หลังจากตรวจสอบถ้ำแห่งนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง หลังจากยืนยันว่าไม่มีสิ่งของอะไร หลินหยุนก็หันหลังและจากไป
ออกจากถ้ำทิงไห่ ดวงตาของหลินหยุนก็สว่างขึ้นในทันใด
ตอนที่มาถึงเพราะหันหลังให้ทะเล ก็เลยไม่รู้สึกอะไร
แต่ว่า ในขณะที่ออกจากถ้ำ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือไม่มีที่สิ้นสุด เป็นคลื่นทะเลใหญ่สีคราม
เหมือนกับโลกทั้งใบ จู่ๆก็ปรากฏตัวต่อหน้าคุณด้วยผลกระทบที่รุนแรง แม้ว่าหลินหยุนจะใจแข็งเหมือนก้อนหิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว
ในขณะที่หลินหยุนกำลังตกตะลึงชั่วขณะ ปรามสีม่วงก็แวบผ่านดวงตาของเขา
หลินหยุนครุ่นคิด แล้วทันใดนั้นก็นั่งลงตรงจุดนั้น วิชากลืนสววรค์ได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ทันใดนั้น ชี่ทิพย์จากฟ้าดินภายในรัศมี100เมตร ทั้งหมดรวมตัวกันพุ่งมาที่หลินหยุน
ประสาทสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของหลินหยุน สัมผัสได้ถึงชี่ทิพย์จากฟ้าดินเหล่านั้น แต่ว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที ก็ไม่เคยเห็นปรามสีม่วงที่ส่องประกายแวบผ่านสายตาเขา
“หรือว่ามันเป็นภาพลวงตา?” หลินหยุนขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น ประสาทสัมผัสจับกลิ่นออร่าที่แตกต่างออกไปได้
มันคือปราณสีม่วง ซึ่งล่องลอยในฟ้าดิน วิชากลืนสวรรค์ของหลินหยุน ไม่สามารถดูดซับมันได้
มันเปรียบเหมือนมีจิตวิญญาณ ล่องลอยไปอย่างอิสระบนฟ้าดิน เหมือนคนสัญจรที่อารมณ์ดีมีความสุข ดูความผันแปรของชีวิตบนโลก
เห็นได้ชัดว่านี่คือชี่ชั้นสูงที่หลินหยุนต้องการนำมาสร้างตัวอ่อนยาทอง
ยิ่งไปกว่านั้น เกรดก็ไม่ต่ำ เพราะแม้แต่วิชากลืนสวรรค์ก็ไม่สามารถจับมันได้
เห็นได้ชัดว่า ระดับชี่นี้ ยังคงอยู่เหนือระดับสูงสุด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ประสาทสัมผัสก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของชี่นั้นได้
หลินหยุนหลับตาทั้งสองข้าง แล้วลืมตาอีกครั้ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำและขาว และนำพลังดวงตาทำลายล้างออกมาใช้
ภายใต้พลังดวงตาทำลายล้าง ชี่ไม่สามารถเก็บซ่อนร่องรอยได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พลังดวงตาทำลายล้างมองเห็นไม่ใช่ชี่ของปรามสีม่วง แต่เป็นเส้นไหมสีดำจำนวนหนึ่งที่หนาแน่นกว่าบริเวณโดยรอบเป็นร้อยเท่า
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลินหยุนก็เข้าใจว่า เส้นไหมสีดำที่พลังดวงตาทำลายล้างมองเห็นนั้น น่าจะเป็นพลังกฎเกณฑ์ดั้งเดิมในฟ้าดิน
ยิ่งทรงพลังมากเท่าไร ภายใต้พลังดวงตาทำลายล้าง กฏเกณฑ์เส้นไหมยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น
และปราณสีม่วงนี้มีความหนาแน่นมากกว่ากฎเกณฑ์เส้นไหมในมนุษย์หรือสิ่งของที่หลินหยุนเคยเห็นมาในอดีตเป็นหลายร้อยเท่า จะเห็นได้ว่า พลังกฏเกณฑ์ในชี่นี้ ทรงพลังมากเพียงใด
“แม้ว่าจะเป็นปราณฟ้าดินระดับชั้นฟ้า ก็ไม่อาจเข้าถึงระดับกฎเกณฑ์เส้นไหมที่หนาแน่นเช่นนี้ได้”
“ชี่นี้ อยู่ในระดับไหน?”
ก่อนที่จะจับชี่ได้ แม้แต่หลินหยุนก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าชี่คืออะไร
“โชคดีที่มีพลังดวงตาทำลายล้าง มิฉะนั้นไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของชี่นี้ได้เลย”
“ในเมื่อวิชากลืนสววรค์ไม่สามารถจับมันได้ จึงทำได้เพียงใช้วิชาลากชี่เท่านั้น
หลินหยุนรีบแสดงวิชาลากชี่ในทันที และด้วยความช่วยเหลือจากพลังดวงตาทำลายล้าง ในที่สุดก็สามารถจับชี่ได้
“นี่อาจเป็นปรามสีม่วงหงเหมินในตำนาน!”
หลังจากจับชี่ได้แล้วนี้ ในที่สุดหลินหยุนก็สามารถสัมผัสจุดเด่นลักษณะของชี่
ปราณสีม่วงหงเหมิง เป็นฟ้าดินที่พึ่งกำเนิด เป็นชี่ที่ปราณีตและบริสุทธิ์โดยกำเนิด
ลักษณะเด่นของมัน ไม่เคยมีใครรู้ แม้ว่าหลายคนจะเคยเจอ ก็จำไม่ได้เลย
หลินหยุนเคยเห็นคำอธิบายเกี่ยวกับปราณสีม่วงหงเหมิงจากหนังสือโบราณ เพียงแต่อ่านไปแป๊บเดียวเท่านั้น
คาดว่า บันทึกดั้งเดิม จะเหมือนกับหลินหยุน เพียงแค่บังเอิญเห็นการดำรงอยู่ปราณสีม่วงหงเหมิง แต่ไม่สามารถจับได้เลย และไม่อาจเข้าใจลักษณะเด่นของปราณสีม่วงหงเหมิง
ในชาติก่อน หลินหยุนเคยเห็นคนที่สามารถจับปราณฟ้าดินระดับชั้นฟ้าได้สร้างตัวอ่อนยาทองออกมา แม้ว่าความแข็งแกร่งจะอยู่ในขั้นแดนรวมยาแต่ว่า สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกฝนในแดนยาทองอย่างสูสีกัน
จะเห็น ความแตกต่างของตัวอ่อนยาทอง ความสามารถก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
และในอนาคตจะสามารถผลิตยาทองระดับไหนนั้น ต้องพึ่งพาตัวอ่อนยาทองมากขึ้น
ในชาติที่แล้ว คนที่ใช้ปราณฟ้าดินสร้างตัวอ่อนยาทอง ในที่สุดก็ผลิตยาทองระดับชั้นฟ้าได้
ยาทองระดับชั้นฟ้าตอนที่อยู่ในแดนชั้นหนึ่ง ก็สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกฝนยาทองธรรมดาแดนชั้นสามข้ามไปถึงสองระดับ
“ถ้าครั้งนี้ ฉันใช้ปราณสีม่วงหงเหมิงสร้างตัวอ่อนยาทอง ไม่รู้ว่าจะสามารถผลิตยาทองหวูซ่างในตำนานได้หรือไม่”
ยาทองหวูซ่างดำรงอยู่ในตำนานเท่านั้น เหนือระดับชั้นฟ้า โลกเซียนทั้งโลก ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
หลินหยุนดีใจมาก นี่เป็นผลพลอยได้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยงเมื่อเทียบกับปราณสีม่วงหงเหมิง มันก็เหมือนขยะ
หลินหยุนไม่ได้กลับไปทันที วิชาเก้ากระบี่ต้าเต๋า ไม่ใช่คนที่มีระดับบำเพ็ญอย่างเขาจะสามารถแสดงออกมาได้
หลังจากที่หลินหยุนใช้วิชาเก้ากระบี่ต้าเต๋า เกือบใช้พลังจากการบำเพ็ญจนหมดสิ้น
ตอนนี้ เขาต้องรีบฟื้นฟูการบำเพ็ญทันที
หลินหยุนลงจากเขา หาป่าไม้แห่งหนึ่ง วางค่ายกลป้องกัน
จากนั้น หลินหยุนโทรหาหยางเทียนโย่ว บอกเขาว่าเรื่องปัญหาของตระกูลเจี่ยงได้รับการแก้ไขแล้ว ให้เขาไม่ต้องย้ายบ้านแล้ว
หยางเทียนโย่วถามหลินหยุนอยู่ที่ไหน และจะกลับเมื่อไหร่
หลินหยุนหาข้ออ้างว่าตัวเองยังมีธุระต้องจัดการ ช่วงนี้ยังไม่กลับ
หยางเทียนโย่วเตือนให้หลินหยุนระวังตัวด้วย แล้ววางสาย
หลินหยุนเริ่มฝึกฝน ฟื้นฟูการบำเพ็ญ
ผ่านไปหนึ่งวัน ณ. ลานบ้านของตระกูลเจี่ยง
ตระกูลเจี่ยงในเวลานี้ กำลังวุ่นวายมาก
หลังจากท่านเจี่ยงตายแล้ว เจี่ยงจิงเทียนไม่สามารถควบคุมคนของตระกูลเจี่ยงได้เลย
ตอนนี้ ตระกูลเจี่ยงถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ได้ไปเกาะตงไหล และไม่เห็นการต่อสู้ระหว่างหลินหยุนกับนักพรตจื่อหยาง
พวกเขาคิดว่าเจี่ยงจิงเทียนใจเสาะเกินไป ถึงกับยอมยกทุกอย่างของตระกูลเจี่ยงให้ผู้อื่น!
พวกเขาต่อต้านการยกตระกูลเจี่ยงให้ผู้อื่น
แน่นอน ข้อแก้ตัวของพวกเขาคือ ข้อตกลงระหว่างนายท่านเจี่ยงกับหลินหยุนเป็นเพียงข้อตกลงทางวาจาเท่านั้น และไม่เป็นผล
หากหลินหยุนมีความคิดเห็น ก็ให้หลินหยุนใช้ทางกฎหมาย
เจี่ยงจิงเทียนเยาะเย้ยในใจ ความคิดของคนเหล่านี้ไร้เดียงสาเกินไป ปรมาจารย์หลินเป็นคนที่พูดง่ายหรือ?
อีกกลุ่มหนึ่ง คือคนที่นับถือเจี่ยงจิงเทียนเป็นผู้นำ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของหลินหยุนในเกาะตงไหล
พวกเขารู้ว่าไม่สามารถต้านทานได้ นายท่านเสียสละชีวิตเพื่อรักษามรดกสืบทอดของตระกูลเจี่ยง พวกเขาต้องเชื่อฟังคำพูดของนายท่าน
ท้ายที่สุด ด้วยการมองการณ์ไกลของนายท่าน เขาทำเช่นนี้ มันจะต้องเป็นประโยชน์ที่สุดต่อตระกูลเจี่ยง
ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง เป็นกลาง ฝ่ายนี้มีลักษณะไม่ค่อยมีจุดยืนของตัวเอง ใครมีอำนาจใหญ่กว่า พวกเขาก็จะไปอยู่ฝ่ายนั้น
ในสามกลุ่ม ฝ่ายค้านมีจำนวนมากกว่า
เพราะยังไง ให้พวกเขาสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด เรื่องนี้เป็นใครก็ทำไม่ได้
ในห้องโถง ทุกคนจากตระกูลเจี่ยง มารวมตัวกัน
คราวนี้ ความพร้อมเพรียงที่ไม่เคยมีมาก่อน ตระกูลเจี่ยงทั้งสามรุ่นต่างมากันหมด
สายตาของทุกคนมองไปที่เจี่ยงจิงเทียน อย่างไร้ความปราณี
บางคนถึงกับรู้สึกว่า เหตุการณ์นี้เป็นแผนร้ายของเจี่ยงจิงเทียน
นายท่านเจี่ยงไม่อยู่แล้ว เขาต้องการยึดอำนาจไว้คนเดียว และนำรายได้ตระกูลเจี่ยงทั้งหมดเข้ากระเป๋าตัวเอง
แม้ว่าผู้คนที่อยู่บนเกาะตงไหลในวันนั้น จะพยายามอธิบาย แต่ก็ยังไม่สามารถระงับข่าวลือที่เกิดจากคนที่ไม่หวังดี
ตอนนี้ ตำแหน่งเจ้าบ้านของเจี่ยงจิงเทียน กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
“เจ้าบ้าน ตระกูลเจี่ยงไม่ใช่ของคุณเพียงคนเดียว และไม่ใช่ตระกูลเจี่ยงของหลินหยุน แต่เป็นตระกูลเจี่ยงของพวกเราทุกคน
“ดังนั้น ข้อตกลงฝ่ายเดียวระหว่างคุณกับปรมาจารย์หลิน ก็ไร้ประโยชน์!”
“แม้ว่านายท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกเราก็ไม่ยินยอม” ผู้อาวุโสในตระกูลเจี่ยงท่านหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ใช่ แม้แต่นายท่านก็ไม่มีสิทธิ์ยกตระกูลเจี่ยงให้คนอื่น!”
“ฉันก็เป็นสมาชิกของตระกูลเจี่ยงเช่นกัน ทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยงฉันก็มีส่วนด้วย” ลูกศิษย์ที่ยังหนุ่มของตระกูลเจี่ยง ประท้วงเสียงดัง
คนหนุ่มสาวเช่นนี้มีจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนภายนอกของตระกูลเจี่ยง และเดิมทีพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดในห้องประชุมของตระกูลเจี่ยง
แต่ว่า สถานการณ์พิเศษนี้ ทำให้พวกเขาสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นได้