หลินหว่านแสดงฉากหนึ่งจบไปแล้วแต่ยังไม่อาจถอนอารมณ์จากตัวละครนั้นออกมาได้ เธอยืนนิ่งอยู่ด้านหนึ่งด้วยสายตาแข็งทื่อ ในสมองยังคิดวนเวียนอยู่แต่เนื้อเรื่องในภาพยนตร์ เธอยังหลงคิดว่าตัวเองยังเป็นตัวเอกในภาพยนตร์
“หลินหว่าน อย่ามัวใจลอยอยู่เลย เลิกงานแล้ว ตอนนี้คุณแสดงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว บุคลิกท่าทางกับอารมณ์แบบนั้นน่ะ คุณหลอมรวมมันเข้าด้วยกันได้ดีมากเลย บ่งบอกถึงตัวตนของตัวละครในเรื่องนี้ได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือตอนที่เธออยู่ในอารมณ์บ้าคลั่งแบบนั้น คุณแสดงได้เหมือนจริงสุดๆ ไปเลย ฝีมือการแสดงพัฒนาขึ้นถึงระดับนี้ได้ ในเวลารวดเร็วขนาดนี้เก่งมากจริงๆ เลยนะ” ผู้ช่วยผู้กำกับเห็นหลินหว่านยังเหม่อลอย จึงเดินเข้าไปตบไหล่เธอแล้วพูดร่ายยาว
หลินหว่านได้ยินคำพูดชมเชยจากผู้ช่วยผู้กำกับ แต่กลับไม่อาจตอบรับเขาได้ เนื่องจากในหัวของหลินหว่านตอนนี้ยังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง นอกจากนี้เธอไม่รู้ว่าทำไมในใจจึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกอาดูรขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับของตัวละครที่เธอรับบทแสดงอยู่
รองผู้กำกับเห็นอาการหลินหว่านแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก เขาโบกมือไปมาข้างหน้าเธอ หลินหว่านยังคงนิ่งไม่มีทีท่าว่าสนใจ
อวิ๋นซีที่ด้านข้างเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกผิดปกติ จึงเดินเข้าไปหาผู้ช่วยผู้กำกับแล้วพูดว่า “ผู้ช่วยผู้กำกับคะ สวัสดีค่ะ วันนี้หลินหว่านไม่สบายเลยไม่ค่อยมีสติแจ่มใสนักค่ะ ตอนนี้คงยังมึนงงอยู่บ้าง ฉันจะพาเธอไปทานยานะคะ” อวิ๋นซีพูดพลางผลักร่างหลินหว่านเบาๆ
หลินหว่านค่อยได้สติกลับคืนมา จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองตื่นขึ้น จึงรีบพูดกับรองผู้กำกับว่า “ผู้ช่วยผู้กำกับคะ เมื่อครู่ฉันมึนศีรษะนิดหน่อยค่ะ เลยอาจโต้ตอบช้าไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ละเลยคุณ วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย มัวคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย แต่คำพูดคุณเมื่อครู่ฉันได้รับฟังทั้งหมดค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลินหว่านโค้งคำนับให้กับผู้ช่วยผู้กำกับ
หลินหว่านพบว่าอารมณ์ของเธอยิ่งมายิ่งไม่เป็นปกติ ตอนที่รู้ตัวก็ปั่นป่วนว้าวุ่นใจอยู่บ้าง หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าทำไมเธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งแสดงเสร็จ
“คุณกลับไปแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ วันนี้ตอนเข้ากล้องยังดูสบายดีอยู่เลยนี่นา ทำไมตอนนี้ถึงดูไปแล้วไม่ค่อยดีเลยล่ะ” ผู้ช่วยผู้กำกับพูดพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกแปลกใจมาก
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวฉันจะทานยา คงเป็นเพราะอินกับบทมากไปล่ะมั้งคะ” หลินหว่านตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะที่แอบรู้สึกหวั่นวิตกอยู่บ้าง
พอหลินหว่านกับอวิ๋นซีกลับถึงห้องทั้งสองก็ทานข้าวกัน
อวิ๋นซีมองอย่างสำรวจดูหลินหว่าน รู้สึกเสียใจที่หลายวันมานี้อารมณ์ของหลินหว่านเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ บางครั้งยังนิ่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เรียกก็ไม่ขานรับ วันนี้อยู่ต่อหน้าผู้ช่วยผู้กำกับยิ่งอาการหนักขึ้นอีก
“หลินหว่าน หลายวันมานี้เธอดูไม่ค่อยดีนักนะ หรือว่าทำงานหนักเกินไป ฉันเห็นว่าหลายวันนี้เธอเหม่อลอยอยู่เรื่อยเลย แล้วยังอารมณ์ไม่ค่อยนิ่งอีก หรือว่าเธอมีความในใจอะไร หลายวันนี้เธอดูแปลกไปนะ” อวิ๋นซีพูดอย่างเกรงใจ
ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีรู้สึกได้ว่าหลินหว่านมีอารมณ์วูบไหวรุนแรงมาก เมื่อก่อนเธอเป็นคนใจดีอบอุ่น แต่หลายวันนี้บางครั้งเธอหงุดหงิดมาก และอารมณ์เสียง่ายอยู่บ่อยครั้ง นั่งเศร้าอมทุกข์อยู่มุมหนึ่งคนเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างไปจากเธอในตอนปกติ
“แปลกไปที่ไหนกัน ฉันโอเคมากๆ เลย เธอไม่รู้สึกหรือว่าหลายวันนี้การแสดงของฉันแทบจะสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ แม้แต่ผู้กำกับซวี่กวงยังพูดชมฉันอยู่เรื่อยเลย” หลินหว่านพูดเสียงเย็น ศีรษะก้มต่ำตลอดเวลาที่ทานข้าว
“หลินหว่าน แต่ฉันว่าจริงๆ แล้วเธอดูไม่ค่อยดีนักนะ ฉันหวังว่าเธอจะเผชิญกับปัญหาตรงๆ ถ้ากระทบกับการแสดงของเธอหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพเธอขึ้นมา พวกเรายอมรับไม่ได้หรอกนะ อย่างวันนี้ตอนที่ผู้ช่วยผู้กำกับพูดกับเธอตั้งมากมาย แต่เธอกลับเอาแต่ยืนเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยหน้าตาอมทุกข์” อวิ๋นซีร้อนใจอยู่บ้าง เธอเห็นว่าหลินหว่านไม่สนใจเลยสักนิด
หลินหว่านจู่ๆ ก็ยืนขึ้นแล้วผลักอวิ๋นซีออกนอกประตู อวิ๋นซีทำหน้าประหลาดใจ หลินหว่านไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อน แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“ฉันอยากอยู่เงียบๆ ” หลินหว่านพูดขึ้นมาคำหนึ่งหลังจากผลักอวิ๋นซีออกไปแล้ว
อวิ๋นซีรู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นไปอีก หลินหว่านดูต่างไปจากเมื่อก่อนนี้มากเกินไปแล้ว
อวิ๋นซีไม่รู้ว่าจะไปพูดกับหลินหว่านอย่างไร เธอคิดว่าเซียวจิ่งสือน่าจะมีวิธี โดยปกติแล้วในเวลาแบบนี้เซียวจิ่งสือจะสามารถพูดกับหลินหว่านได้ อวิ๋นซีสงสัยว่าเซียวจิ่งสือทะเลาะกับหลินหว่านหรือเปล่า
อวิ๋นซีโทรศัพท์ไปหาเซียวจิ่งสือ
“สวัสดีค่ะ เซียวจิ่งสือ คุณพอจะมีเวลาไหมคะ ฉันอยากจะคุยกับคุณเรื่องของหลินหว่าน ฉันต้องบอกเรื่องนี้กับคุณค่ะ” อวิ๋นซีพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซีจะโทรหาเขาเพื่อคุยเรื่องของหลินหว่าน จิตใจปั่นป่วนก่อตัวขึ้นมาทันควัน ในเมื่อเป็นเรื่องของหลินหว่าน ทำไมเธอไม่โทรเองล่ะ
เซียวจิ่งสือพูดเสียงร้อนรน “หลินหว่านเกิดเรื่องอะไรเหรอ คุณรีบพูดมาเลย”
อวิ๋นซีพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง “คุณไม่ต้องร้อนใจไปนะคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ว่าหลายวันมานี้ไม่รู้ทำไมหลินหว่านอารมณ์ไม่ค่อยเป็นปกติ ไม่เอาแต่เหม่อลอยอยู่เรื่อย ก็ดูเหมือนอมทุกข์และอารมณ์ก็เหวี่ยงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเลยค่ะ หรือว่าพวกคุณสองคนมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันหรือเปล่า สภาพเธอดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ฉันคิดว่าคุณน่าจะไปหาเธอดูหน่อย วันนี้เธอเพิ่งออกจากกองถ่ายกลับบ้านไปแล้ว”
“พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันนะ ขอบคุณนะ ผมทราบแล้วและจะไปหาหลินหว่านด้วยตัวเองเลย” เซียวจิ่งสือพูดจบก็วางสาย จากนั้นเตรียมออกจากบริษัทไปหาหลินหว่าน
“ก๊อกๆ” “หลินหว่าน คุณอยู่ไหม” เซียวจิ่งสือเคาะประตูอยู่ด้านนอกห้อง
วันนี้หลินหว่านเพิ่งกลับถึงบ้าน เธอไม่รู้ว่าเซียวจิ่งสือรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่
“ทำไมคุณมานี่ได้ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ฉันกลับบ้านน่ะ” หลินหว่านพูดพลางยิ้มน้อยๆ
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านแล้วพบว่าแววตาของเธอดูว่างเปล่ามาก ถึงแม้จะยิ้มอยู่แต่รู้สึกเหมือนว่าเหนื่อยล้ามาก
“ผมเดาเอาน่ะ เราใจตรงกันไง คุณจะทานข้าวไหม ผมทำของอร่อยๆ ให้ทานนะ” เซียวจิ่งสือพูดพลางเปลี่ยนรองเท้า สายตาคอยมองหลินหว่านอย่างสำรวจ
หลินหว่านผงกศีรษะแล้วกลับไปนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
เซียวจิ่งสือเดินไปที่ห้องครัวอย่างคุ้นเคย เริ่มลงมือทำผลงานชิ้นเอกของเขา กับข้าวที่เขาเรียนทำมานี้ล้วนแต่เป็นของโปรดของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือนึกถึงตอนที่มองเห็นหลินหว่านแวบแรก เขารู้สึกได้ว่าหลินหว่านต่างไปจากตอนเธอปกติอยู่บ้าง แววตาอมทุกข์เหลือเกิน
“หลินหว่าน รีบมากินข้าวทางนี้กันเถอะ ผมทำกับข้าวเสร็จแล้ว วันนี้เป็นของโปรดของคุณทั้งนั้นเลย” เซียวจิ่งสือร้องเรียกหลินหว่านที่นั่งอยู่บนโซฟา แล้วรีบกลับห้องครัวไปตักข้าว
เซียวจิ่งสือยกกับข้าวขึ้นโต๊ะหมดแล้ว พร้อมทานข้าว แต่พบว่าหลินหว่านยังไม่มาเลย
“หลินหว่าน เร็วหน่อยสิ คุณมัวทำอะไรอยู่น่ะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว” เซียวจิ่งสือร้องเรียกหลินหว่านเสียงดัง
แต่หลินหว่านไม่ได้ตอบเซียวจิ่งสือ ยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่ที่โซฟาไม่ขยับเลยสักนิด