ดูเหมือนว่า พวกเธอก็ได้ยินข่าวมาแล้ว
แต่หลินหยุนรู้ว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงปิดไม่มิดอย่างแน่นอน
เขาก็ไม่คิดจะปกปิดหวางซูเฟินและฉินหลัน
“ฉันเอง” หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ภายในห้องทำงาน ฉินหลันพยักหน้าให้กับหวางซูเฟิน
หวางซูเฟินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ส่งมือถือมาให้ฉัน”
ฉินหลันพูดกับหลินหยุนว่า “หลินหยุน ผู้อำนวยการอยากจะพูดกับคุณ คุณรอเดี๋ยวนะ!”
ฉินหลันก็ยื่นมือถือให้กับหวางซูเฟิน
“หลินหยุน คุณรู้ผลที่ตามมาจากการกระทำครั้งนี้ใช่ไหม?” หวางซูเฟินไม่ได้พูดตำหนิด่าทออะไร และก็ไม่ได้โกรธด้วย เพียงแต่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “รู้ครับ”
“ต่อจากนี้ไป คุณจะเตรียมเผชิญหน้ากับการลุกฮือของทางการรัฐบาลจีนยังไงล่ะ?” หวางซูเฟินถาม
หลินหยุนตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะแก้ไขเลย เขามาดีเราก็ดีตอบ เขามาร้ายเราก็ร้ายตอบ ก็แค่นั้นเอง”
ในที่สุดหวางซูเฟินก็อดรนทนไม่ไหว พูดอย่างเยาะเย้ยว่า “คุณก็พูดได้ง่ายดีจังนะ กลัวแต่ว่าถึงเวลานั้นไม่ใช่บุกไปแค่กองทัพเท่านั้น มันยังมีทั้งเครื่องบินอาวุธยุทโธปกรณ์เพียบพร้อมไปด้วยสิ”
“ถึงเวลานั้น คุณจะรับมือยังไงไหว? อาศัยกำปั้นทั้งสองข้างของคุณ แข็งขืนต้านกับระเบิดปืนใหญ่งั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของหวางซูเฟิน แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
เธอรู้สึกทนไม่ไหวจริงๆกับท่าทีเมินเฉยเช่นนั้นของหลินหยุน ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วนขนาดนี้แล้ว เขายังสามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ถึงเพียงนี้
ช่างเป็นคนที่คิดอะไรลวกๆมักง่ายเสียจริงเลย!
“นั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไรพวกคุณเลย” น้ำเสียงของหลินหยุนเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที
หวางซูเฟินสะดุ้งในใจ มีความรู้สึกทันทีว่าเหมือนยกก้อนหินมาทุ่มใส่ขาของตัวเองก็ไม่ปาน
ก่อนหน้านั้น เพราะว่าเธอไม่อยากให้หลินหยุนเข้ามาพัวพันด้วย จึงจงใจที่จะแตกหักกับหลินหยุน แต่ตอนนี้หลินหยุนกลับใช้คำพูดนี้เป็นข้ออ้างมายอกย้อนเธอจนได้
“ไอ้เด็กเวร แกรู้ใช่ไหมว่าเรื่องคราวนี้มันรุนแรงขนาดไหน? แกอย่าลืมนะว่า ในเมืองหลวงยังมีตระกูลหวางอยู่อีกนะ!”
“นั่นเป็นถึงผู้นำของสี่ตระกูลยิ่งใหญ่เลยนะ มิหนำซ้ำยังมีอิทธิพลต่อผู้บริหารระดับสูงในประเทศจีนอีกด้วย”
“ต่อให้ทางการรัฐบาลจีนไม่คิดจะทำอะไรกับคุณก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องแสดงอะไรออกมาให้ตระกูลหวางเห็นว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลย!”
หวางซูเฟินพูดด้วยความโกรธ
หลินหยุนก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม น้ำเสียงเยือกเย็น “ฉันบอกแล้ว นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกคุณเลย เรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกคุณมายุ่งด้วย”
“ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันจะวางสายแล้วนะ”
พูดจบ หลินหยุนก็วางสายไป
บนดาดฟ้า หลินหยุนก็รู้สึกโล่งอก ใบหน้าแสดงรอยยิ้มฝืดๆ “แม่แก่ หวังว่าแม่คงไม่โกรธฉันนะ”
ภายในห้องทำงาน หวางซูเฟินโกรธจนตัวสั่นโยนมือถือลงบนโต๊ะ
ฉินหลันรีบถามว่า “ผู้อำนวยการคะ หลินหยุนพูดว่าอะไรเหรอคะ?”
หวางซูเฟินสีหน้าโกรธจัด “ไอ้เด็กเวรนั่น ถึงกับใช้คำพูดที่ฉันเคยพูดมาเอาคืนฉัน บอกฉันว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของเขา”
“ดูเหมือนว่าเขากับผู้อำนวยการคิดเหมือนกันเลย เขาแน่ใจแล้วว่าสถานการณ์มีความรุนแรงมาก ดังนั้นจึงไม่อยากทำให้พวกเราเดือดร้อน” ฉินหลันพูด
หวางซูเฟินย่อมเข้าใจในจุดนี้ดี แต่ว่า เธอยังคงโกรธไม่หายที่หลินหยุนใช้คำพูดของเธอมาเอาคืนเธอ
เมื่อเห็นหวางซูเฟินไม่พูดจาอะไร ฉินหลันจึงถามขึ้นว่า “ผู้อำนวยการคะ แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงดีล่ะ? ท่านจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจแล้วนะคะ หากช้าไปกว่านี้ เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”
“ช่างเถอะ ฉันยังจะไปถือโทษโกรธพวกเด็กรุ่นลูกเหรอไงกัน” หวางซูเฟินมองไปยังฉินหลันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณรีบไปหาเขาที่เมืองหลินโจวเลยจากนั้นก็พาเขาออกไปนอกประเทศจีนด้วยกัน”
“แล้วไม่ต้องกลับมาจนกว่าฉันจะส่งข่าว ให้พวกคุณกลับมาเอง”
ฉินหลันดูเหมือนว่าได้คาดเดาจุดจบที่ต้องเกิดขึ้นเช่นนี้ จึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรนัก พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ”
“แต่ว่า ถ้าพวกเราไปแล้ว ผู้อำนวยการท่านจะทำยังไงล่ะ?”
หวางซูเฟินพูดว่า “วางใจเถอะ พวกเราก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน พวกเขาคงไม่มายุ่งกับพวกเราตอนนี้หรอก”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเก็บข้าวของเสร็จ แล้วจะออกเดินทางทันทีเลย!” ฉินหลันพูด
“ไม่ต้องเก็บแล้ว เงินที่อยู่ในบัตรใบนี้เพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตของพวกคุณแล้ว พาเขาไป รีบหนีไปเลย!” หวางซูเฟินหยิบบัตรVIP ของธนาคารต้าหลุยใบหนึ่งให้ฉินหลัน เห็นได้ชัดว่าเธอคงเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว
ในเหตุการณ์ที่วิกฤตสำคัญเช่นนี้ การทำงานที่แข็งแกร่งคล่องแคล่วของฉินหลันก็แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
รีบหยิบบัตรธนาคารนั้น หันหลังกลับแล้วรีบจากไป โดยไม่มีการลังเลแม้แต่นิดเดียว
“เออใช่แล้ว ถ้าเจ้าเด็กนั่นไม่ยอมไปกับคุณละก็ คุณจำเป็นที่จะต้องหาทางเอาเองแล้วนะ” หวางซูเฟินพูดย้ำขึ้นอย่างจ้ำจี้จ้ำไช
ฉินหลันใบหน้าแดงก่ำ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว หลังจากที่พวกเราไปแล้ว ท่านก็ต้องระวังตัวด้วยนะคะ”
“วางใจเถอะ รีบไปเลยสิ!” สีหน้าของหวางซูเฟินเหมือนไม่รู้สึกแยแสอะไรเลย
“ลาก่อนค่ะ!” ฉินหลันกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วหันหลังเดินจากไป
หลังจากที่ฉินหลันจากไปแล้ว หวางซูเฟินก็ทิ้งตัวนั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ สีหน้าแสดงออกถึงความอาลัยอาวรณ์
ฉินหลันอยู่กับเธอมาตั้งหลายปีแล้ว จนกลายเป็นมือขวาแขนซ้ายของเธอไปแล้ว ตอนนี้ฉินหลันจะต้องจากไป เธอก็ย่อมรู้สึกไม่คุ้นชินเป็นธรรมดา
แต่ว่า เพื่อที่จะเตือนหลินหยุนออกจากประเทศจีนให้ได้ เรื่องนี้จำเป็นจะต้องอาศัยฉินหลันแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
หวางซูเฟินมองดูเงาร่างของฉินหลันเดินจากไป พูดรำพึงขึ้นว่า “หลินหยุนบุญคุณที่คุณมีต่อบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปนั้น ฉันไม่เคยลืมเลย”
ฉินหลันเพิ่งจะออกเดินทางไปจงโจว หงซานเหอก็พาคนบุกไปถึงทะเลสาบเยว่หยาแล้ว
มองดูเมฆหมอกโอบล้อมทะเลสาบเยว่หยาที่อยู่เบื้องหน้านั้น ถึงแม้หงซานเหอเคยได้รับข้อมูลข่าวสารมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเอง
จากนั้น เขาก็รู้สึกทึ่งกับความงดงามของทิวทัศน์ที่นี่
“มันช่างเป็นสถานที่สุดยอดแห่งหนึ่งจริงๆเลย”
“เจ้าเด็กนี่ ไม่รู้ใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงกับทำให้ที่นี่กลายเป็นที่สวยงามได้ขนาดนี้”
“ท่านฉิน ท่านจ้าว พวกเราไปกันเถอะ!” หงซานเหอพูดกับผู้สูงวัยสองคนที่อยู่ข้างหลัง
“ครับ!”
ผู้สูงวัยทั้งสองคนตอบรับคำ แล้วทั้งสองต่างก็แยกย้ายกันเดินนำหน้าและคุมหลัง คุ้มกันหงซานเหอไว้ตรงกลาง เดินเข้าไปในค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์
เดินวนไปหนึ่งรอบ ทั้งสามคนก็เดินกลับมาอยู่ที่เดิม
หงซานเหอพูดว่า “ได้ข่าวว่าภายในทะเลสาบเยว่หยามีค่ายกลคุ้มกันอยู่ ดูเหมือนจะเป็นจริงเช่นนั้นแล้ว”
“ท่านทั้งสอง สามารถที่จะทำลายค่ายกลนี้ได้ไหม?”
“พวกเราขอลองดูก่อน!” ผู้สูงวัยทั้งสองคนต่างก็พยักหน้า แล้วคุ้มกันหงซานเหอเดินเข้าไปในค่ายกลอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้ว ในที่สุดทั้งสามคนก็เดินฝ่าค่ายกลออกมาได้สำเร็จ แล้วมาถึงประตูด้านหน้าของคฤหาสน์ตึกว่างเยว่
ท่านฉินเดิมทียืนอยู่ด้านหน้า ก็รีบเดินถอยหลังมาสองก้าว เพื่อให้หงซานเหอเดินนำหน้า
หงซานเหอเดินก้าวเท้าเชิดหน้า การใช้ชีวิตความเป็นทหารของเขาในสมัยก่อน ทำให้ภายในตัวของเขาแผ่ซ่านกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาออกมา เดินยืดอกตัวตรงเข้าไปยังประตูด้านหน้าคฤหาสน์
“ปรมาจารย์หลินอยู่ไหมครับ?” หงซานเหอตะโกนด้วยเสียงดังกังวาน
ภายในคฤหาสน์นั้น ก็มีเสียงที่เย็นชาดังแว่วออกมาว่า “เข้ามา ประตูเปิดอยู่”
หงซานเหอก้าวเดินเข้าไป
ท่านฉินพูดว่า “ท่านนายพลโปรดระวังด้วย!”
“ไม่เป็นไรหรอก” หงซานเหอส่ายหน้า แล้วเดินก้าวเท้าเข้าไปยังห้องโถงภายในคฤหาสน์
ภายในห้องโถงใหญ่ หลินหยุนแต่งกายในชุดลำลองสีดำ นั่งตามสบายอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะก็ชงน้ำชาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่มากและไม่น้อยเกินไป สามแก้วพอดี
หงซานเหอกวาดสายตามองไป รู้สึกตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่คงรู้ล่วงหน้าว่าพวกเราจะมาหาเขา
“เชิญนั่ง!” หลินหยุนมัวแต่รินน้ำชาให้กับตัวเอง ไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่นิดเดียว
หงซานเหอก็ส่งสัญญาณให้สองคนนั้น จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามหลินหยุน
หลินหยุนยกมือขึ้น แก้วน้ำทั้งสามใบก็ลอยไปยังพวกเขาทั้งสามคน วางลงบนโต๊ะตรงหน้าของคนทั้งสามพอดี
หงซานเหอและผู้สูงวัยทั้งสองก็รู้สึกตกใจ ฝีมือแบบนี้ แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่สามารถทำได้เลย ส่วนปรมาจารย์หลินถึงกับทำได้อย่างสบายๆ เห็นได้ชัดว่าพละกำลัง ลึกล้ำมากจนไม่อาจหยั่งถึง
แต่ว่า หงซานเหอกลับไม่ได้มีความกลัวแม้แต่นิดเดียว ตะคอกเสียงดังว่า “เจ้าหนู อย่ามาเล่นลวดลายต่อหน้าฉัน คุณรู้ใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงมาหาคุณ?”
“ก็เพราะเรื่องของตระกูลส้งไง” หลินหยุนยังคงไม่เงยหน้าเหมือนเดิม น้ำเสียงเรียบเฉย
“ในเมื่อคุณก็รู้แล้ว ทำไมจะต้องทำเรื่องที่ท้าทายกฎหมายขนาดนั้นด้วย?” หงซานเหอพูดอย่างเยาะเย้ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยการตำหนิกล่าวโทษ
เขาคงไม่ใจเย็นเหมือนประธานาธิบดีเช่นนั้น เขาไม่ค่อยชอบหน้าหลินหยุนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพียงแต่เสียดายไม่มีโอกาสที่จะได้สั่งสอนหลินหยุนเลย ตอนนี้ได้โอกาสเหมาะเช่นนี้ หงซานเหอย่อมไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปอย่างง่ายดายเด็ดขาด