ตูม!
ความเร็วของการหล่นทับลงมาของยอดเขาสองลูกที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้น ได้ช้าลงไปอีกหลายนาที อีกทั้ง ยังสามารถมองด้วยตาเปล่าได้ว่าความรวดเร็วของยอดเขานั้นได้ลดลงไปจริง
นั่นคือพลังและการโจมตีของหลินหยุน ที่ส่งผลทำให้เกิดการหักล้างซึ่งกันและกัน
“ค้อนดาวร่วง! ”
“พลิกฟ้าผ่าตะวัน! ”
“ดาวยักษ์ตก! ”
สิบแปดท่าต้าเต๋าราวกับผักกาดขาวที่ไม่ต้องจ่ายเงินอย่างไรอย่างนั้น ปล่อยพลังโจมตีเข้าใส่ยอดเขาทั้งสองลูกที่อยู่กลางอากาศอย่างไม่บันยะบันยัง
ในที่สุด ยอดเขาทั้งสองลูกนั้น ก็ยังคงถูกการโจมตีของหลินหยุนทำลายจนแหลกสลายไป
ซูหนันที่อกสั่นขวัญแขวนอย่างมาก ในที่สุดก็เบาใจลงได้บ้างแล้ว
ภายในพื้นที่ต้องห้ามหลังเขาสำนักบู๊แท้
สีหน้าของหลี่สุนเฟิงยิ่งขาวซีดมากกว่าเดิม และมีท่าทางที่เคร่งขรึม: “ปรมาจารย์หลินเป็นดั่ง คำร่ำลือจริง ๆ พวกเราสิ้นเปลืองชี่แท้ไปตั้งมากมายขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรเขาได้เลย! ”
“ผู้อาวุโสทุกท่าน เตรียมใช้การสังหารพลังห้ายอด! ” หลี่สุนเฟิงสีหน้าท่าทางจริงจัง
ผู้อาวุโสในชุดนักพรตเหล่านั้น ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ตื่นตะลึง: “เจ้าสำนัก สังหารพลังห้ายอดนั้นสิ้นเปลืองพลังการฝึกฝนอย่างมาก อีกทั้งใช้สังหารพลังห้ายอดเพื่อต่อกรกับปรมาจารย์หลินเพียงคนเดียว เกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ! ”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก็พูดเตือนว่า: “ใช่เลยเจ้าสำนัก สิ้นเปลืองสังหารพลังห้ายอดโดยเปล่าประโยชน์ บางทีเพิ่มพลังยอดเขาอีกหนึ่งลูก ก็อาจจะสามารถสังหารปรมาจารย์หลินได้แล้ว! ”
หลี่สุนเฟิงมีสีหน้าท่าทางที่จริงจัง: “การกระทำเรื่องเล็กน้อยก็ต้องทุ่มเทกำลังกายกำลังใจอย่างเต็มที่ในการจัดการ โดยที่พลังความสามารถของปรมาจารย์หลิน ชัดเจนว่าไม่สามารถจะอนุมานตามหลักเหตุผลทั่วไปได้ ดังนั้น พวกเราจำเป็นที่จะต้องใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุด เพื่อลงมือสังหารให้ตายภายในครั้งเดียว! ”
“ตกลง! ”
ผู้อาวุโสทั้งหลายถูกหลี่สุนเฟิงเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว
“เริ่มได้! ” หลี่สุนเฟิงนั่งขัดสมาธิ สีหน้าท่าทางจริงจัง แล้วปล่อยชี่แท้อย่างทรงพลังไปยังเสาหินหยกขาวแท่งหนึ่งในจำนวนนั้น
ส่วนผู้อาวุโสหลายคนที่เหลือ ก็ได้แบ่งแยกปล่อยชี่แท้ออกมา ไปยังเสาหินหยกขาวแท่งอื่น ๆ
สำหรับพวกลูกศิษย์ที่เหลือนั้น ต่างก็ใช้พลังทั้งหมดเพื่อรักษาการขับเคลื่อนทำงานของค่ายกล
“สังหารพลังห้ายอด! ”
หลี่สุนเฟิงตะโกนเสียงดัง เสาหินหยกขาวทั้งห้าแท่งนั้นก็ได้เปล่งประกายแสงสีเขียวออกมาทันที
ท่ามกลางค่ายกล หลินหยุนกับซูหนันที่กำลังเดินทางต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เกิดรับรู้ขึ้นได้จึงหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน แล้วแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ยอดเขาห้าลูกที่มีขนาดเท่ากันกับเมื่อครู่ ได้หล่นทับลงมายังศีรษะของพวกเขาทั้งสอง ทำให้ท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของทั้งสองคนนั้น ถูกบดบังโดยสมบูรณ์
ซูหนันมีสีหน้าที่กังวล: “ทำอย่างไรดี? แบบนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้นกันสักทีล่ะ! จำเป็นต้องคิดหาวิธีทำลายค่ายกลนี้ลงให้ได้ถึงจะถูก! ”
หลินหยุนมีสีหน้าที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก มองไปยังยอดเขาขนาดมหึมาทั้งห้าลูกนั้นที่อยู่กลางอากาศ ก็เกิดความคิดขึ้นมา แล้วธนูยาวโบราณก็พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา
“ใช่ธนูคันนั้น! ” ซูหนันยังคงจำธนูคันนี้ได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้น หลินหยุนได้ใช้ธนูคันนี้ ยิงลูกธนูที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วปฐพี ทำลายล้างวิญญาณบรรพบุรุษฮั่นป๋า ทำให้เขาหลุดออกมาจากการถูกควบคุม
แต่ เคยได้ยินว่าใช้ธนูยิงห่านป่า ใช้ธนูยิงมังกร รวมถึงในตอนนั้นที่หลินหยุนเคยใช้ธนูยิงผี
ทว่า ไม่เคยได้ยินว่าใช้ธนูยิงภูเขาอ่า!
ภูเขาใหญ่ขนาดขั้น ส่วนลูกธนูเล็กนิดเดียว ต่อให้ยิงเข้าใส่ได้ แล้วจะเกิดผลอะไรขึ้น?
หลินหยุนไม่ได้สนใจความคิดที่แปลกประหลาดของซูหนัน ขยับก้าวเดินไปข้างหน้า มือซ้ายถือคันธนู มือขวาดึงสายธนู
ทันใดนั้น บริเวณพื้นที่โดยรอบทั้งหมดก็เหมือนกับเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น
จากนั้น มีหลินหยุนเป็นจุดศูนย์กลาง โดยที่ชี่ทิพย์ของฟ้าดินในบริเวณหนึ่งร้อยเมตร ได้เคลื่อนที่สั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้น
ระหว่างธนูกับมือของหลินหยุน เดิมทีควรจะเป็นตำแหน่งที่ว่างเปล่า โดยไฟจุดเล็ก ๆ ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ขยายจนมีขนาดใหญ่ประมาณตะเกียบแล้ว
แต่ว่า ก็ยังคงขยายใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง ลูกธนูลำแสงสีเขียว กำลังก่อตัวขึ้น
โดยรอบของลูกธนูลำแสงนั้น ได้ก่อตัวเป็นพลังงานหมุนวนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งกำลังดูดซับพลังงานทั้งหมดในบริเวณโดยรอบหนึ่งร้อยเมตรอย่างบ้าคลั่ง
ฟ้าคือธนู ดินคือสายธนู สรรพสิ่งทั้งมวลคือลูกธนู
นี่ก็คือความแข็งแกร่งทรงพลังของวิชายิงตะวัน
ตามตำนาน หากฝึกฝนวิชายิงตะวันจนถึงขั้นสูงสุด ในหนึ่งลูกธนู สามารถควบแน่นฟ้าดินให้เข้ามารวมอยู่ด้านในได้
โดยลูกธนูที่ยิงออกไปนั้น แฝงไปด้วยพลังทั่วทั้งจักรวาล ไม่มีอะไรสามารถมาขัดขวางได้
แต่ว่า นี่เป็นเพียงแค่ตำนาน หลินหยุนยังไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่สามารถทำให้ลูกธนูลำแสง ควบแน่นฟ้าดินให้เข้ามารวมอยู่ด้านในได้
ไม่นาน ลูกธนูลำแสงในมือของหลินหยุนก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว
ลูกธนูลำแสงที่มีความหนาเท่าท่อนแขน มีความยาวกว่าหนึ่งฟุต ได้แผ่กระจายกลิ่นอายทำลายล้างไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ตูม!
มือของหลินหยุนที่ดึงธนู ได้ปล่อยสายธนูออกไปแล้ว
ลำแสงสีเขียว ราวกับดาวตกที่พุ่งย้อนขึ้นไปบนฟ้า ยิงตรงเข้าใส่ท้องฟ้า โดยมีหางเปลวไฟลากยาว
ยอดเขาทั้งห้าลูกที่อยู่กลางอากาศ หนึ่งลูกในนั้น ได้ถูกลูกธนูที่ทรงพลังยิงเข้าใส่ จนแหลกสลายเป็นผุยผง
จากนั้น หลินหยุนก็ลงมือเหมือนเดิม ยิงลูกธนูติดต่อกันห้าครั้ง ยอดเขาห้าลูกที่อยู่กลางอากาศนั้น ก็ได้ถูกหลินหยุนทำลายลงทั้งหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลงมือจัดการกับวิญญาณบรรพบุรุษฮั่นป๋า ตอนนั้นพลังการฝึกฝนของหลินหยุน ยิงได้มากสุดเพียงแค่สามลูกธนูเท่านั้น
ตอนนี้ หลินหยุนสามารถยิงห้าลูกธนูติดต่อกันในครั้งเดียว แต่ว่า ผลที่ตามมาก็คือพลังทิพย์ในร่างกายของหลินหยุน ได้สิ้นเปลืองไปแล้วกว่าหนึ่งในสามส่วน
ซูหนันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าท่าทางระมัดระวัง: “นี่คงจะเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดแล้วล่ะสิ! ”
หลินหยุนไม่ได้พูดจาอะไร เดินหน้าต่อไป หวังว่าจะสามารถเดินออกจากบริเวณที่ถูกค่ายกล ปกคลุมได้อย่างเร็วที่สุด
ในพื้นที่ต้องห้ามหลังเขาสำนักบู๊แท้
หลี่สุนเฟิงกับผู้อาวุโสหลายคน ต่างก็พากันกระอักเลือดออกมา
“เจ้าสำนัก นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน! แม้แต่สังหารพลังห้ายอดก็ไม่อาจที่จะจัดการเขาได้ และยังถูกเขาจัดการลงได้อย่างง่ายดาย พลังความสามารถของไอ้หนุ่มนี้ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ! ”
“ใช่แล้ว เมื่อครู่พวกนายเห็นธนูคันนั้นในมือของเขาแล้วหรือยัง? นั่นคืออาวุธอะไรเหรอ ทำไมถึงได้ปล่อยพลังโจมตีได้อย่างแข็งแกร่งทรงพลังขนาดนี้! ”
หลี่สุนเฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่เคร่งขรึมว่า: “นั่นไม่ใช่อาวุธ ถ้าหากข้าทายไม่ผิด นั่นคงจะเป็นเครื่องรางที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง”
“เครื่องราง! ” ทุกคนต่างตกตะลึงไปพร้อมกัน
“มิน่าล่ะถึงได้ทรงพลังขนาดนี้! นั่นเป็นถึงอาวุธที่เซียนใช้กัน! ”
พวกผู้อาวุโสหลายคน ต่างก็อุทานขึ้นอย่างตกใจ
“แต่ว่า ไอ้หนุ่มนั่นมีเครื่องรางที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในมือ พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ” ผู้อาวุโสใหญ่มองไปที่หลี่สุนเฟิงและสอบถามขึ้น
หลี่สุนเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาก็แสดงถึงท่าทางอันแน่วแน่: “ใช้ค่ายกลสังหารจิ่วเจ๋เถอะ! ”
“อะไรนะ! ”
ผู้อาวุโสหลายคนต่างแสดงอาการตกตะลึงขึ้น
พวกลูกศิษย์เหล่านั้นก็มีสีหน้าท่าทางที่งุนงง เหมือนกับว่าไม่เคยได้ยินค่ายกลสังหารจิ่วเจ๋มาก่อน
“เจ้าสำนัก ท่านต้องคิดให้ดี ๆ ก่อนนะ! หากว่าจะใช้ค่ายกลสังหารจิ่วเจ๋นั่น ซึ่งจะต้องใช้รูปแบบของค่ายกลเข้าแลกเลยทีเดียว ถ้าหากสังหารหลินหยุนไม่ได้ อย่างนั้นรูปแบบของค่ายกลก็จะถูกทำลายลง จากนี้ค่ายกลจิ่วเจ๋ก็จะสูญสิ้นไป” ผู้อาวุโสใหญ่พูดเตือนขึ้นอย่างจริงจังหนักแน่น
หลี่สุนเฟิงสูดลมหายใจลึก พูดว่า: “เพื่อหนึ่งโควตาของตำหนักอนัตตา พวกเราจำเป็นจะต้องใช้พลังความสามารถทั้งหมดออกมา ถ้าหากใช้กระบวนท่าสังหารที่ทรงพลังที่สุดของค่ายกลจิ่วเจ๋แล้ว ยังคงไม่สามารถฆ่าหลินหยุนให้ตายได้ ถ้าอย่างนั้นค่ายกลจิ่วเจ๋ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะดำรงอยู่ต่อไปอีก”
“ค่ายกลที่ไม่สามารถแม้แต่จะฆ่าคนได้ จะมีไว้เพื่ออะไรกัน! ”
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูดอะไรอีก แม้ว่าเขาอยากจะเตือนหลี่สุนเฟิงให้พิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ว่า หลี่สุนเฟิงนั้นได้ถูกหนึ่งโควตาของตำหนักอนัตตา ครอบงำจิตใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้แต่ไพ่เด็ดใบสุดท้ายของสำนักบู๊แท้ ค่ายกลจิ่วเจ๋ก็ยังไม่คิดจะเก็บเอาไว้แล้ว
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดมากอะไรกันอีก ข้าได้ตัดสินใจแล้ว เริ่มต้นค่ายกลสังหารจิ่วเจ๋! หลี่สุนเฟิงตะโกนขึ้นเสียงดัง กลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิม และเริ่มปล่อยชี่แท้ที่หลงเหลือเข้าสู่แท่นหินนั้น”
ผู้อาวุโสใหญ่จำยอม ทำได้เพียงปล่อยชี่แท้ออกไป แม้ว่าเขาไม่อยากที่จะทำลายค่ายกลของสำนักบู๊แท้ แต่เขาก็หวังที่จะฆ่าหลินหยุนให้ได้มากกว่า
ไม่เพียงแค่ได้รับผลประโยชน์จากตระกูลหวาง ยังสามารถที่จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังให้กับสำนักบู๊แท้ในโลกบู๊ได้ด้วย
พวกลูกศิษย์จำนวนหนึ่งร้อยสามสิบหกคนของสำนักบู๊แท้ทั้งหมด ต่างก็ได้ปล่อยชี่แท้ในร่างกายเข้าสู่แท่นหินนั้น
เสาหินหยกขาวเก้าแท่งด้านบนของแท่นหิน ก็เหมือนกับได้รับการชาร์ตพลังเกิดแสงสว่างขึ้นอีกครั้งโดยพลัน
“พุ่งไป! ”
หลี่สุนเฟิงชี้นิ้วออกไปทันที แท่นหินนั้นพลันลอยขึ้นกลางอากาศ เดิมทีม่านจอที่ใช้สำหรับสังเกตหลินหยุนที่อยู่ด้านบนของแท่นหินนั้น ก็ได้หายสาบสูญไปด้วยแล้ว
ค่ายกลจิ่วเจ๋ ศูนย์กลางการควบคุมก็คือรูปแบบค่ายกล โดยมองผ่านรูปแบบค่ายกล สามารถทราบได้ถึงการเกิดขึ้นทุกอย่างในบริเวณโดยรอบรูปแบบค่ายกล
แต่ว่า หากรูปแบบค่ายกลสูญสิ้นไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกลอย่างสิ้นเชิง