วิ่งไล่ตามไปครึ่งชั่วโมง ซูหนันก็ยังคงวิ่งไล่ไม่ทันคนนั้น
ทว่า กลับกลายเป็นระยะทางที่ไกลออกมาอย่างมากจากคณะสำรวจ
ซูหนันกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีหลุมพราง แต่ว่า จงเฟยหยู่อยู่ในมือพวกเขา ต่อให้ทราบว่ามี หลุมพราง เขาก็ยังคงต้องเผชิญหน้าเข้าใส่
ทะลุผ่านป่าไม้แห่งนั้นไป เป็นไปตามที่คิดไว้เลย ด้านหน้ามีผู้อาวุโสสี่คนพลันกระโดดออกมา
ผู้อาวุโสสองคนอยู่ในชุดนักพรตยาวสีเทา บริเวณหน้าอกมีภาพของไทเกก ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสองคนแห่งสำนักบู๊แท้
ส่วนอีกสองคนนั้น ก็คือปรมาจารย์ที่หวางเจ๋อเป็นคนพามา
ทั้งสี่คนนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับขั้นปรมาจารย์ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์ระดับใหญ่ โดยหนึ่งคนในนั้น ครึ่งเท้าได้ก้าวเข้าไปสู่ระดับขั้นปรมาจารย์สูงสุดแล้วด้วย
ซูหนันไม่พูดพร่ำทำเพลง ชกหมัดเข้าใส่นักบู๊ที่อยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่งในทันที
“ฮึ ไอ้หนุ่มน้อย ตกหลุมพรางแล้วแท้ ๆ ยังจะกำเริบเสิบสานอีก! ”
ผู้อาวุโสสำนักบู๊แท้พูดตะโกนใส่อย่างเย็นชา
“เขาร้อนใจที่คนรักของเขาถูกจับเป็นตัวประกัน คิดที่จะรีบไปช่วยชีวิตเธอ” ผู้อาวุโสสำนักบู๊แท้อีกคนหนึ่งพูดพร้อมกับยิ้มเยาะ
“คิดที่จะช่วยชีวิตสาวน้อยคนนั้น ต้องผ่านด่านพวกเรานี้ให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน”
“แต่ว่า สาวน้อยคนนั้นมีหน้าตาที่สวยงามจริง ๆ เห็นแล้วข้าเองก็ยังจิตใจหวั่นไหว” ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
ลมหายใจในร่างของซูหนัน พลันบ้าคลั่งขึ้นมาไม่น้อย
ปรมาจารย์คนนั้นที่ซูหนันโจมตี ก็คือปรมาจารย์แห่งตระกูลหวางผู้ที่ใกล้จะเข้าสู่ระดับขั้นสูงสุดนั้น ซึ่งมีพลังความสามารถสูงที่สุดในจำนวนทั้งสี่คน
เพราะความเป็นห่วงจึงทำให้ซูหนันสับสนอลหม่าน ซึ่งทำให้พลังความสามารถลดไปกว่าครึ่งหนึ่ง
เพิ่งจะปะทะต่อสู้กัน ก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างต่อเนื่อง
“ไอ้หนุ่มนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเก่งกาจสักเท่าไหร่ ถึงกับต้องให้พวกเราทั้งสี่คนลงมือพร้อมกันเลยเหรอ? มันเหมือนเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า? ” ผู้อาวุโสสำนักบู๊แท้คนนั้นบ่นพึมพำ
“อย่าได้พูดพร่ำให้เสียเวลาเลย ลงมือพร้อมกัน จัดการไอ้หนุ่มน้อยนี้ซะ แล้วจะได้กลับไปรายงานผล! ”
“ตกลง! ”
ทั้งสามคนที่เหลือก็ได้ลงมือพร้อมกัน ร่วมโจมตีเข้าใส่ซูหนัน
ถ้าหากเผชิญหน้ากับนักบู๊คนนั้น ซูหนันใช้วิชาพินาศไม่สิ้นสูญ ยังสามารถที่จะเอาชนะได้
แต่ว่า ถ้าหากมีปรมาจารย์ระดับใหญ่อีกสามคนร่วมลงมือด้วย ซูหนันจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
การโจมตีครั้งแรก ซูหนันก็ถูกชกจนร่างกายกระเด็นลอยออกไปไกล กระอักเลือดออกมา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“ฆ่าเขาทิ้งซะ! ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งตะโกนขึ้น
การโจมตีของทั้งสี่คน ได้พุ่งเข้าใส่ซูหนันอีกครั้ง
ซูหนันไม่พูดอะไร หันหลังแล้วก็วิ่งหนีทันที
เขาคิดที่จะเอาชนะการรวมพลังกันของปรมาจารย์ทั้งสี่คน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ก็ไม่ต้องคิดถึงการที่จะไปช่วยชีวิตจงเฟยหยู่แล้ว
เวลานี้ทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดไปก่อน แล้วค่อยคิดหาวิธีการอื่น
“ไล่ตามไป! อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้! ” ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ตะโกนอยู่ด้านหลัง
ซูหนันวิ่งเผ่นอย่างสุดชีวิต โดยที่ไม่ได้สนใจเส้นทาง แต่ว่า ทุกครั้งที่มาถึงสี่แยกหรือว่าทางแยก มักจะเหมือนว่ามีคนคอยตั้งใจที่จะชี้นำทาง ซึ่งทำให้ค้นพบเส้นทางการหลบหนีที่ปลอดภัยได้
แบบนี้ จึงทำให้ซูหนันหลบหนีออกมาจากภูเขาเย่นต้านได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ไม่เป็นอันตราย
ไม่ทันที่จะคิดอย่างละเอียด ซูหนันก็รีบกลับไปยังหลินโจว ไปหาหลินหยุนให้มาช่วยชีวิตจงเฟยหยู่
มองเห็นซูหนันจากไป ปรมาจารย์ทั้งสี่ก็มีรอยยิ้มขึ้น
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปรายงานผล! ”
“ขั้นตอนต่อไป ก็รอดูค่ายกลจิ่วเจ๋สำนักบู๊แท้ของพวกนายกัน! ”
“วางใจเถอะ นั่นคือค่ายกลโบราณกาลที่หลงเหลือไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง อาศัยพลังจากฟ้าและดิน ต่อให้ปรมาจารย์หลินนั้นจะเข้าสู่ระดับขั้นแดนตามที่ตำนานบู๊ได้ร่ำลือกันจริง ๆ ซึ่งหากเพียงแค่เขาเข้าไปในค่ายกลจิ่วเจ๋แล้ว ก็จะต้องพบกับความตายสถานเดียว! ”
“ตกลง! พวกข้าจะกลับไปรายงานให้กับคุณชายรับทราบ ขอลาก่อน! ”
ผู้อาวุโสทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปคนละทาง
ซูหนันเร่งรีบตลอดทาง โดยนั่งเครื่องบินไฟต์ที่เร็วที่สุดกลับไปยังหลินโจว จากนั้นก็ตรงไปยังทะเลสาบเยว่หยา
ที่ภูเขาไม่มีคืนวันและเวลา
สามวันก่อนหน้าที่จงเฟยหยู่จะไปซีเป่ยแล้วเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้นนั้น หลินหยุนได้ดูดซับรากปราณพรสวรรค์จนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ผลลัพธ์ออกมาดีกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ในตอนแรกเสียอีก โดยในรากปราณพรสวรรค์มีพลังทิพย์ธาตุไม้แฝงอยู่ ซึ่งมีความพลังมากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
หลังจากที่ร่างภูตป่าของเขาเข้าสู่ขั้นสูงสุดแล้ว ก็ยังคงเหลือรากปราณพรสวรรค์อีกหนึ่งท่อนเล็ก ๆ
รากปราณพรสวรรค์ท่อนนี้สามารถเก็บไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้อีก
“ตอนนี้ เพียงแค่แสวงหาจิตวิญญาณของสัตว์ประหลาดธาตุไม้ให้ได้ เพื่อใช้เป็นวิญญาณของร่างภูตป่า ร่างภูตป่าก็ก็สามารถเข้าสู่ระดับขั้นสมบูรณ์ และก็สามารถที่จะฝึกฝนร่างภูตตนต่อไป”
ร่างภูตป่าฝึกฝนถึงระดับขั้นสูงสุด ก็ช่วยทำให้พลังความสามารถของหลินหยุนเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
ตอนนี้หลินหยุนมีพลังความสามารถระดับขั้นระยะแด่เทพเจ้าช่วงกลาง ซึ่งหลังจากที่ดูดซับรากปราณพรสวรรค์ พลังความสามารถของหลินหยุนก็เพิ่มขึ้นไปอีกมาก ทำให้มีระยะห่างกับขั้นระยะแด่เทพเจ้าช่วงท้าย ใกล้เข้ามาอีกขั้นแล้ว
“ดูดซับรากปราณพรสวรรค์ ใช้เวลาไปเกือบจะสามเดือนเลยทีเดียว”
ทันใดนั้น หลินหยุนเกิดการสัมผัสรับรู้ขึ้นเล็กน้อย จึงก้าวเดินออกมา ยังด้านนอกของคฤหาสน์
ซูหนันได้ข้ามผ่านค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์แล้ว และปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูคฤหาสน์ตึกว่างเยว่
มองไปยังซูหนันที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย หลินหยุนก็เบาใจลงได้บ้าง ครั้งก่อนหลังจากที่ซูหนันหลบหนีออกไปจากทะเลสาบเยว่หยา ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรมาตลอด แม้ว่าเขาสามารถรับรู้ได้ว่าซูหนันยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก่อนที่ยังไม่ได้เห็นกับตาตนเองว่าซูหนันปลอดภัย เขาก็ยังคงไม่สามารถวางใจได้อย่างทั้งหมด
ซูหนันมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด เดินเข้ามาด้านข้างหลินหยุน โดยที่ไม่ได้พูดพร่ำไร้สาระเลยสักคำ: “ไปช่วยชีวิตคนกับฉันหน่อย”
หลินหยุนมองไปที่ซูหนัน ก็ไม่ได้มีความลังเลใจอะไร แม้แต่จะถามว่าช่วยชีวิตใครก็ยังไม่เอ่ยถาม ก็ได้ตอบรับทันที: “ตกลง”
“ฉันจะพาคุณไป” ซูหนันรีบหันหลัง แล้วก็เดินลงจากภูเขาไป
หลินหยุนมองไปยังคาร์นอตวิลเลียมที่กำลังบำเพ็ญฝึกฝนอยู่อย่างสงบ แล้วก็หันหลังเดินจากไป
หนึ่งวันถัดมา ทั้งสองคนก็มาถึงภูเขาเย่นต้านที่ซีเป่ย
ตลอดทาง ซูหนันได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่ที่ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีออกจากคฤหาสน์เย่หยาหู และได้ถูกจงเฟยหยู่ช่วยชีวิตเอาไว้จนถึงตนเองชื่นชอบจงเฟยหยู่ รวมถึงเรื่องราวครั้งนี้ที่ จงเฟยหยู่ถูกจับตัวไป ให้กับหลินหยุนฟังทั้งหมด
หลินหยุนกลับไม่ได้ตกตะลึง ลักษณะนิสัยแบบซูหนันนี้ จะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกชื่นชอบออกมาได้ง่าย แต่เมื่อเกิดความชื่นชอบแล้ว งั้นก็คงจะเป็นในแบบชั่วฟ้าดินสลาย ตลอดกาลนาน
ภูเขาเย่นต้านทอดยาวไปเกือบร้อยไมล์ ประกอบด้วยยอดภูเขาสิบแปดลูก ในจำนวนนั้นมียอดภูเขาเก้าลูก ที่มีความสูงที่สุด ซึ่งเป็นเก้ายอดภูเขาเย่นต้านที่มีชื่อเสียงในพื้นที่
แต่ว่า ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ ซูหนันก็ยังไม่ทราบชัดเจนว่าตกลงคือใครกันแน่ที่จับตัวจงเฟยหยู่ไป ถ้าหากจะค้นหาไปอย่างไร้จุดหมายแบบนี้ ต่อให้ใช้จิตสมาธิของหลินหยุน เกรงว่าก็คงจะใช้เวลาหลายวันถึงจะค้นหาเจอ
ถึงเวลานั้น สถานการณ์ของจงเฟยหยู่คงจะไม่ดีเป็นแน่
แต่ว่า ขณะที่หลินหยุนกับซูหนันกำลังไม่รู้ว่าจะไปค้นหาจงเฟยหยู่ที่ไหนดี ก็มีชายหนุ่มในชุดนักพรต บริเวณทรวงอกมีภาพไทเกก เหาะพุ่งตรงเข้ามาหาหลินหยุนพวกเขาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
“ขอถามหน่อยว่าคือปรมาจารย์หลินแห่งหลิงหนานใช่ไหม? ” ชายหนุ่มคนนั้นถามขึ้นอย่างสุภาพ
“ใช่” หลินหยุนตอบ
ชายหนุ่มพูดว่า: “ถ้าหากต้องการจะช่วยชีวิตสาวน้อยคนนั้น ก็ตามข้ามาได้เลย”
ซูหนันพลันพุ่งออกไป กระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มนั้น
ชายหนุ่มนั้นไม่ได้ต่อต้านขัดขืน ปล่อยให้ซูหนันบีบคอของเขา
“บอกมานะ เพื่อนของข้าอยู่ที่ไหน? ”
ชายหนุ่มนั้นมีสีหน้าท่าทางเยือกเย็น: “ข้าพูดไปแล้ว หากต้องการจะช่วยสาวน้อยคนนั้น ก็ตามไปกับข้า! ”
“แกเชื่อไม่เชื่อว่าข้าจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้! ” ซูหนันพูดข่มขู่ใส่
ชายหนุ่มนั้นหันหน้าออกไปอีกทาง แล้วแสดงท่าทางที่เหยียดหยาม
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ปล่อยเขา”
ซูหนันจำใจ ต้องปล่อยมือออกด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยเต็มใจ
“นำทางไปสิ! ” หลินหยุนพูดขึ้น
ซูหนันมองไปยังหลินหยุนด้วยความกังวลใจเล็กน้อย: “ฉันกังวลว่าจะมีหลุมพราง”
หลินหยุนมีสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก: “เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่นายกับจงเฟยหยู่ แต่คือตัวข้าต่างหาก”
ซูหนันตกใจเล็กน้อย สีหน้าตื่นตระหนก: “คุณพูดว่าที่พวกเขาจับตัวเสี่ยวหยู่ไปเป็นตัวประกัน และยังจงใจที่จะปล่อยให้ฉันกลับไปแจ้งเรื่อง ก็เป็นเพราะพวกเขามั่นใจว่า ฉันจะไปหาคุณเพื่อให้มาช่วยชีวิตเสี่ยวหยู่! ”
“กลอุบายของคนพวกนี้ ช่างล้ำลึกอย่างมาก” ซูหนันตื่นตระหนกเล็กน้อย หากทราบก่อนก็คงจะไม่กลับไปเชิญให้หลินหยุนออกมาแล้ว
เขารู้ว่า เมื่อนำเรื่องนี้บอกกับหลินหยุนแล้ว ตามนิสัยของหลินหยุน ต่อให้ทราบว่าด้านหน้าเป็น กับดักหลุมพราง เขาก็ยังคงจะกระโดดลงไปอย่างไม่ลังเลใจ
หลินหยุนพูดว่า: “ไม่ต้องกังวล ต่อให้พวกเขามีหลุมพราง ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก”
“ตามข้ามา”