความสนใจไปเท่านั้น จะได้ไม่เจ็บมากเกินไป!
บ้านเฉินจิน ซูหงใกล้จะบ้าแล้ว รอบๆ เป็นเพลิง ออกไปไม่ได้เลย! ในบ้านนอกจากซูหงยังมีลูกชายของเฉินจิน ลูกสะใภ้รวมถึงหลานอายุเพิ่งสามขวบ
คนในครอบครัวถูกขังอยู่ในบ้าน เด็กร้องไห้เสียงดัง ลูกชายเฉินจินจะออกไป ทว่าไฟร้อนแรงเกินไป ประตูนิรภัยถูกเผาจนเปลี่ยนรูป คานบ้านยังตกลงมาขวางหน้าต่างนิรภัยไว้ ทำให้ออกไปไม่ได้! นอกหน้าต่างก็เป็นไฟทั้งหมด ครอบครัวนี้ตระหนกกันมาก ขาดสติทำอะไรไม่ถูกกันไปนานแล้ว
“แม่ เป็นไงบ้าง ไฟแรงขนาดนี้ ตามหลักควรจะเผาไปแล้วสิ” ลูกชายเฉินจินพลันเห็นว่าสถานการณ์แปลกไปเล็กน้อยเลยถาม
“แกยังสงสัยว่าไฟไม่แรงพออีกเหรอ? ต้องให้เผาพวกเราตายแกถึงจะดีใจใช่ไหม?” ภรรยาเฉินจินกอดลูกไว้พลางร้องเสียงดัง
ซูหงตั้งสติได้ จริงๆ แล้วไฟแรงขนาดนี้ ทำไมไฟยังไม่เผามาถึงในห้อง? พอกวาดสายตามองก็พบภาพที่น่าแปลกใจ! นั่นคือคำกลอนคู่ที่ขอมาตอนเสี่ยวเหนียน เพราะอักษรมันสวยเกินไป แถมยังมีนักเขียนพู่กันจีนมากขนาดนั้นไปขออักษร เฉินจินจึงเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ รู้ว่าอักษรนี่ล้ำค่า ทำใจแขวนตากลมตากฝนข้างนอกไม่ได้ เลยแปะไว้ในห้อง
ตอนนี้ไฟลุกหนัก ทว่าอักษรบนคำกลอนคู่บนประตูห้องกลับกำลังสะท้อนแสง อักษรสีดำเหล่านั้นกลายเป็นสีทอง! ขณะเดียวกันนอกตัวคำกลอนติดไฟ แต่คำกลอนกลับไม่ติดไฟ! ที่แปลกกว่านั้นคือแม้จะไม่ติดไฟ แต่คำกลอนก็ยังกลายเป็นเถ้าถ่านช้าๆ!
“คำกลอน! คำกลอนที่ฟางเจิ้งเขียน!” ซูหงชี้คำกลอน
เฉินหลงลูกชายเฉินจินมองไป ก็พบความประหลาดของคำกลอนจริงๆ! จึงปิ๊งความคิด “ไม่ว่าจริงหรือเปล่า ผมจะลองดู!”
เฉินหลงวิ่งเข้าไปจะฉีกคำกลอน จากนั้นตะโกน “ถือคำกลอนออกไป อาจจะช่วยได้!” แต่เพิ่งสัมผัสคำกลอน มันพลันกลายเป็นเถ้าธุลี! เพลิงมากมายหลั่งทะลักเข้ามา!
เฉินหลงถูกไฟโถมใส่จนกลิ้งกลับมา ซูหงกับภรรยาเฉินหลงรีบเข้ามาประคองเขา ซูหงร้องขึ้น “อย่าแตะคำกลอน อย่าแตะ”
ยังเหลือคำกลอนคู่ล่างอยู่ แต่ความเร็วในการเป็นเถ้าถ่านมากขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนจึงสิ้นหวังจริงๆ แล้ว
ซูหงด่าไปยกใหญ่ “ต้องโทษพ่อบ้าแกนั่นแหละ! ถ้าให้พวกเราขึ้นเขาไปด้วยกัน จะต้องถูกไฟคลอกอยู่แบบนี้เหรอ…ถ้าเขาไม่หูเบาไปช่วยอู้หมิงใส่ร้ายวัดเอกดรรชนี บ้านพวกเราคงไม่ถูกพระโพธิสัตว์ลงโทษ เวรกรรม…”
“จบสิ้นแล้วๆ…” เฉินหลงก็มีสีหน้าสิ้นหวังเหมือนกัน
มองคำกลอนคู่ที่กำลังจะมอดไหม้จนสิ้น…
พลันมีเสียงตะโกนดังมาจากนอกหน้าต่าง “ข้างในมีคนไหม?”
“มี! มีคน! มีคน! ช่วยด้วย!” เฉินหลง ซูหงและภรรยาเฉินหลงตะโกนไปพร้อมกัน
ต่อมาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากข้างนอก “ถอยออกจากประตูไกลๆ หน่อย!”
…………………………