ในขณะที่เติ้งเจียหลุนกำลังโทรศัพท์อยู่นั้น ทุกคนต่างพากันมองมายังรองประธานสาวสวยอย่างหลันโร่หลิน ด้วยใบหน้าที่อึ้งตะลึง
หลินเสี่ยวลู่แสดงสีหน้าตกใจออกมา: “รอง.. รองประธานหลันเรียกเขาว่าน้องชาย !”
“หมอนี่รู้จักแม้กระทั่งรองประธานหลันโร่หลิน งั้นแท้จริงแล้วเขาคือใครกันแน่ !”
ทางด้านอู่ซื่อหานตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือดไปหมด เธอเหลือบมองไปยังหลินหยุน ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เขาถึงขั้นรู้จักกับรองประธานบริษัทหวนตี้ ถึงต่อให้เขาจะยังเทียบไม่ได้กับเติ้งเจียหลุน แต่ถ้าเขาเกลียดฉันขึ้นมาล่ะก็ อนาคตจากนี้ของฉันต้องจบแล้วแน่ๆ !”
“ไม่เป็นไร ตอนนี้คู่ปรับของเขาคือเติ้งเจียหลุน ยังไงก็คงไม่น่าจะสนใจฉันหรอก” อู่ซื่อหานได้แต่ปลอบใจตัวเอง
หูเกอยักคิ้วขึ้นพลันพูดออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย: “ช่างทำให้คนประหลาดใจจริงๆ เจ้าหนุ่มนี่รู้จักกับรองประธานของบริษัทหวนตี้ด้วย !”
“จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ายัยเด็กเฉิงเฉินคนนี้สายตาไม่เลวแล้วสิ !”
โห้เจี้ยนหวายิ้มจางๆ : “ผมเองชักจะเริ่มอิจฉาเฉิงเฉินแล้วสิ”
ส่วนทางด้าน หลี่หมิงกับโจวเจ๋หลุนและเหล่าซูเปอร์สตาร์แนวหน้าต่างก็ตื่นตะลึงไม่น้อย
ถึงแม้พวกเขาจะเคยเจอกับรองประธานของบริษัทหวนตี้มาก่อน แต่ก็ยังต้องแสดงออกถึงความเคารพ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะรู้จักคนระดับสูงของบริษัทหวนตี้ด้วย !”
ทั้งบนใบหน้าเฉิงต๋ากับหยวนเบียวและคนที่เหลือต่างก็แสดงออกถึงความตกตะลึงเหมือนกัน
“เฮอะๆ ถึงขั้นที่คนระดับสูงของบริษัทหวนตี้ยังต้องเข้าสู่ศึกครั้งนี้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว !”
“ส่วนเจ้าหนุ่มตระกูลเติ้งเองก็เป็นคนที่เรื่องเยอะไม่ยอมใคร ผมรู้สึกว่าต่อให้เป็นรองประธานบริษัทหวนตี้ก็เอาเขาไม่อยู่มือหรอก”
ในขณะที่เติ้งเจียหลุนเพิ่งจะโทรติด ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทสีดำทั้งตัว อายุราวห้าสิบกว่าปี ที่คอยยืนสังเกตการณ์ในมุมหนึ่งอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เขายิ้มออกมาแล้วมองลงไปที่โทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงเรียกเข้า
จากนั้นเขาก็หันไปมองชายที่อยู่ตรงหน้าอีกคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังสวมชุดสูทสีดำทั้งตัวเหมือนกันกับเขา ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น : “ไปกันเถอะ จะปล่อยให้พวกเขาสร้างความวุ่นวายกันต่อไปไม่ได้แล้ว อีกเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว เรื่องวุ่นวายนี้ควรจบสักที !”
ชายอีกคนตอบกลับ: “ได้!”
เติ้งเจียหลุนมองดูโทรศัพท์ที่ปลายสายไม่ยอมรับสายสักที พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่เพียงไม่นาน เสียงอันสุขุมก็ดังขึ้นมา โดยที่ชายสองคนนั้นกำลังเดินเข้ามา
“ไม่ต้องโทรแล้ว พวกเรามาแล้ว!”
สายตาของทุกคนถูกชายสองคนนี้ดึงดูดเข้าไปทันที
ในตอนที่ได้เห็นหน้าชายสองคนนี้ สีหน้าของหลันโร่หลินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทางฝั่งของเหล่าซูเปอร์สตาร์แนวหน้าหลี่หมิงกับโจวเจ๋หลุน ถึงกับตกใจ: “ประธานใหญ่ของบริษัทหวนตี้กับบริษัทเกนเนอร์ เฉิงจิ่งว่างกับจางจิ้งฟา!”
เฉิงต๋าหัวเราะเหอะๆ ออกมา: “รอบนี้ก็ครบแล้ว สองบอสใหญ่ของหวนตี้กับเกนเนอร์ก็เข้าร่วมด้วย !”
บริเวณรอบๆ เหล่านักเรียนจำนวนมาก รวมทั้งเหล่าดาราที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ด้วยความที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้สัมผัสหรือรู้จักกับเหล่าคนระดับสูงของวงการบันเทิง จึงไม่รู้จักกับผู้ชายทรงอำนาจในโลกบันเทิงสองคนนี้
บางคนก็เกิดความสงสัยจนต้องหันไปถามคนข้างๆ : “สองคนนี้คือใครหรอ?”
“ไม่รู้สิ!แต่ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่สุดยอดมากๆ !”
“อะหื้ม นี่พวกเธอยังอยากโลดแล่นในวงการบันเทิงอยู่หรือเปล่าเนี่ย ?ถึงได้ไม่รู้จักแม้กระทั่งประธานใหญ่ของบริษัทหวนตี้กับบริษัทเกนเนอร์!”
“ว่าไงนะ!เธอบอกว่าพวกเขาสองคนนี้คือประธานใหญ่ของบริษัทหวนตี้กับบริษัทเกนเนอร์ !”
“นี่เป็นถึงสองBossใหญ่ของสองในสามกลุ่มบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ในจีนเชียวนะ !”
แต่ว่าเมื่อเทียบกับเฉิงต๋า หยวนเบียว จางเจียหยู บุคคลสำคัญเหล่านี้ในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับนานาชาติแล้ว สองประธานจากบริษัทหวนตี้กับบริษัทเกนเนอร์ยังถือว่าเป็นรองอย่างมาก
เติ้งเจียหลุนหันไปโน้มแสดงความเคารพกับทั้งสอง : “ประธานเฉิง ประธานจาง!”
เฉิงจิ่งว่างประธานบริษัทหวนตี้ยิ้มเฮอะๆ ออกมา : “คุณชายเติ้งเรียกพวกเรา มีเรื่องอะไรหือเปล่า ?”
จากนั้น เฉิงจิ่งว่างก็ชำเลืองสายตามองไปที่หลันโร่หลิน ราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นเธออย่างนั้น ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา : “รองประธานหลันก็อยู่ด้วยหรอ?”
สีหน้าของหลันโร่หลินเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ พลางร้องอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา : “ประธานเฉิง!”
หูเกอที่นั่งตรงที่นั่งแถวหนึ่งถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันที : “แย่แล้ว ดูจากท่าทีของเฉิงจิ่งว่าง ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเติ้งเจียหลุนเลย!”
“คราวนี้เฉิงเฉินเจอเรื่องลำบากแล้ว!”
โห้เจี้ยนหวาตอบกลับ: “ได้เจอปัญหาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน แบบนี้จะได้รู้จักเติบโต”
เติ้งเจียหลุนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “ประธานเฉิง ที่จริงก็แค่ปัญหาเล็กน้อยล่ะครับ แต่คิดไม่ถึงว่ารองประธานหลันจะออกหน้าเอง ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องเชิญคุณให้ออกหน้าตัดสินเรื่องนี้ !”
เฉิงจิ่งว่างแสร้งถามทั้งที่รู้เหตุการณ์ทั้งหมด: “โอ๋ ไหนลองพูดมาสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้รองประธานหลันต้องออกหน้าเองจนเกิดเรื่องขุ่นเคืองกับคนในสังกัดของตัวเองแบบนี้ !”
ยังไม่ทันที่เติ้งเจียหลุนจะพูดถึงต้นเหตุของเรื่องนี้ แต่เฉิงจิ่งว่างก็แสดงออกถึงความไม่พอใจในตัวหลันโร่หลินก่อนซะแล้ว
ประโยคนี้มีความหมายในเชิงการตั้งคำถามเล็กน้อยว่า:เพื่อคนนอกเพียงคนเดียว คุณถึงกับมีเรื่องขัดแย้งกับคนในสังกัดบริษัทตัวเอง นี่คุณไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยหรือไง ?
เติ้งเจียหลุนอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเน้นจุดที่หลินหยุนแอบเข้ามา แล้วเขานั้นเพียงต้องการไล่ออกไป แต่ดันถูกหลันโร่หลินมาห้ามไว้
หลังจากที่แสร้งทำเป็นเรื่องราวความเป็นมา เฉิงจิ่งว่างก็แสดงท่าทีสุขุม มองไปยังรูปร่างเย้ายวนของหลันโร่หลิน โดยภายในแววตาประกายไฟเร่าร้อนที่มองไม่เห็นออกมา : “รองประธานหลัน เรื่องนี้คุณก็ทำไม่ถูกนะ”
“ถึงแม้เจ้าหนุ่มนี่จะเป็นเพื่อนของคุณ แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ การที่คุณชายเติ้งจะไล่คนที่ไม่ความเกี่ยวข้องกับงานนี้ออกไป นี่ถือเป็นเรื่องส่วนรวม คุณไม่ควรจะละทิ้งส่วนรวมเพื่อเรื่องส่วนตัวสิ”
คำพูดนี้ของเฉิงจิ่งว่าง ดูเหมือนจะมีความเป็นกลางอย่างมาก ซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถมาโต้เถียงได้เลย
ทางด้านประธานใหญ่ของบริษัทเกนเนอร์ก็ช่วยเสริมอีกที : “ที่คุณเฉินพูดก็ไม่ผิดนะครับ รองประธานหลันเป็นถึงคนระดับสูงของบริษัทหวนตี้ ทำไมถึงได้ทำเรื่องที่ไม่เห็นแก่ส่วนรวมแต่เอาเรื่องส่วนตัวเป็นที่ตั้งแบบนี้ได้ล่ะครับ?”
หลันโร่หลินตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืดๆ : “ประธานเฉิง ประธานจาง เหมาะสมแล้วหรอคะที่บอกว่าฉันเห็นแก่เรื่องส่วนตัวโดยไม่สนส่วนรวมแบบนี้?นี่ฉันในฐานะรองประธานของบริษัทหวนตี้ แม้จะเชิญเพื่อนคนเดียวมาร่วมงานก็ไม่มีสิทธิ์เลยหรอคะ ?”
เฉิงจิ่งว่างนิ่งเงียบทันที
เพราะในฐานะรองประธาน แน่นอนว่ามีสิทธิ์ที่จะเชิญเพื่อนเข้ามาได้อยู่แล้ว
แต่เติ้งเจียหลุนกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา: “แน่นอนว่ารองประธานหลันมีสิทธิ์ที่จะเชิญ แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่มีบัตรเชิญแล้วแอบเข้ามา เพื่อที่จะแสดงออกถึงความเป็นธรรม สามารถที่จะให้เขาออกไปก่อน จากนั้นรองประธานหลันก็มอบบัตรเชิญให้เขา แล้วค่อยให้เขาเข้ามาอีกครั้งแบบนี้ก็ได้นี่ครับ”
“แบบนี้ก็จะไม่มีใครหาว่ารองประธานหลันเป็นคนที่เห็นแก่เรื่องส่วนตัวจนไม่สนใจส่วนรวมแล้ว”
ทันใดนั้นบริเวณงานก็เงียบสงัดลง สายตาของทุกคนมุ่งตรงมายังหลันโร่หลิน เฝ้ารอคำตอบของเธอ
ในใจของทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดี เรื่องวุ่นวายมาถึงขั้นนี้ได้ มันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการเข้าออกของหลินหยุนแล้ว แต่กลายเป็นปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีของทางสองฝ่าย
ถ้าหากว่าหลินหยุนออกไปก่อน จากนั้นค่อยเข้ามาอีกครั้ง ถึงแม้ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไร ก็แค่ต้องเดินเยอะสักนิดเท่านั้น
แต่มันกลับเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายของพวกเขาแพ้แล้ว
และเมื่อมองมาในมุมของหลันโร่หลินที่เป็นคนในระดับนี้ ถึงแม้จะถือเป็นการยอมอ่อนข้อเล็กๆ น้อยๆ แต่ทว่ากลับมีผลกระทบที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
เพราะมีความเป็นไปได้ว่าการยอมก้มหน้าในครั้งนี้ อาจจะทำให้เธอไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีก
ในขณะเดียวกัน หลินเสี่ยวลู่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าจะถูกทุกคนลืมไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น หลินเสี่ยวลู่เองก็หวังให้ตัวเองนั้นถูกลืมไปซะ
เพราะไม่ว่าจะเป็นเฉิงเฉินหรือหลันโร่หลิน สำหรับเธอแล้วพวกเธอสองคนเป็นคนที่ไม่ควรไปท้าทายด้วย
สงครามระหว่างเหล่าทวยเทพแบบนี้ ขออย่าได้มาสร้างความลำบากให้กับภูตผีปีศาจอย่างเธอเลย
หูเกอขมวดคิ้วพูด: “นี่บริษัทหวนตี้กำลังจะทะเลาะกันเองงั้นหรอ?”
“ประธานกับรองประธานขัดแย้งกันเองซะแล้ว แบบนี้ไม่ว่าใครจะชนะใครจะแพ้ ฐานของบริษัทหวนตี้ต้องทลายแน่นอน เฉิงจิ่งว่างคนนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่?นี่เพื่อคุณชายของตระกูลเติ้งแห่งซีไห่คนนั้นงั้นหรอ?”
โห้เจี้ยนหวายิ้มเยาะออกมา: “ถึงแม้อำนาจของตระกูลเติ้งจะไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ไม่น่าจะเพียงพอให้เฉิงจิ่งว่างเอาอนาคตของทางวงการบันเทิงไปเดิมพันเพื่อช่วยเขาหรอก สาเหตุที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเกิดจากตัวของรองประธานหลัน”
หูเกอยักคิ้วแล้วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ : “ที่คุณพูดคือเรื่องข่าวลือพวกนั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว เดิมทีเฉิงจิ่งว่างก็เป็นคนที่มักมากในตัณหาอยู่แล้ว แล้วจะไปได้ยังไงที่จะปล่อยรองประธานสาวสวยที่อยู่ข้างกายคนนี้ไป !”
หูเกอยิ้มเยาะออกมา: “ดูแล้วเฉิงจิ่งว่างคงจะไม่ได้ดั่งใจ ก็เลยคิดใช้โอกาสนี้ในการสยบรองประธานหลันคนนี้”